##### บาเยิร์น หลุมดำแห่งบุนเดสลีก้า ตำนานยอดทีมจอมดูด #####

ที่มา : เพจ วิเคราะห์บอลจริงจัง



กลยุทธ์ในการหาผู้เล่นมาเสริมทัพของแต่ละสโมสรนั้นไม่เหมือนกัน

บางทีมอาจพร้อมทุ่มเงินสถิติโลก เพื่อให้ได้ตัวท็อปที่สุดอย่างเรอัล มาดริด

บางทีมอาจภูมิใจกับระบบเยาวชน และพร้อมปั้นผู้เล่นรุ่นแล้วรุ่นเล่า แบบอาแจ๊กซ์

บางทีมอาจไปดึงนักเตะเยาวชนเก่งๆมาจากทีมอื่น แล้วเอามาปั้นต่อในช่วงวัยรุ่นแบบอาร์เซน่อล

แต่ละทีมก็มีแนวทางในการเสริมทัพที่แตกต่างกันออกไป

สำหรับบาเยิร์น มิวนิค กลยุทธ์ที่ขึ้นชื่อของพวกเขา คือการดูดผู้เล่นจากสโมสรในบุนเดสลีกาด้วยกันมาเสริมทัพ

ก่อนอื่นขอยืนยันก่อนที่จะเล่า ว่าแอดมินไม่ได้ตัดสินว่า การกระทำของบาเยิร์นเป็นสิ่งที่ผิดแต่อย่างใด เพราะทุกคนสามารถทำอะไรก็ได้ ถ้าอยู่ในกรอบของกฎกติกา

มันไม่ใช่เรื่องผิด มันไม่ใช่เรื่องถูก แต่มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

การที่คนแซวบาเยิร์นว่า ทีมจอมดูด มันไม่ใช่เรื่องที่แฟนบอลมโนขึ้นมาเอง เพราะมีเหตุ มันจึงมีผล

-----------------------------------------------

บาเยิร์น มิวนิคนั้น เป็นสโมสรที่มีระบบการจัดการดีที่สุดในเยอรมัน ตั้งแต่อดีตแล้ว

ในปี 1920 ก่อนจะมีบุนเดสลีกาด้วยซ้ำ แต่บาเยิร์น มีระบบสมาชิกสโมสรแล้ว และมีสมาชิกถึง 700 คน เยอะที่สุดในประเทศ

การจัดการที่ดี นำมาสู่การเงินที่แข็งแกร่ง ในเมืองมิวนิค เต็มไปด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ในเยอรมัน อย่าง BMW , ซีเมนส์ และ อัลลิอันซ์ แต่ละองค์กร พร้อมจะเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมกีฬาในเมืองอยู่แล้ว

ขณะที่ระบบสมาชิกนั้น บาเยิร์น ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร จนถึงปัจจุบัน มีแฟนคลับที่ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ มากที่สุดในโลก 391,000 คน

ทำการตลาดเป็น มีสปอนเซอร์ มีแฟนบอลหนาแน่น นั่นทำให้จะดีจะร้าย พวกเขามีเงินทองใช้ตลอดไม่ขาดมือ

บาเยิร์น มาได้รับความนิยมสูงขึ้นจริงๆ ในยุคกลางทศวรรษ 70 เมื่อพวกเขาได้แชมป์ลีก 3 สมัยซ้อน และ แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 3 สมัยซ้อนเช่นกัน

มีนักเตะสตาร์อย่าง ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์, คาร์ล ไฮน์ซ รุมเมนิกเก้ และ แกร์ด มุลเลอร์

ในตอนนี้ นักเตะคนไหนก็อยากมาอยู่บาเยิร์น ทีมที่ร่ำรวย และคับคั่งไปด้วยผู้เล่นระดับโลก นอกจากนั้นยังเป็นหนทางที่ติดทีมชาติเยอรมันได้ง่ายอีกต่างหาก

ในฟุตบอลโลก 1974 ที่เยอรมันได้แชมป์ฟุตบอลโลก มีนักเตะจากบาเยิร์นติดทีม 7 คน จาก 22 คน  เยอะที่สุดในทีมชาติ

ในยูโร 1976 มีนักเตะบาเยิร์นติดชาติเยอรมัน 4 คน จาก 18 คน เยอะสุดในทีมชาติเช่นกัน

ด้วยความที่บาเยิร์น มิวนิคมีพาวเวอร์มากขึ้นแบบนี้ มันทำให้พวกเขาสามารถใช้กลยุทธ์ "ดูด" นักเตะมาจากทีมอื่นได้

-------------------------------------

วิธีการที่จะประสบความสำเร็จไปได้นานๆ นอกเหนือจากทำให้ตัวเองเก่งขึ้นแล้ว อีกวิธีการหนึ่งคือลดทอนศักยภาพของคู่แข่งลง

ในยุค 80 สโมสรเนิร์นแบร์ก ถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในบุนเดสลีกา พวกเขาเลื่อนชั้นมาจากลีกา 2 ด้วยการคว้าแชมป์ จากนั้นกระโดดมาอยู่อันดับ 5 ของลีก ได้ไปเล่นในยูฟ่าคัพครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

เนิร์นแบร์กมีสิทธิจะเป็นภัยคุกคามกับบาเยิร์นได้เช่นกัน ถ้าปล่อยเอาไว้

ดังนั้น บาเยิร์น จึงจัดการคว้าผู้เล่นเนิร์นแบร์ก ถึง 5 คน เข้ามาสู่ทีม ในช่วงเวลา 5 ปี

นอร์เบิร์ต เอเดอร์ 1984
ฮันส์ ดอร์ฟเนอร์ 1986
สเตฟาน รอยเตอร์ 1988
โรแลนด์ เกรแฮมเมอร์ 1988
มันเฟรด ชวับเบิ้ล 1989

เมื่อขายสตาร์ออกไปหมด เนิร์นแบร์ก หมดสภาพทีมเก่ง พวกเขาหล่นมาอยู่อันดับ 15 ในฤดูกาล 1990-91 และอีก 3 ปีต่อมาก็ตกชั้นไปเล่นในลีกา 2

หรืออย่างคาร์ลสรูห์ ในยุค 90 ถือเป็นทีมที่กำลังมาแรงในบุนเดสลีกา พวกเขาจบอันดับครึ่งบนของตารางอย่างน่าพอใจ บางซีซั่นได้ไปเล่นในรายการยุโรปด้วย

แต่บาเยิร์น ก็เดินหน้าปฏิบัติการดูดสตาร์มาเช่นเคย โดยซื้อ 4 ผู้เล่นคนสำคัญในช่วง 4 ปี ได้แก่

ไมเคิล สเติร์นคอปฟ์ 1990
โอลิเวอร์ ครอยเซอร์ 1991
เมห์เมต โชล 1992
โอลิเวอร์ คาห์น 1994

คาร์ลสรูห์ พลังลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายพวกเขาไม่สามารถหาตัวมาทดแทนได้ จนทีมอ่อนแอลง และตกชั้นในที่สุด ปัจจุบันคาร์ลสรูห์ เล่นอยู่ในระดับลีกา 3 ยังพยายามหาหนทางกลับมาสู่ลีกสูงสุดให้ได้อีกครั้ง

หลายคนอาจจะคิดว่า ทำไมสโมสรคู่แข่งรู้ว่าบาเยิร์นใช้กลยุทธ์การดูดแบบนี้ ทำไมต้องยอมขายนักเตะให้ด้วยล่ะ ก็ปฏิเสธไปสิ

คำตอบคือ มันไม่ง่ายอย่างนั้น สมมติหัวใจของนักเตะในทีมของคุณเขาอยากไปบาเยิร์นเสียอย่าง ต่อให้รั้งตัวไว้ได้ แต่ใจไม่อยู่แล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร มันจะส่งผลเสียต่อสปิริตทีมมากกว่า

ดังนั้นเมื่อบาเยิร์น ยื่นข้อเสนอที่เหมาะสม บวกกับตัวนักเตะเองก็อยากไปอยู่แล้ว การซื้อขายจึงเกิดขึ้น สโมสรอื่นๆ ยากมากที่จะต้านทานพลังดูดของทีมเสือใต้

อีกเคสนึงที่น่าสนใจมาก คือในยุค 80 บาเยิร์น จะมีคู่แข่งตัวฉกาจคือ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ทั้งสองทีมจะผลัดกันได้แชมป์อยู่เสมอ

กลัดบัค มีผู้เล่นคีย์แมนพรสวรรค์ที่ชื่อ คัลเล่ เดล ฮาย ดาวเตะคนนี้ในวัย 24 ปี ติดทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์ยูโร 1980 ด้วย

เดล ฮาย คืออนาคตของกลัดบัค เป็นคนที่สโมสรหมายมั่นปั้นมือว่า จะพาทีมประสบความสำเร็จอย่างมากมายในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หลังจบศึกยูโร บาเยิร์น ยื่นข้อเสนอเป็นสถิติของประเทศเยอรมัน ด้วยราคา 1.26 ล้านมาร์ก และค่าเหนื่อยมหาศาล เพื่อกระชากตัว คัลเล่ เดล ฮาย ออกจากทีม

เดล ฮายเอง ก็อยากมีชื่อจารึกว่าเป็นนักเตะราคาแพงที่สุดในประเทศ ดังนั้นแม้กลัดบัคไม่อยากขาย แต่เมื่อนักเตะต้องการจะไป ก็จำเป็นต้องปล่อย

ท้ายที่สุด บาเยิร์นซื้อมาจริง แต่ตลอด 5 ปี ของเดล ฮาย ได้ลงเฉลี่ยซีซั่นละ 10 กว่าเกม ส่วนใหญ่ต้องนั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง

ทีมเสือใต้ซื้อมา ไม่ใช่แค่จะเพิ่มพลังให้ตัวเองแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการตัดพลังของกลัดบัคอีกด้วย

ถ้าคู่แข่งไม่มีสตาร์จะเอาอะไรมาต้านทานล่ะ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ

ในยุค 80 กลัดบัคได้แชมป์บุนเดสลีกาถึง 5 สมัย ,แชมป์ยูฟ่าคัพอีก 2 สมัย และรองแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพอีก 1 สมัย แต่พอเข้าสู่ปี 1980 พอเสียคัลเล่ เดล ฮายไปแล้ว จากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน กลัดบัค ไม่เคยได้แชมป์ลีกอีกเลยแม้แต่หนเดียว

ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา กลัดบัคได้แชมป์ 1 รายการเท่านั้น คือเดเอฟเบ โพคาล ในปี 1995 จากทีมใหญ่กลายเป็นทีมขนาดกลางค่อนไปทางเล็ก ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ขณะที่ตัวเดล ฮายนั้น จากที่เคยเป็นความหวังใหม่ของทีมชาติ พอย้ายไปบาเยิร์น นึกว่าตัวเองจะได้ดังเปรี้ยง แต่เปล่าเลย เขาโดนจับดองยาว และก็ไม่เคยกลับไปติดทีมชาติชุดใหญ่อีกเลย ก่อนสุดท้ายจะโดนขายทิ้งให้ ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ แบบเงียบๆในปี 1985

ไม่รู้ว่า ตัวคัลเล่ เดล ฮาย จะรู้ตัวไหม ว่าตัวเองเป็นหมากในเกมของบาเยิร์น มิวนิค?

ในเวลาต่อมา เคสของเดล ฮาย มีศิลปินชื่อมาร์คัส วีบัช เอาไปแต่งเพลงด้วย ในชื่อว่า "จำเรื่องคัลเล่ เดล ฮายได้ไหม?"

เนื้อเพลงสื่อความหมายว่า "เธอจำคัลเล่ เดล ฮายได้ไหม เขาทะเยอทะยาน อยากไปหาสิ่งที่ดีกว่า  ยอมทิ้งสิ่งดีๆที่มีในปัจจุบัน แล้วสุดท้ายเขาเองก็ต้องกลายเป็นคนที่เศร้าที่สุด ดังนั้นถ้าเธอจะทิ้งสิ่งดีๆที่มีอยู่แล้ว คิดให้ดี ก่อนตัดสินใจนะ"

-------------------------------------

จากยุค 80 สู่ยุค 90 มาจนถึงปัจจุบัน เราสังเกตได้ว่าบาเยิร์น มิวนิค จะมีนโยบายเปลี่ยนไปบ้าง คือมีการปั้นดาวรุ่งมาจากอคาเดมี่ของทีม รวมถึงซื้อผู้เล่นท็อปคลาสจากชาติอื่นในยุโรป

แต่แนวทางการดูดสตาร์ของทีมคู่แข่งก็ยังคงมีเรื่อยๆ

มิชาเอล บัลลัค มิดฟิลด์เบอร์ 1 ของทีมชาติเยอรมัน คว้าทริปเปิ้ลรองแชมป์กับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นในปี 2002 จากนั้นมาในช่วงซัมเมอร์ เขาย้ายมาเป็นสมาชิกใหม่ของบาเยิร์น

มานูเอล นอยเออร์ พาชาลเก้ คว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล และ เข้าถึงรอบรองชนะเลิศในแชมเปี้ยนส์ลีกปี 2011 จนเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันแห่งแมนฯยูไนเต็ด ยังอยากได้ตัวมาร่วมงานด้วย แต่พอเข้าซัมเมอร์ปี 2011 นอยเออร์ ก็ย้ายไปอยู่บาเยิร์น มิวนิค

หลังจากเสียนอยเออร์ไป ชาลเก้ไม่เคยเป็นแชมป์อะไรอีกเลยแม้แต่รายการเดียว

เช่นเดียวกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมที่อาจหาญมาแย่งแชมป์จากบาเยิร์น ได้ 2 สมัยติด ในซีซั่น 2010-11 และ 2011-12 แต่ทีมเสือใต้ก็เดินหน้าคว้าผู้เล่นดอร์ทมุนด์มาเสริมทัพ ถึง 3 คนในช่วงเวลาแค่ 4 ปี

มาริโอ เกิตเซ่ 2013
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ 2014
มัตส์ ฮุมเมิลส์ 2016

โดยทั้ง 3 คน ถือเป็นคีย์แมนของทีมเสือเหลืองทั้งสิ้น การที่เสียสตาร์ไป มันทำให้ดอร์ทมุนด์ยากที่จะต่อสู้ในระยะยาวกับบาเยิร์นได้

-------------------------------------

คำถามที่น่าสนใจเรื่องการดูดนักเตะ ไม่ใช่ว่า มันจริงไหม เพราะคำตอบคือ มันจริงอยู่แล้ว

ใครๆก็รู้กันว่า นี่คือกลยุทธ์การซื้อตัวของบาเยิร์น มิวนิค เสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง พร้อมลดทอนความแข็งแกร่งของคู่แข่ง

แล้วบาเยิร์นผิดไหม? คำตอบคือพวกเขาไม่ผิดเลยสักนิดเดียว บาเยิร์นทำทุกอย่างตามกรอบของกติกา ซื้อผู้เล่นตามกฎทุกอย่าง ยื่นข้อเสนอให้สโมสร แล้วเมื่อสโมสรอนุญาต ก็ไปเจรจากับนักเตะ ทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

แล้วบาเยิร์นทำแบบนี้ไม่กลัวบุนเดสลีกา จะไม่ได้รับความนิยมหรอ ถ้าลีกมันไม่สูสีใครจะอยากดูล่ะ?

จริงอยู่ การมีหลายๆทีมมีลุ้นแชมป์ มันย่อมทำให้ลีกสนุกขึ้น อันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของบาเยิร์น มันเป็นปัญหาของบุนเดสลีกาต่างหาก ว่าจะทำอย่างไร ให้ลีกมีการแข่งขันกันมากขึ้นกว่านี้

เพราะ สโมสรฟุตบอลไม่ใช่องค์กรการกุศล ถ้าหากมีโอกาสกดคู่แข่งเอาไว้ได้ต่อไป ทำไมคุณจะไม่ทำล่ะ ใครๆก็อยากให้ทีมได้แชมป์ต่อไปเรื่อยๆ ให้นานที่สุดทั้งนั้น

ดังนั้นวิธีการแก้ ทางบุนเดสลีกา ต้องทำให้มีการแข่งขันกันมากกว่านี้ กฎ 50+1 ควรถูกโละทิ้งได้แล้วหรือยัง เพื่อให้สโมสรอื่นมีกำลังทรัพย์ มาสู้กับบาเยิร์นได้

ขณะที่ สโมสรอื่นๆ ก็ต้องหาวิธีด้วยว่า ทำอย่างไร จะสามารถรั้งหัวใจของนักเตะเอาไว้กับทีมได้ต่อไป โดยไม่หลงใหลไปกับความยิ่งใหญ่ของทีมเสือใต้

ในอนาคตเชื่อว่า เราอาจเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในฟุตบอลเยอรมัน อาจจะมีสักทีมที่ก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ สู้กับบาเยิร์นได้อย่างสูสีทุกๆฤดูกาล

แต่แน่นอน ว่ามันคงไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้

#Bayern
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่