เราเติบโตมาในครอบครัวที่แตกร้าว พ่อกับแม่ทะเลาะกันทุกวัน แม่เราเป็นแม่บ้านไม่ได้ทำงานอะไรที่จริงจัง เคยขายของช่วงนึงแล้วก็หยุดไป ก่อนจะนอนอยู่บ้านเฉยๆและชอบออกไปเล่นไพ่กับเพื่อนบ้านที่ตนเองรู้จัก พ่อเป็นคนหาเงินเข้าบ้านแต่ก็ติดพนันบอลอย่างหนักจนต้องหนีไปทำงานที่อื่นเพื่อหาเงินเพิ่ม ปล่อยเรากับพี่สาวเรากับแม่ อยู่กัน 3 คนลำพัง แต่ยังส่งเงินมาให้ใช้จ่าย ทำให้แม่ก็ยังคงไม่ทำงาน และใช้เงินจากพ่อที่ส่งมาให้
ชีวิตในวัยเด็กของดิฉันโตมาด้วยคำด่าทุกๆเช้าของแม่ แม่สามารถบ่นได้ทุกเรื่อง จนทำให้เรากลัวแม่โดยไม่รู้ตัว และแม่เป็นคนที่ชอบตีดิชั้นอย่างไม่มีเหตุผล เคยโดนตีตอนเด็กๆจนเข้ามัธยมก็เคยโดนตีด้วยไม้กวาดจนเขียว ชีวิตในวัยเด็กที่จำความได้คือไม่มีความสุข ลุ้นทุกวันว่าวันนี้จะโดนอะไร จะโดนด่ามั้ย จนกลายเป็นโรคจิตอ่อนๆ
ดิชั้นรู้ตัวว่าดิชั้นเป็นเด็กเก็บกด เพราะโดนแม่ระเบิดอารมณ์ใส่มาตลอดชีวิต ภาพของแม่สำหรับคนอื่นคือความคือความอบอุ่น แต่สำหรับชั้นคือคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และเกรี้ยวกราด
เคยโดนด่าแรงสุดคือช่วงมัธยม คำสารพัดสุดจะจินตนาการได้ เช่น อี

Guขอสาปแช่งให้

E

หรือแม้กระทั่งการมีแฟนก็อาจจะโดนด่าว่า อย่าRadให้มาก สามารถออกมาได้หมด ทั้งๆที่เราก็ยังคงเรียนหนังสืออยู่และไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกอะไร
แม่มักจะพูดกรอกหูให้ดิฉันได้ยินบ่อยๆว่าถ้าทำงานแล้วต้องเลี้ยงเค้า ต้องหาเงินให้เค้าสบายดิชั้นกับพี่สาวต้องหาเงินให้เค้าใช้ขั้นต่ำเดือนละหมื่น คือสิ่งที่เค้าชอบบอกดิชั้น แต่ในใจเราคิดอีกมิติหนึ่งคือทำไมต้องตอบแทนบุญคุณด้วยเงินต่อเดือนสูงขนาดนี้ แม่เลี้ยงเรามาแบบอดๆอยากๆ ไม่ได้เลี้ยงแบบตั้งใจจะเลี้ยงให้ดี กลับมาจากโรงเรียนสิ่งที่พบคือแม่ไปอยู่ที่วงไพ่ ไม่ได้หาข้าวหาปลาให้ลูกกิน พี่สาวเราเคยรอแม่กลับมาบ้าน เพราะอยู่ที่บ้านไม่มีอาหารเหลือ แต่แม่ไม่กลับจนตอนนั้นหิวมาก กินแต่น้ำเปล่าประทังชีวิตไป ภาพที่เราคุ้นตาคือเราต้องเดินไปขอเงินแม่ในวงไพ่มาซื้อข้าวกิน ซึ่งเป็นภาพที่แย่มากๆ และเราไม่ชอบบรรยากาศวงไพ่แบบสุดๆ
ในชีวิตของดิชั้นในวัยเด็กจนมัธยมไม่เคยได้เสื้อใหม่ๆที่วัยรุ่นชอบใส่เหมือนคนอื่น แม่มักจะซื้อเสื้อผ้าของตนเองเป็นประจำ แต่กลับไม่เคยซื้อเสื้อผ้าให้พวกเรา และชอบบอกกับพวกเราว่าตอนวัยรุ่นตัวเองก็ไม่ค่อยมีเสื้อผ้าไปเที่ยวเหมือนกัน มีแค่ชุดเดียวยังอยู่ได้ เสื้อผ้าที่ดิชั้นกับพี่สาวมีคือเสื้อที่ น้า อา ญาติคนอื่นๆบริจาคมาให้ บางตัวเป็นเสื้อผู้ชาย แต่เราก็ใส่ไปเที่ยวเพราะไม่มีทางเลือก ในชีวิตวัยเด็กดิชั้นไม่เคยทานอาหารในห้างสรรพสินค้า จำได้ครั้งเดียวคือเพื่อนพาไปทาน KFC ซึ่งเป็นครั้งเดียวในชีวิตวัยเด็กที่เคยไป และจำได้ไม่ลืม
เราเคยคิดอยากไปอยู่กับพ่อ แต่ก็ได้รับรู้ว่าที่พ่อไปทำงานและหนีพวกเราไปเพราะตอนนี้พ่อมีเมียใหม่แล้ว แต่พ่อก็ยังไม่ลืมที่จะส่งเงินให้พวกเรา แต่แม่มักจะพยายามพูดให้เราเกลียดพ่อทุกๆครั้ง ทุกๆวันจนเราเก็บกด ในบางทีดิชั้นก็เคยคิดดีใจที่พ่อแม่เลิกกัน เพราะตอนช่วงที่พ่อแม่อยู่ด้วยกันพ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน ด่ากันจนชาวบ้านได้ยิน หนักสุดคือพ่อทะเลาะกับแม่แล้วเขวี้ยงจานข้าว แต่ดันมาโดนหน้าเรา จนทำให้เรามีแผลเป็นอยู่ที่ระหว่างจมูก ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีร่องรอยอยู่แต่ไม่ชัดมาก
เรากลายเป็นเด็กสติแตกก็ไม่เชิง เพราะสภาพชีวิตที่อยู่ในขณะนั้นไม่มีอะไรที่อำนวยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ แต่มันก็มีข้อดีอย่างนึงคือทำให้เราคิดหาทางวิธีต่างๆเพื่อจะได้หลุดพ้นจากวังวนแย่ๆแบบนี้ เรากับพี่สาวจึงตั้งใจเรียนแม้พวกเราจะไม่ใช่เด็กเรียนดี แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็มองว่า เราจะไม่มีวันที่จะทิ้งการเรียนเพราะไม่อย่างนั้น เราก็จะเจอชีวิตแย่ๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ด้วยภาวะจิตใจที่แย่จากสภาวะในบ้าน จึงทำให้ดิชั้นพยายามหาความสุขจากนอกบ้าน ในช่วงชีวิตวัยเรียนดิชั้นมีแฟนเป็นผู้ชายมาตลอด จนจะเรียกว่าวันๆคิดแต่เรื่องความรักจากผู้ชายก็ไม่เชิง การได้ไปกินข้าวนอกบ้าน มีแฟนซื้อของให้ ได้ขับมอไซค์ไปเที่ยวมันคือความสุขที่หลีกหนีจากปัญหาที่บ้าน ในเมื่อแม่ไม่สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเราได้ เราเลยเลือกที่จะมีแฟนเป็นผู้ชายเป็นคนที่ให้ความสุขและยิ้มได้มากกว่า แม้ความรักเหล่านั้นจะเป็นความรักฉาบฉวยไม่ถาวรในช่วงมัธยม
พี่สาวดิชั้นตั้งใจเรียนจนสอบติดคณะหนึ่งที่สามารถเป็นหน้าเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัวได้(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อคณะ) และถ้าจบมาคือสบาย มีงานรองรับ มีเงินแน่ๆ ครอบครัวก็ได้หน้า ในช่วงนั้นเหมือนแม่รู้ว่าพี่สาวจะสามารถทำเงินให้ตัวเองได้ในอนาคต ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่ดีกับพี่สาวมากๆ พูดดี หากับข้าวให้กิน ส่วนเราก็ยังคงเป็นหมาหัวเน่าเหมือนเดิมเพราะยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม แถมเรียนได้เกรดไม่เยอะแบบพี่สาว
แม่จะชอบพร่ำบ่นว่าแม่มีหนี้เป็นแสน ต้องรีบเรียนจบมาหาเงินช่วยแม่ใช้หนี้นะ คือเอาจริงๆเราก็งงว่าแม่ไม่ได้ทำงาน ทำไมมีเครดิตไปเป็นหนี้หลักแสน แล้วเราสองคนพี่น้องก็ไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมาย แล้วหนี้มาจากไหน เราไม่เคยถามเรื่องนี้กับแม่ ได้แต่ตั้งคำถามในใจ
หลังจากเราจบมัธยม เราก็เอนติดโควต้ามหาลัยรัฐแห่งหนึ่ง โชคดีที่เรียนไกลบ้านเลยทำให้เราอยู่หอจึงทำให้เราห่างจากบ้านที่เป็นเหมือนนรกสักพัก จนมารู้อีกทีคือพี่สาวเรารู้สึกเรียนในคณะที่เป็นหน้าเป็นตากับครอบครัวไม่ไหว และรู้สึกว่าคณะนี้ไม่ใช่สำหรับตัวเอง และอยากซิ่วไปเรียนคณะอื่นที่เกี่ยวกับภาษา
พอแม่รู้เรื่องว่าพี่สาวเราอยากซิ่วเพราะไม่ชอบเรียนคณะปัจจุบัน แม่ก็ไม่ยอมโดยให้เหตุผลว่าอยากให้อดทน เอาจริงๆเรารู้เหตุผลลึกๆจากใจแม่เราคือ อายคนแถวบ้านถ้าลูกซิ่ว และคิดไม่ออกว่าถ้าลูกไปเรียนคณะใหม่จะหางานง่ายมีงานรองรับเหมือนคณะนี้มั้ย เพราะอยากได้ตังค์จากลูกหลังเรียนจบ
เอาจริงๆเงินที่ส่งเรียนก็เงินพ่อ แม่ไม่ได้ทำงานแต่กุมเงินพ่อไว้ในมือทุกบาท แล้วแจกแจงพูดพร่ำมาว่าดูแลพวกเรา ทำให้เราประสบความสำเร็จเข้ามหาลัยได้ ซึ่งเอาจริงๆเค้าไม่รู้เบื้องหลังพวกเราอยากหลุดพ้นจากวงจรชีวิตเกรี้ยวกราดของแม่ขนาดไหน เลยทำทุกอย่างเพื่อหนีออกมาจากวงจรนี้ เค้าไม่ได้สนับสนุนอะไร นอกจากออกไปเล่นไพ่กับเจอเพื่อนฝูง เงินซื้อหนังสือติวเข้ามหาลัยเรายังไม่มีตังค์ ต้องไปยืมเล่มเก่าจากคนอื่นม
เราสองพี่น้องตั้งใจเรียนจนเรียนจบ พี่สาวเราได้ทำงานที่มั่นคง ส่วนเราก็จบได้เกียรตินิยม แต่ก็ไม่วายวันรับปริญญาของเรา เราได้แผลหัวใจที่ยากจะลืมเลือนตลอดชีวิต และคิดว่าคงฝังใจไปตลอดกาล
เราวางแผนว่าไม่อยากเข้ารับปริญญาเพราะขี้เกียจไปต่อแถว ขี้เกียจตื่นมาแต่งหน้าตอนดึกๆ การเรียนจบของเราแค่เรียนให้ดีก็พอ ไม่ได้ต้องการอยากถ่ายรูปอะไร แต่แม่ก็อยากให้เราเข้ารับ อยากมีรูปเก็บไว้โชว์ที่บ้าน
เราทำตามคำขอแม่ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่รับเสร็จมีการเลี้ยงฉลองวันรับปริญญาที่บ้านและมีคนเอาเงินมาใส่ซองมาให้เราเพื่อยินดีกับเรา ปรากฏว่าแม่เราถือเงิน เราเลยขอแม่ว่าให้เอาเงินก้อนนี้ให้เราเพราะเราจะให้ป้า เพราะป้าช่วยครอบครัวเรามาเยอะ (ตอนช่วงบ้านเรามีปัญหาป้าให้ตังค์มาช่วยส่วนหนึ่ง) แม่ไม่พอใจและทะเลาะกับเรา เราก็ทะเลาะกลับเพราะมันไม่สมเหตุสมผลที่แม่จะถือเงินที่คนเอามาให้เราแบบนี้และเราควรมีสิทธิ์ในเงินก้อนนี้ ก่อนที่แม่จะตีเราต่อหน้าญาติๆ และตีเราทั้งๆที่มันเป็นวันรับปริญญาของเรา วันที่เราควรดีใจที่สุด แต่เปล่าเลยกลายเป็นวันที่เราโดนตี และจำฝังใจที่สุดในชีวิต ทุกวันนี้ภาพนั้นยังหลอนอยู่ ฝังในหัวเราและคงฝังตลอดชีวิต
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเราเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง(เคยทำแบบทดสอบจากกรมสุขภาพจิตแล้ว) ทั้งปัญหาภาพความทรงจำร้ายๆในอดีต มันส่งผลต่อหน้าที่การงานปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราเป็นคนร้องไห้ง่าย ทำอะไรเหม่อลอย บางครั้งมองไปตึกออฟฟิสที่ทำงานเราก็อยากกระโดดให้ตายๆไปซะ
เราโชคดีที่แฟนเราคนปัจจุบันเข้าใจปมอดีตของเรา เค้าเลยรับได้กับความผิดปกติทางอารมณ์ที่วันดีคืนดีก็นอนน้ำตาไหลอยู่คนเดียวของเรา ซึ่งมีผลจากปมในอดีตที่เจอมาอย่างยาวนาน เราบอกทุกสิ่งในชีวิตที่เกิดขึ้นกับเราให้แฟนได้รับรู้ ช่วงแรกอาจจะมีโกหกกับแฟนบางเรื่องบ้างไม่อยากเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังทุกเรื่อง แต่สุดท้ายทุกอย่างความจริงก็ต้องบอกอยู่ดี จนปัจจุบันเราคบกันแฟนมา 3 ปีกว่า
หลังจากเรียนจบได้ทำงาน เราตัดสินใจทำงานที่กทม. เราเรียนจบเกียรตินิยมก็จริง แต่เราเปลี่ยนงานบ่อยมากๆ ทำงานได้ที่ละไม่กี่เดือน เนื่องจากไม่สามารถจดจ่อในการทำงานได้ ผลของความไม่มั่นคงในอารมณ์ ไม่มีสติในการทำงาน อาการโรคซึมเศร้า ทำให้เราทำงานไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากนัก
เราพยายามสู้กับโรคซึมเศร้าโดยการพยายามออกไปช๊อปปิ้ง ซื้อของแบรนด์เนม กินอาหารร้านหรูๆ พยายามซื้อบ้านซื้อรถได้สำเร็จก่อนอายุ 30 ปี โดยคิดแค่ว่าถ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ เราจะภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองมีค่า และอาการโรคซึมเศร้าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยสิ่งเหล่านี้ไม่ช่วยอะไร อาการของโรคยังไม่ดีขึ้น
พี่สาวเราเคยคุยกับสิ่งเหล่านี้กับแม่ แต่แม่ก็มักใช้เหตุผลแก้ตัวและไม่ได้มองว่าการกระทำที่ทำกับลูกนั้นเป็นสิ่งที่ผิด แถมกลับมองว่าถ้าตนเองนั้นเลี้ยงลูกแบบตามใจ ให้ทุกอย่างพวกเราคงไม่ดิ้นรนหาทางสำเร็จจนเป็นคนเก่งทุกวันนี้ ซึ่งเป็นตรรกะที่ย้อนแย้งมา
แม่เราแต่งงานใหม่และได้สามีใหม่ ซึ่งสามีคนนี้แม่หลงมาก บอกว่าเค้าเป็นคนดีกว่าพ่อเราในทุกๆอย่าง แต่สำหรับเราผู้ชายที่เป็นสามีใหม่แม่เป็นคนที่ขี้งกมาก ไม่เคยเจียดตังค์อะไรสักอย่าง เงินที่แม่ใช้ทุกวันนี้คือเงินที่เราส่งให้แม่ใช้
เหตุการณ์สุดท้ายที่ทำให้เรารับไม่ได้กับแม่อีกต่อไปคือการที่แม่ทิ้งลูกให้เผชิญปัญหาตามลำพัง เหตุการณ์เกิดเมื่อพี่สาวเราเกิดปัญหาทางการเงินกระทันหัน แล้วจะโดนธนาคารฟ้อง แม่สามารถขอสามีของแม่ที่เป็นราชการกู้ยืมเงินเพื่อมาช่วยพี่สาวเราได้ เราก็ช่วยพี่สาวส่วนหนึ่ง แต่แม่กลับไม่ทำ และให้เหตุผลว่าสามีใหม่ของแม่หนี้เยอะแล้ว เรารู้สึกโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด เพราะพี่สาวเราเป็นคนดีมาก ตอนมีเงินเคยให้เงินแม่เราเป็นหลักแสนเมื่อคิดรวมกัน แต่แม่ก็ผลาญเงินในเวลาแปบเดียว
พอเราถามว่าเงินหายไปไหน แม่บอกว่าเอาไปใช้หนี้สิน ตอนนั้นเราก็โง่เชื่อทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเค้าไปกินไปเล่นไพ่ ที่ดินที่พ่อเราเคยให้แม่ก็เอาไปจำนำเอาเงินออกมา 3 หมื่น เอามากินมาเล่นแล้วโดนโกงทั้งๆที่ดินราคาหลายแสน
เรารู้สึกเกลียดแม่มากขึ้น ในใจทุกวันเหมือนตกนรกอยากตัดขาดความเป็นแม่ลูก อยากตายในทุกๆวัน เรารู้ว่าคิดแบบนี้เราบาป แต่เรามองว่าผู้หญิงที่อ้างเหตุผลว่าคลอดเรามาอุ้มท้องเรา 9 เดือน แต่ไม่เคยทำให้ชีวิตเรามีความสุข ตกนรกทั้งเป็น เรายังควรเคารพอยู่มั้ย คนที่ทำให้เราคิดฝันร้ายมีแผลในใจในทุกๆวัน หรือเป็นเพราะเราคิดมากเกินไป เราไม่รู้จริงๆจะเอายังไงต่อ เราอยากตายในทุกๆวัน เราไม่รู้จะไปทางไหนดี
คำพูดของแม่ในวันที่ทะเลาะกันเพราะว่าเราต้องการให้แม่โอนที่ดินที่พ่อเคยโอนให้แม่ให้พี่สาว เพราะที่อีกแปลงแม่เอาไปขายกินแบบราคาถูกๆไปแล้ว เรากลัวที่ตรงนี้หลุดไปอีกผืนเพราะมันราคาแพงมากขึ้น แม่ด่าเราว่า อีไม่มีค่า อีอัปปรีย์ อีเลว คำต่างๆนาพลั่งพลูมาหมด
เราคุยโทรศัพท์ร้องไห้และบอกว่าแม่ทำต้องด่าหนูทุกวัน ตีหนูอย่างรุนแรง เราพูดไปร้องไห้ไป และบอกว่าถ้าตอนเด็กๆมีคนเค้าไปฟ้องมูลนิธิคุ้มครองเด็กหรือสมัยนั้นมีโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คป่านนี้แม่ไม่มีสิทธิเลี้ยงลูกแล้ว เพราะแม่ทำกับลูกเหมือนไม่ใช่คน
แต่คำที่สวนกลับมาคือ อย่ามาปากเก่งกับGu ถ้าตอนนี้อยู่ต่อหน้า Guก็จะตีให้ตายคามือเหมือนตอนเด็กๆเหมือนเดิม ทั้งๆที่เราวัยทำงานแล้ว แม่ก็ยังคงต้องการจะตีเราเหมือนเดิม
เราโกรธแค้นแม่มาก บางครั้งอยากให้เค้าตายๆไปซะ เรารู้ว่าบาปแต่ความคิดมันหยุดไม่ได้จริงๆ
ต้องทำไงดีคะ เราพิมพ์ก็ร้องไห้ไป
อยากฆ่าตัวตายเพราะคนที่ได้ชื่อว่าบุพการี ทำไงดีคะ
ชีวิตในวัยเด็กของดิฉันโตมาด้วยคำด่าทุกๆเช้าของแม่ แม่สามารถบ่นได้ทุกเรื่อง จนทำให้เรากลัวแม่โดยไม่รู้ตัว และแม่เป็นคนที่ชอบตีดิชั้นอย่างไม่มีเหตุผล เคยโดนตีตอนเด็กๆจนเข้ามัธยมก็เคยโดนตีด้วยไม้กวาดจนเขียว ชีวิตในวัยเด็กที่จำความได้คือไม่มีความสุข ลุ้นทุกวันว่าวันนี้จะโดนอะไร จะโดนด่ามั้ย จนกลายเป็นโรคจิตอ่อนๆ
ดิชั้นรู้ตัวว่าดิชั้นเป็นเด็กเก็บกด เพราะโดนแม่ระเบิดอารมณ์ใส่มาตลอดชีวิต ภาพของแม่สำหรับคนอื่นคือความคือความอบอุ่น แต่สำหรับชั้นคือคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และเกรี้ยวกราด
เคยโดนด่าแรงสุดคือช่วงมัธยม คำสารพัดสุดจะจินตนาการได้ เช่น อี
แม่มักจะพูดกรอกหูให้ดิฉันได้ยินบ่อยๆว่าถ้าทำงานแล้วต้องเลี้ยงเค้า ต้องหาเงินให้เค้าสบายดิชั้นกับพี่สาวต้องหาเงินให้เค้าใช้ขั้นต่ำเดือนละหมื่น คือสิ่งที่เค้าชอบบอกดิชั้น แต่ในใจเราคิดอีกมิติหนึ่งคือทำไมต้องตอบแทนบุญคุณด้วยเงินต่อเดือนสูงขนาดนี้ แม่เลี้ยงเรามาแบบอดๆอยากๆ ไม่ได้เลี้ยงแบบตั้งใจจะเลี้ยงให้ดี กลับมาจากโรงเรียนสิ่งที่พบคือแม่ไปอยู่ที่วงไพ่ ไม่ได้หาข้าวหาปลาให้ลูกกิน พี่สาวเราเคยรอแม่กลับมาบ้าน เพราะอยู่ที่บ้านไม่มีอาหารเหลือ แต่แม่ไม่กลับจนตอนนั้นหิวมาก กินแต่น้ำเปล่าประทังชีวิตไป ภาพที่เราคุ้นตาคือเราต้องเดินไปขอเงินแม่ในวงไพ่มาซื้อข้าวกิน ซึ่งเป็นภาพที่แย่มากๆ และเราไม่ชอบบรรยากาศวงไพ่แบบสุดๆ
ในชีวิตของดิชั้นในวัยเด็กจนมัธยมไม่เคยได้เสื้อใหม่ๆที่วัยรุ่นชอบใส่เหมือนคนอื่น แม่มักจะซื้อเสื้อผ้าของตนเองเป็นประจำ แต่กลับไม่เคยซื้อเสื้อผ้าให้พวกเรา และชอบบอกกับพวกเราว่าตอนวัยรุ่นตัวเองก็ไม่ค่อยมีเสื้อผ้าไปเที่ยวเหมือนกัน มีแค่ชุดเดียวยังอยู่ได้ เสื้อผ้าที่ดิชั้นกับพี่สาวมีคือเสื้อที่ น้า อา ญาติคนอื่นๆบริจาคมาให้ บางตัวเป็นเสื้อผู้ชาย แต่เราก็ใส่ไปเที่ยวเพราะไม่มีทางเลือก ในชีวิตวัยเด็กดิชั้นไม่เคยทานอาหารในห้างสรรพสินค้า จำได้ครั้งเดียวคือเพื่อนพาไปทาน KFC ซึ่งเป็นครั้งเดียวในชีวิตวัยเด็กที่เคยไป และจำได้ไม่ลืม
เราเคยคิดอยากไปอยู่กับพ่อ แต่ก็ได้รับรู้ว่าที่พ่อไปทำงานและหนีพวกเราไปเพราะตอนนี้พ่อมีเมียใหม่แล้ว แต่พ่อก็ยังไม่ลืมที่จะส่งเงินให้พวกเรา แต่แม่มักจะพยายามพูดให้เราเกลียดพ่อทุกๆครั้ง ทุกๆวันจนเราเก็บกด ในบางทีดิชั้นก็เคยคิดดีใจที่พ่อแม่เลิกกัน เพราะตอนช่วงที่พ่อแม่อยู่ด้วยกันพ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน ด่ากันจนชาวบ้านได้ยิน หนักสุดคือพ่อทะเลาะกับแม่แล้วเขวี้ยงจานข้าว แต่ดันมาโดนหน้าเรา จนทำให้เรามีแผลเป็นอยู่ที่ระหว่างจมูก ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีร่องรอยอยู่แต่ไม่ชัดมาก
เรากลายเป็นเด็กสติแตกก็ไม่เชิง เพราะสภาพชีวิตที่อยู่ในขณะนั้นไม่มีอะไรที่อำนวยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์ แต่มันก็มีข้อดีอย่างนึงคือทำให้เราคิดหาทางวิธีต่างๆเพื่อจะได้หลุดพ้นจากวังวนแย่ๆแบบนี้ เรากับพี่สาวจึงตั้งใจเรียนแม้พวกเราจะไม่ใช่เด็กเรียนดี แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็มองว่า เราจะไม่มีวันที่จะทิ้งการเรียนเพราะไม่อย่างนั้น เราก็จะเจอชีวิตแย่ๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ด้วยภาวะจิตใจที่แย่จากสภาวะในบ้าน จึงทำให้ดิชั้นพยายามหาความสุขจากนอกบ้าน ในช่วงชีวิตวัยเรียนดิชั้นมีแฟนเป็นผู้ชายมาตลอด จนจะเรียกว่าวันๆคิดแต่เรื่องความรักจากผู้ชายก็ไม่เชิง การได้ไปกินข้าวนอกบ้าน มีแฟนซื้อของให้ ได้ขับมอไซค์ไปเที่ยวมันคือความสุขที่หลีกหนีจากปัญหาที่บ้าน ในเมื่อแม่ไม่สามารถเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเราได้ เราเลยเลือกที่จะมีแฟนเป็นผู้ชายเป็นคนที่ให้ความสุขและยิ้มได้มากกว่า แม้ความรักเหล่านั้นจะเป็นความรักฉาบฉวยไม่ถาวรในช่วงมัธยม
พี่สาวดิชั้นตั้งใจเรียนจนสอบติดคณะหนึ่งที่สามารถเป็นหน้าเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัวได้(ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อคณะ) และถ้าจบมาคือสบาย มีงานรองรับ มีเงินแน่ๆ ครอบครัวก็ได้หน้า ในช่วงนั้นเหมือนแม่รู้ว่าพี่สาวจะสามารถทำเงินให้ตัวเองได้ในอนาคต ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม่ดีกับพี่สาวมากๆ พูดดี หากับข้าวให้กิน ส่วนเราก็ยังคงเป็นหมาหัวเน่าเหมือนเดิมเพราะยังเรียนหนังสืออยู่มัธยม แถมเรียนได้เกรดไม่เยอะแบบพี่สาว
แม่จะชอบพร่ำบ่นว่าแม่มีหนี้เป็นแสน ต้องรีบเรียนจบมาหาเงินช่วยแม่ใช้หนี้นะ คือเอาจริงๆเราก็งงว่าแม่ไม่ได้ทำงาน ทำไมมีเครดิตไปเป็นหนี้หลักแสน แล้วเราสองคนพี่น้องก็ไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมาย แล้วหนี้มาจากไหน เราไม่เคยถามเรื่องนี้กับแม่ ได้แต่ตั้งคำถามในใจ
หลังจากเราจบมัธยม เราก็เอนติดโควต้ามหาลัยรัฐแห่งหนึ่ง โชคดีที่เรียนไกลบ้านเลยทำให้เราอยู่หอจึงทำให้เราห่างจากบ้านที่เป็นเหมือนนรกสักพัก จนมารู้อีกทีคือพี่สาวเรารู้สึกเรียนในคณะที่เป็นหน้าเป็นตากับครอบครัวไม่ไหว และรู้สึกว่าคณะนี้ไม่ใช่สำหรับตัวเอง และอยากซิ่วไปเรียนคณะอื่นที่เกี่ยวกับภาษา
พอแม่รู้เรื่องว่าพี่สาวเราอยากซิ่วเพราะไม่ชอบเรียนคณะปัจจุบัน แม่ก็ไม่ยอมโดยให้เหตุผลว่าอยากให้อดทน เอาจริงๆเรารู้เหตุผลลึกๆจากใจแม่เราคือ อายคนแถวบ้านถ้าลูกซิ่ว และคิดไม่ออกว่าถ้าลูกไปเรียนคณะใหม่จะหางานง่ายมีงานรองรับเหมือนคณะนี้มั้ย เพราะอยากได้ตังค์จากลูกหลังเรียนจบ
เอาจริงๆเงินที่ส่งเรียนก็เงินพ่อ แม่ไม่ได้ทำงานแต่กุมเงินพ่อไว้ในมือทุกบาท แล้วแจกแจงพูดพร่ำมาว่าดูแลพวกเรา ทำให้เราประสบความสำเร็จเข้ามหาลัยได้ ซึ่งเอาจริงๆเค้าไม่รู้เบื้องหลังพวกเราอยากหลุดพ้นจากวงจรชีวิตเกรี้ยวกราดของแม่ขนาดไหน เลยทำทุกอย่างเพื่อหนีออกมาจากวงจรนี้ เค้าไม่ได้สนับสนุนอะไร นอกจากออกไปเล่นไพ่กับเจอเพื่อนฝูง เงินซื้อหนังสือติวเข้ามหาลัยเรายังไม่มีตังค์ ต้องไปยืมเล่มเก่าจากคนอื่นม
เราสองพี่น้องตั้งใจเรียนจนเรียนจบ พี่สาวเราได้ทำงานที่มั่นคง ส่วนเราก็จบได้เกียรตินิยม แต่ก็ไม่วายวันรับปริญญาของเรา เราได้แผลหัวใจที่ยากจะลืมเลือนตลอดชีวิต และคิดว่าคงฝังใจไปตลอดกาล
เราวางแผนว่าไม่อยากเข้ารับปริญญาเพราะขี้เกียจไปต่อแถว ขี้เกียจตื่นมาแต่งหน้าตอนดึกๆ การเรียนจบของเราแค่เรียนให้ดีก็พอ ไม่ได้ต้องการอยากถ่ายรูปอะไร แต่แม่ก็อยากให้เราเข้ารับ อยากมีรูปเก็บไว้โชว์ที่บ้าน
เราทำตามคำขอแม่ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่รับเสร็จมีการเลี้ยงฉลองวันรับปริญญาที่บ้านและมีคนเอาเงินมาใส่ซองมาให้เราเพื่อยินดีกับเรา ปรากฏว่าแม่เราถือเงิน เราเลยขอแม่ว่าให้เอาเงินก้อนนี้ให้เราเพราะเราจะให้ป้า เพราะป้าช่วยครอบครัวเรามาเยอะ (ตอนช่วงบ้านเรามีปัญหาป้าให้ตังค์มาช่วยส่วนหนึ่ง) แม่ไม่พอใจและทะเลาะกับเรา เราก็ทะเลาะกลับเพราะมันไม่สมเหตุสมผลที่แม่จะถือเงินที่คนเอามาให้เราแบบนี้และเราควรมีสิทธิ์ในเงินก้อนนี้ ก่อนที่แม่จะตีเราต่อหน้าญาติๆ และตีเราทั้งๆที่มันเป็นวันรับปริญญาของเรา วันที่เราควรดีใจที่สุด แต่เปล่าเลยกลายเป็นวันที่เราโดนตี และจำฝังใจที่สุดในชีวิต ทุกวันนี้ภาพนั้นยังหลอนอยู่ ฝังในหัวเราและคงฝังตลอดชีวิต
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเราเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง(เคยทำแบบทดสอบจากกรมสุขภาพจิตแล้ว) ทั้งปัญหาภาพความทรงจำร้ายๆในอดีต มันส่งผลต่อหน้าที่การงานปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราเป็นคนร้องไห้ง่าย ทำอะไรเหม่อลอย บางครั้งมองไปตึกออฟฟิสที่ทำงานเราก็อยากกระโดดให้ตายๆไปซะ
เราโชคดีที่แฟนเราคนปัจจุบันเข้าใจปมอดีตของเรา เค้าเลยรับได้กับความผิดปกติทางอารมณ์ที่วันดีคืนดีก็นอนน้ำตาไหลอยู่คนเดียวของเรา ซึ่งมีผลจากปมในอดีตที่เจอมาอย่างยาวนาน เราบอกทุกสิ่งในชีวิตที่เกิดขึ้นกับเราให้แฟนได้รับรู้ ช่วงแรกอาจจะมีโกหกกับแฟนบางเรื่องบ้างไม่อยากเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังทุกเรื่อง แต่สุดท้ายทุกอย่างความจริงก็ต้องบอกอยู่ดี จนปัจจุบันเราคบกันแฟนมา 3 ปีกว่า
หลังจากเรียนจบได้ทำงาน เราตัดสินใจทำงานที่กทม. เราเรียนจบเกียรตินิยมก็จริง แต่เราเปลี่ยนงานบ่อยมากๆ ทำงานได้ที่ละไม่กี่เดือน เนื่องจากไม่สามารถจดจ่อในการทำงานได้ ผลของความไม่มั่นคงในอารมณ์ ไม่มีสติในการทำงาน อาการโรคซึมเศร้า ทำให้เราทำงานไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากนัก
เราพยายามสู้กับโรคซึมเศร้าโดยการพยายามออกไปช๊อปปิ้ง ซื้อของแบรนด์เนม กินอาหารร้านหรูๆ พยายามซื้อบ้านซื้อรถได้สำเร็จก่อนอายุ 30 ปี โดยคิดแค่ว่าถ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ เราจะภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองมีค่า และอาการโรคซึมเศร้าจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยสิ่งเหล่านี้ไม่ช่วยอะไร อาการของโรคยังไม่ดีขึ้น
พี่สาวเราเคยคุยกับสิ่งเหล่านี้กับแม่ แต่แม่ก็มักใช้เหตุผลแก้ตัวและไม่ได้มองว่าการกระทำที่ทำกับลูกนั้นเป็นสิ่งที่ผิด แถมกลับมองว่าถ้าตนเองนั้นเลี้ยงลูกแบบตามใจ ให้ทุกอย่างพวกเราคงไม่ดิ้นรนหาทางสำเร็จจนเป็นคนเก่งทุกวันนี้ ซึ่งเป็นตรรกะที่ย้อนแย้งมา
แม่เราแต่งงานใหม่และได้สามีใหม่ ซึ่งสามีคนนี้แม่หลงมาก บอกว่าเค้าเป็นคนดีกว่าพ่อเราในทุกๆอย่าง แต่สำหรับเราผู้ชายที่เป็นสามีใหม่แม่เป็นคนที่ขี้งกมาก ไม่เคยเจียดตังค์อะไรสักอย่าง เงินที่แม่ใช้ทุกวันนี้คือเงินที่เราส่งให้แม่ใช้
เหตุการณ์สุดท้ายที่ทำให้เรารับไม่ได้กับแม่อีกต่อไปคือการที่แม่ทิ้งลูกให้เผชิญปัญหาตามลำพัง เหตุการณ์เกิดเมื่อพี่สาวเราเกิดปัญหาทางการเงินกระทันหัน แล้วจะโดนธนาคารฟ้อง แม่สามารถขอสามีของแม่ที่เป็นราชการกู้ยืมเงินเพื่อมาช่วยพี่สาวเราได้ เราก็ช่วยพี่สาวส่วนหนึ่ง แต่แม่กลับไม่ทำ และให้เหตุผลว่าสามีใหม่ของแม่หนี้เยอะแล้ว เรารู้สึกโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด เพราะพี่สาวเราเป็นคนดีมาก ตอนมีเงินเคยให้เงินแม่เราเป็นหลักแสนเมื่อคิดรวมกัน แต่แม่ก็ผลาญเงินในเวลาแปบเดียว
พอเราถามว่าเงินหายไปไหน แม่บอกว่าเอาไปใช้หนี้สิน ตอนนั้นเราก็โง่เชื่อทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเค้าไปกินไปเล่นไพ่ ที่ดินที่พ่อเราเคยให้แม่ก็เอาไปจำนำเอาเงินออกมา 3 หมื่น เอามากินมาเล่นแล้วโดนโกงทั้งๆที่ดินราคาหลายแสน
เรารู้สึกเกลียดแม่มากขึ้น ในใจทุกวันเหมือนตกนรกอยากตัดขาดความเป็นแม่ลูก อยากตายในทุกๆวัน เรารู้ว่าคิดแบบนี้เราบาป แต่เรามองว่าผู้หญิงที่อ้างเหตุผลว่าคลอดเรามาอุ้มท้องเรา 9 เดือน แต่ไม่เคยทำให้ชีวิตเรามีความสุข ตกนรกทั้งเป็น เรายังควรเคารพอยู่มั้ย คนที่ทำให้เราคิดฝันร้ายมีแผลในใจในทุกๆวัน หรือเป็นเพราะเราคิดมากเกินไป เราไม่รู้จริงๆจะเอายังไงต่อ เราอยากตายในทุกๆวัน เราไม่รู้จะไปทางไหนดี
คำพูดของแม่ในวันที่ทะเลาะกันเพราะว่าเราต้องการให้แม่โอนที่ดินที่พ่อเคยโอนให้แม่ให้พี่สาว เพราะที่อีกแปลงแม่เอาไปขายกินแบบราคาถูกๆไปแล้ว เรากลัวที่ตรงนี้หลุดไปอีกผืนเพราะมันราคาแพงมากขึ้น แม่ด่าเราว่า อีไม่มีค่า อีอัปปรีย์ อีเลว คำต่างๆนาพลั่งพลูมาหมด
เราคุยโทรศัพท์ร้องไห้และบอกว่าแม่ทำต้องด่าหนูทุกวัน ตีหนูอย่างรุนแรง เราพูดไปร้องไห้ไป และบอกว่าถ้าตอนเด็กๆมีคนเค้าไปฟ้องมูลนิธิคุ้มครองเด็กหรือสมัยนั้นมีโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คป่านนี้แม่ไม่มีสิทธิเลี้ยงลูกแล้ว เพราะแม่ทำกับลูกเหมือนไม่ใช่คน
แต่คำที่สวนกลับมาคือ อย่ามาปากเก่งกับGu ถ้าตอนนี้อยู่ต่อหน้า Guก็จะตีให้ตายคามือเหมือนตอนเด็กๆเหมือนเดิม ทั้งๆที่เราวัยทำงานแล้ว แม่ก็ยังคงต้องการจะตีเราเหมือนเดิม
เราโกรธแค้นแม่มาก บางครั้งอยากให้เค้าตายๆไปซะ เรารู้ว่าบาปแต่ความคิดมันหยุดไม่ได้จริงๆ
ต้องทำไงดีคะ เราพิมพ์ก็ร้องไห้ไป