Never Seen In Kansai ตะลุยเดี่ยวรอบคันไซฉบับมนุษย์เงินเดือน (6D 5N Osaka Kyoto Uji Wakayama Koyasan)


สวัสดีครับผม

ห่างหายไปนาน วันนี้ก็อยากจะแชร์ประสบการณ์ฉายเดี่ยวที่ญี่ปุ่น (อีกแล้ว) ตามแบบมนุษย์เงินเดือนอันน้อยนิด คราวนี้เป็นครั้งที่สองที่มาที่คันไซ แต่ครั้งนี้เรามาช่วงฤดูใบไม้ผลิ ช่วงวันที่ 23-28 มี.ค. 62 จะพยายามไปเมืองเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน เพราะเริ่มเบื่อกับการที่ต้องไปแย่งขึ้นรถ แย่งกันกิน หามุมสงบๆ อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ไปบ้าง ส่วน Master Plan ก็จะประมาณนี้นะครับ

ปล. ส่วนอันนี้เป็นลิงค์เก่าที่ไปโตเกียวเมื่อเกือบสองปีก่อน เพื่อมีใครสนใจนะครับ
https://pantip.com/topic/37149878

Day 1 Bangkok to Kansai Airport
Day 2 Kyoto
Day 3 Uji
Day 4 Koyasan
Day 5 Wakayama
Day 6 Around Osaka และวันละลายทรัพย์

ส่วน Pass ต่างๆ ซื้อจากไทยไปเลยครับ ที่ใช้ก็จะมี Kansai Thru Pass 3 ใช้กับรถไฟและรถบัสรอบคะนไซเกือบทั้งหมด ยกเว้น JR กับ Yokoso Pass ซึ่งเป็นคูปองมาให้เรามา แล้วเอาไปแลกที่สนามบิน เราจะได้ตั๋วสำหรับรถไฟ Limited Express ของ Nankai Line ได้ 1 เที่ยว และตั๋ว Osaka one day pass เหมารถไฟใต้ดินและรถบัสในโอซากว่าอีก1วัน

Day 1 Flying to Kansai

เริ่มจากสนามบินดอนเมืองครับ รอบนี้ผมไปกับ Air Asia X ออกจากไทย 14:15 และไปถึงสนามบินคันไซเวลา 21:40 ครับ ซึ่งทันรถไฟที่จะเข้าไปตัวเมืองโอซาก้าแน่นอน

พอมาถึงก็มาแลก Yokoso ก่อนครับ จะได้ตั๋วรถไฟไปนัมบะ เขาจะให้มา 3 ใบ ซึ่งจะมีใบเดียวที่ใช้สอดกับเครื่องที่เขียนว่า Please Insert Ticket ส่วนใบที่เหลือจะแค่ระบุที่นั่งให้เรา เราก็ไปนั่งตามเลขรถกับที่นั่งครับ สะดวกสบายครับและใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงนัมบะแล้วครับ

จากนั้น ก็เดินไปที่พักที่จองไว้ ผมจอง Hostel ชื่อ Khaosan World Namba เดินจากสถานีประมาณ 500 เมตรก็ถึงครับ พอถึงก็เช็คอินยื่นพาสปอร์ตให้ receiption ครับ เจ้าหน้าที่เป็นคนญี่ปุ่นครับ แต่ชอบคนไทยมากๆๆ พูดภาษาไทยเก่งมากครับ เขาเจอผมเขาก็ดีใจ ผมก็คุยภาษาญี่ปุ่นบ้างแบบงูๆปลาๆ สลับกันไป ก็คุยเล่นซักพัก ส่วนห้องพักผมจองเป็นห้องรวม เป็นเตียงสองชั้น มีม่านกั้น ห้องน้ำรวมซึ่งโดยรวมใช้ได้เลยทีเดียว แล้วก็จัดแจงเข้านอนก่อนครับ รุ่งเข้า เราต้องเดินทางไปเกียวโตกัน

Day 2 Spring In Kyoto

ออกจากที่พักแต่เช้าครับ และนั่งรถไฟไปเกียวโต ซึ่งนั่งรถไฟใต้ดินจาก Namba ไปสถานี Shin-Osaka และเปลี่ยนรถไปนั่ง JR ยาวไปที่เกียวโตเลยครับ

พอมาถึงสถานีเกียวโต เดินไปอีก 500 เมตร ถึงที่พักผมจองไว้ ซึ่งผมจะขอเขาฝากกระเป๋าไว้ก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน ที่พักที่จองชื่อ Tanaka Gokuragudo Guest House เป็นเหมือนบ้านที่มาดัดแปลงเป็น Guest House สไตล์ญี่ปุ่น พอเข้าไป ไม่เจอใครอยู่ซักคนเลยครับจนมาสังเกตเห็นโทรศัพท์วางหน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งเขาทิ้งเบอร์ไว้กรณีต้องการติดต่อ ผมก็จัดการโทรเลยครับ และขอรบกวนให้เขามารับกระเป๋าให้หน่อย รอสักพักเขาก็มาและก็หิ้วกระเป๋า ไปเก็บไว้ ในห้องพัก

แล้วก็กลับมาที่สถานีเกียวโตจัดการซื้อบัตรเหมารถบัส one day pass ขึ้น รถบัสในเกียวโตได้ไม่จำกัด พยายามเก็บ route map ของรถบัสไว้นะครับ จะได้ขึ้นรถถูก

จากนั้นก็ลงป้าย Omuro Ninanji มุ่งหน้าไปวัด Ninan-ji กับวัด Ryoan-ji สองวัดนี้อยู่ห่างกันประมาณ 500 เมตร สามารถเดินไปได้ครับ เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์พอดี คนก็จะมาเที่ยวเยอะหน่อย และผมก็พยายามหาดอกซากุระ ปรากฎว่ามันยังไม่มาเลย พอไปดูใกล้ๆ เลยเข้าใจว่ามันออกดอกแล้วแต่มันยังตูมอยู่ มันยังไม่บาน TT

พอถึงช่วงเที่ยง ก็กลับมาที่ตัวเมืองเกียวโต และแวะหาอะไรกินหน่อย ก็เลยแวะร้านราเมงข้อสอบ Ichiran Ramen ซึ่งกว่าจะถึงก็บ่ายกว่าแล้ว แต่ยังต้องต่อคิวอยู่เลย ระหว่างต่อคิวพนักงานก็ให้เราทำข้อสอบ ก็คือให้เราสั่ง หละครับ ว่าราเมงที่เราอยากได้เปรียวหวานมันเค็มยังไง แต่ว่าความเผ็ดผมว่ามันไม่เท่าไหร่สำหรับผมนะ ผมกดไประดับ 4 เต็ม 5 ยังรู้สึกว่าธรรมดามาก

จากนั้นเราก็เดินทางต่อไปสวนมารุมายะกับศาลเจ้ายาซากะ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับย่านกิออน ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ใส่ชุดกิโมโนกัน ระหว่างเดินทางไปศาลเจ้าก็มีร้านค้ามาขายของมากมายจนถึงตัวศาลเจ้า

เดินไปอีกหน่อยก็จะถึงสวนมารุมายะ ซึ่งเป็นจุดที่เค้าว่ากันว่าเป็นจุดที่ซากุระสวยที่สุดที่หนึ่งเลย แต่พอไปถึง มันมีแต่อยู่สองสามต้นที่ผลิดอกแล้ว ถ้าอีกสองสามสัปดาห์ผมว่ามันต้องฟูและสวยมากๆ แน่

จากนั้นก็แวะอีกวัดนึง ชื่อ Kodaiji อีกวัดซะหน่อยครับ

ช่วงเย็นๆ ระหว่างกลับเกิดปัญหาซิมมือถือดับครับ ผมใช้ sim roaming มันขึ้นว่า No Service ผมพยายามจะหา WiFi มาใช้ สุดท้ายต้องกลับมาใช้ของที่ Guesthouse ผมพยายามจะติดต่อ customer service แต่กว่าจะคุยกันรู้เรื่องนี่ปาไปมืดค่ำ สรุปเป็นปัญทางเครือข่ายของบ้านเราเองครับ กว่าจะใช้ได้ก็เช้าพอดีครับ โชคดีที่ว่าเก็บ Bus Map ไว้ เลยกลับมาถูก ไม่งั้นแย่แน่เลย

Day 3 Uji, the town of Matcha.

เราออกแต่เช้าและ Check Out โรงแรม แล้วออกจากสถานีเดียวโต เปิดใช้ Kansai Thru Pass นั่งสาย Kintetsu Nara ไปลงสถานี Tambabashi เปลี่ยนสาย Keihan แล้วนั่งต่อจนถึงปลายสายที่สถานี Uji

เป้าหมายแรกที่เราจะไปคือวัด Byodo ระหว่างทางเป็นทางเดินเลียบแม่น้ำ Uji และมีวัดและศาลเจ้าอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งขากลับเราจะมาแวะกันอีกที

ถึงแล้ว วัด Byodo

จากนั้นเดินออกจากวัดมาทางด้านหลัง จะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่ มีตู้กดชาเขียวร้อนฟรีสำหรับนักท่องเที่ยว ข้างๆศูนย์จะมีบ้านเล็กๆ ชื่อว่า Taiho-an ซึ่งเป็นบ้านที่มีพิธีชงชาแบบโบราณสำหรับนักท่องเที่ยว คิดค่าบริการคนละ 500 เยน พอเข้าไปก็มีคุณป้าเริ่มพิธี จากนั้นก็มีขนมเหมือนโมจิมาเสริฟก่อน รสชาติค่อนข้างจะหวานมากพอสมควร พอทานเสร็จจนหมด ก็เสริฟชาร้อนๆ ซึ่งพอดื่มไปก็ช่วยตัดความเลี่ยนของขนมได้พอดี แล้วก็พูดตามเค้าตามมารยาท แต่ข้างในห้ามถ่ายรูป ก็เลยไม่มีรูปมาฝาก

จากนั้นระหว่างทางกลับก็มีวัดกับศาลเจ้าอยู่มากมาย เช่น วัด Koshoji ศาสเจ้า Uji

จากนั้นเราจะเดินเข้าไปในตัวเมือง Uji ซึ่งจะมีซอยถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยของกิน และผลิตภัณฑ์จากชาเขียว และก็ได้กินที่ร้านๆ หนึ่ง เป็นราเมงเส้นชาเขียว และได้สั่งเกี๊ยวซ่าชาเขียว ชื่อร้านทานากะอะไรซักอย่างนี่แหละ รสชาติร้านนี้แซ่บดีครับ จัดจ้านดี

จากนั้นเราก็เดินทางกลับไปที่เกียวโตเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ที่พักแล้วก็นั่งรถไฟกลับมาที่โอซาก้า ถึงตอนนี้ก็เย็นพอดี (ที่ฝากกระเป๋าไว้ที่เกียวโตก่อนเพราะว่าผมกลัวไม่มีที่ฝากกระเป๋าที่ Uji ไหนๆ ก็ตั๋วเหมาจ่ายแล้ว ยอมเสียเวลานั่งรถไฟย้อนไปอีกหน่อยน่าจะชัวร์กว่า)

ที่พักที่จองไว้ชื่อ Hotel Chuo Oasis จองเป็นที่พักห้อง Single room ห้องน้ำในตัว ใกล้สถานีใต้ดิน Dobutsuen-Mae และสถานี Shin-Imamiya ของสาย JR และ Nankai และราคาตกคืนละพันกว่าบ้านซึ่งไม่แพงมาก

เดี๋ยวมาเขียนต่อนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่