หลายๆ ความคิดเห็นพยายามตีความภายใต้เงื่อนไขที่ว่า
พรป.เลือกตั้ง มาตรา ๑๒๘(๗) ไม่สามารถจบได้ด้วยตัวมันเอง ต้องใช้การจัดสรรในเงื่อนไขถัดไปทุกครั้ง
จริงหรือ ที่คนเขียนกฎหมายเขาต้องการอย่างนั้น
เงื่อนไขที่ใช้ในการจัดสรรกรณีที่จัดสรรแล้วเกินจำนวน 150 คน
- คำนวณใหม่ตาม (๗)
- คิดค่าสัมประสิทธิ์ตาม (๗) ด้วยจำนวน ส.ส.แบบบัญชีฯ จะได้รับเบื้องต้น หาร ด้วย จำนวนที่เกินที่ใช้ (๔) มาคำนวณโดยอนุโลม
- ได้ค่าจำนวน ส.ส.แบบบัญชีฯ จะได้รับใหม่ (ตรงนี้คือ (๓) ใหม่)
- จัดสรรตาม (๔) ภายใต้บังคับ (๕) อีกครั้ง
ประเด็นที่ควรจะตีความคือ จำนวน ส.ส.แบบบัญชีฯ จะได้รับเบื้องต้นของพรรคเพื่อไทยตาม (๓)
- ค่าเป็นศูนย์ เพราะถูกบังคับด้วย (๕) ที่ไม่จัดสรรให้ หรือ
- ค่าติดลบ = -25.5321 ถ้าจะทำให้จบในขั้นตอนตาม (๗) ต้องใช้ค่านี้ครับ
เหตุผล
(๔) จัดสรรตาม (๓) เมื่อจัดสรรเกินจำนวนก็ต้องกลับไปคิดทดที่ (๓)
ค่าผลรวมของ (๓) จะเกิน 150 ไม่ได้ เพราะที่มาของจำนวนมาจาก 500-350 = 150
ค่าของพรรคเพื่อไทยตาม (๓) คือ -25.5321 ไม่ใช่ 0
หน้าตาจะประมาณนี้
คณิตศาสตร์การเมือง : การตีความเพื่อไปต่อ
พรป.เลือกตั้ง มาตรา ๑๒๘(๗) ไม่สามารถจบได้ด้วยตัวมันเอง ต้องใช้การจัดสรรในเงื่อนไขถัดไปทุกครั้ง
จริงหรือ ที่คนเขียนกฎหมายเขาต้องการอย่างนั้น
เงื่อนไขที่ใช้ในการจัดสรรกรณีที่จัดสรรแล้วเกินจำนวน 150 คน
- คำนวณใหม่ตาม (๗)
- คิดค่าสัมประสิทธิ์ตาม (๗) ด้วยจำนวน ส.ส.แบบบัญชีฯ จะได้รับเบื้องต้น หาร ด้วย จำนวนที่เกินที่ใช้ (๔) มาคำนวณโดยอนุโลม
- ได้ค่าจำนวน ส.ส.แบบบัญชีฯ จะได้รับใหม่ (ตรงนี้คือ (๓) ใหม่)
- จัดสรรตาม (๔) ภายใต้บังคับ (๕) อีกครั้ง
ประเด็นที่ควรจะตีความคือ จำนวน ส.ส.แบบบัญชีฯ จะได้รับเบื้องต้นของพรรคเพื่อไทยตาม (๓)
- ค่าเป็นศูนย์ เพราะถูกบังคับด้วย (๕) ที่ไม่จัดสรรให้ หรือ
- ค่าติดลบ = -25.5321 ถ้าจะทำให้จบในขั้นตอนตาม (๗) ต้องใช้ค่านี้ครับ
เหตุผล
(๔) จัดสรรตาม (๓) เมื่อจัดสรรเกินจำนวนก็ต้องกลับไปคิดทดที่ (๓)
ค่าผลรวมของ (๓) จะเกิน 150 ไม่ได้ เพราะที่มาของจำนวนมาจาก 500-350 = 150
ค่าของพรรคเพื่อไทยตาม (๓) คือ -25.5321 ไม่ใช่ 0
หน้าตาจะประมาณนี้