อ่านชุดพระโอษฐ์ยังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุด

จะมีการกระทำที่ถูกต้อง ต้องเริ่มจาก
ปัญญาเห็นชอบ

อ่านชุดพระโอษฐ์ยังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุด
https://web.facebook.com/EndOfTheWalk/posts/2631727300177212

O================================O
     อ่านชุดพระโอษฐ์ยังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุด
O================================O


เริ่มต้นการเขียน เวลา 15:48 น.
เขียนเสร็จ 21:15 น.
ใช้เวลาในการเขียนและอธิบายไปทั้งหมดประมาณ

5 ชั่วโมง 27 นาที

อย่างแรกต้องรู้ก่อนว่า ประโยชน์สูงสุดในการอ่าน การศึกษาด้วยความตั้งใจ ใน
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์
ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย

โดย พุทธทาสภิกขุ และทีมงานทุกท่าน  คืออะไร ?

ประโยชน์สูงสุดคือ การไปนิพพาน มิใช่เป็นเพียงแค่ ผู้เที่ยงแท้ในนิพพาน ประโยชน์สูงสุดคือ เป็นผู้จะไปตั้งในนิพพาน ในชาติปัจจุบันของตน เป็นผู้ปรินิพพานอย่างลืมตา

การจะเป็นผู้ไปตั้งในนิพพาน และเป็นผู้สัมผัสได้ซึ่ง การเป็นผู้ปรินิพพานอย่างลืมตา จะต้องบรรลุบุรุษที่ 8 อรหัตตผล (ธรรมที่พระอรหันต์ได้บรรลุ) ซะก่อน ถ้าไม่ใช่ตามนี้ ก็ยังต้องเป็นผู้ที่ศึกษาอยู่
_____________________________________

เริ่มต้นยังไง
/=====\
| ข้อ. 1 |
\=====/

ข้อ 1. เตรียมใจ เตรียมอารมณ์ให้สงบ

/=====\
| ข้อ. 2 |
\=====/

ข้อ 2. หาสถานที่ ๆ สงบจริง ปราศจากเงามนุษย์และสิ่งอื่นมารบกวน

/=====\
| ข้อ. 3 |
\=====/

ข้อ 3. เมตตา แผ่เมตตาให้กับทีมงานทั้งหมด ***นี่คือจุดที่ผู้อ่านและศึกษาทั้งประเทศ ส่วนใหญ่ 99% พลาดกันหมด

ท่านพุทธทาสท่านได้บอกวิธีนี้ให้แล้ว หากอ่านไปตั้งแต่หน้าแรก ๆ ก่อนจะถึงหน้าที่เป็นพระสูตร ก็จะทราบได้ (แต่ถ้าหากปัญญาน้อยก็จะมองข้ามไปเลย)
การแผ่เมตตาแล้วมุ่งไปที่ท่านพุทธทาส ทีมงาน และ พระยาลัดพลีธรรมประคัลภิ์
ท่านพุทธทาส คือ และ เป็น  "พระอรหันต์" องค์หนึ่งในโลก แต่ท่านไม่ได้ และไม่กล้าประกาศบอกใคร เพราะทำตามพุทธบัญญัติ ในส่วนพระสงฆ์ คือ พระวินัย  แต่ในเรื่องนี้  น่าจะมีผู้ทราบกันอยู่หลายท่านแล้ว  รวมถึงท่าน ปัญญา นันทภิกขุ และทีมงานอีก 53 ท่าน  ที่เป็นทั้งภิกษุและฆราวาส

ทำไมท่านพุทธทาสถึงต้องให้ทำอย่างงี้ !

นั่นก็เพราะว่า

- การแผ่เมตตา เป็นการละโทสะโดยตรง (ถึงแม้ยังละขาดไม่ได้ก็นับได้ว่ามีประโยชน์อย่างมหาศาล เพื่อนำไปสู้ผู้ละอุปาทานในโทสะ แล้ว เมื่อ โทสะลดน้อยลง ผลของมันก็คือ โลภะ กับ โมหะ จะลดน้อยลงไปด้วย การจะเป็นผู้เดินสุดทางได้ ต้องละ 3 ตัวนี้ พร้อม ๆ กัน ทำอย่างใด อย่างหนึ่ง คือ บำเพ็ญตะ ละโลภะ ชั่วชีวิต ก็เดินสุดทางไม่ได้ มันต้องลดไปพร้อม ๆ กัน ไล่ ๆ กัน ใกล้เคียงกัน จนหมดเชื้อ จึงบรรลุธรรม อรหันต์

- แล้วได้ประโยชน์อะไรอีก การได้บุญจากการรู้คุณของผู้มีอุปการะมาก
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑ หน้าที่ ๗๐
ผู้ช่วยให้รู้อริยสัจ นับเนื่องอยู่ในบุคคลผู้มีอุปการะมาก

ภิกษุ ท. ! บุคคลมีอุปการะมากต่อบุคคล สามจำพวกเหล่านี้ มีอยู่. สามจำพวกเหล่าไหนเล่า ?

ภิกษุ ท. ! บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว ได้เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ. ภิกษุ ท. ! บุคคลนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการะมากต่อบุคคลนี้.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นอีก, บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า “นี้ ทุกข์, นี้ ทุกขสมุทัย, นี้ ทุกขนิโรธ, นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! บุคคลนี้ ชื่อว่ามีอุปการะมากต่อบุคคลนี้.

ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นอีก, บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! บุคคลนี้ ชื่อว่ามีอุปการะมากต่อบุคคลนี้.

ภิกษุ ท. ! บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้แล ชื่อว่าบุคคลผู้มีอุปการะมากต่อบุคคล.

ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ไม่มีบุคคลอื่นที่มีอุปการะมากต่อบุคคล ยิ่งไปกว่าบุคคล ๓ จำพวกนี้.

การให้ทานเป็นทางมาแห่งบุญ
การขูดเกลากิเลสเป็นทางมาแห่งกุศล
การเดินตามรอยพระพุทธองค์เป็นทางมาแห่งนิพพาน

เพราะฉะนั้น การทำบุญ สำคัญมากในการบรรลุธรรมเดินสุดทาง แต่ยังไม่สำคัญเท่าการขูดเกลากิเลส แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะไปนิพพาน คือผู้เดินตามพระพุทธองค์ อย่างเป็นเส้นตรงไม่ข้นเคี้ยว ไม่หาทางลัด ไปที่อื่น ทางอื่น เดินตรงเท่านั้น (นี่คือหนทางที่ใกล้ที่สุดแล้ว)

- แล้วได้ประโยชน์อะไรอีก มีคุณสมบัติของผู้เป็นรัตนะ 5 คือ
ปิงคิยานีสูตร (คัดลอกมาบางส่วน)
พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๒๑๓/๔๐๗ ข้อที่ ๑๙๕

ดูกรเจ้าลิจฉวี ความปรากฏขึ้นแห่งรัตนะ ๕ หาได้ยากในโลก รัตนะ ๕ เป็นไฉน คือ
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑
บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ๑
บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
อันผู้อื่นแสดงแล้ว ๑
บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
อันผู้อื่นแสดงแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑
กตัญญูกตเวทีบุคคล ๑

ดูกรเจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ความปรากฏแห่งรัตนะ ๕ ประการนี้แล  หาได้ยากในโลก ฯ

เมื่อเป็นรัตนะ แก้วที่หาได้ยากข้อที่ 5 กตัญญูกตเวทีบุคคล รวมถึง รู้คุณบุคคลผู้มีอุปการะมาก จึงเพียงพอที่จะมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งของ ผู้มีธรรมสัตบุรุษ (จะอีก 1 อย่างที่จะทำให้ปฏิบัติธรรมเห็นผลได้ไวมาก)

- แล้วได้ประโยชน์อะไรอีก
เป็นผู้อยู่ด้วยกุศลธรรม ด้วยการแผ่เมตตา
ธรรมชาติของจิต หากอกุศลธรรมละไป กุศลธรรมก็เข้ามา

เมื่อมีกุศล ย่อมดีกว่าอกุศล
เมื่อมีกุศล ย่อมฟังธรรมได้ดีขึ้น
เมื่อมีกุศล ย่อมฟังธรรมรู้เรื่อง

เมื่อมีปัญญา ย่อมรู้ว่า หากวางจิตถูก การฟังและการอ่าน ย่อมไม่ต่างกัน

/=====\
| ข้อ. 4 |
\=====/

ข้อ 4. ให้กระทำในใจ ว่าการอ่านนี้คือการฟัง ฟังยังไง

ฟังจากปากพระพุทธองค์ ศากยะมุนี พุทธะ น้อมจิตตนไปในครั้งพุทธกาล ครั้งเมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อน มีพุทธะนั่งอยู่หน้าเป็นประธาน และเหล่าภิกษุผู้ล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์นั่งอยู่เรียงกันมา และ ตัวเรานั่งหลังสุด การทำเช่นนี้ จะเป็นการฝึกตัวเองว่า พระองค์ และเหล่าพระอเสขะมุนี อยู่กับเราตลอดเวลา และจะส่งผลในการพิจารณาธรรมได้ดีขึ้น ศีลดีขึ้น

จะนำไปสู่ ศีลอันยิ่ง สมาธิอันยิ่ง และปัญญาอันยิ่ง

วิธีนี้ผมได้มาจาก ท่านชา (ท่านให้ผมเรียกแบบนี้ เพราะเคยเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมกันมาแต่ก่อนในบุพกรรมเก่า) หลวงพ่อชา สุภัทโท กับ เหล่าภิกษุ อีก 8 ท่าน รวมเป็น 9 ท่าน ซึ่งตอนนี้เป็น อนุพุทธะ อยู่สุทธาวาส ชั้น อกนิฏฐะ

วิธีนี้ผมเริ่มทำตอนตั้งแต่ยังเป็น ปุถุชนอยู่ และใช้มายัน เป็นผู้เดินสุดทางแล้ว

/=====\
| ข้อ. 5 |
\=====/

ข้อ. 5 อ่านไปด้วยปฏิบัติไปด้วย

หากอ่านอย่างเดียวก็แทบไม่ได้อะไรเลย

ทำยังไง ! ผมทำมาแบบนี้  เช่น ข้อธรรมข้อไหน ที่นำไปสู่นิพพาน เราก็ย่อลงในกระดาษ เขียนแต่สิ่งที่ตนยังทำไม่ได้ แปะตาม ห้องน้ำ ผนัง ประตู หัวนอน แล้ววันหนึ่งวันใดที่ทำในธรรมข้อนั้นได้แล้วก็ค่อย ๆ ดึงออก แล้วมันจะน้อยลง ๆ ไปเรื่อย ๆ

จะเหลือแต่ข้อธรรมที่ ไว้สู้กับกิเลสขั้นอาสวะ เท่านั้น

นี้ก็คืออีกหนึ่งวิธีที่ไว้ใช้เตือนใจตน ล้างมิจฉาทิฏฐิในตัวตน จนกว่าจะเป็นผู้จิตพ้นแล้ว

/=====\
| ข้อ. 6 |
\=====/

ข้อ. 6 อ่านไม่ข้าม
อ่านไม่ข้ามเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว ทำแบบนี้เฉพาะพระสูตร
ทำไมต้องทำอย่างงี้ นั่นก็เพราะว่า

ฝึกตัวเองให้สู้กับนิวรณ์ ทั้ง 5

นิวรณ์หมายถึงเครื่องกั้นปัญญา
กามฉันทะ
พยาบาท
ถีนมิทธะ
อุทธัจจกุกกุจจะ
วิจิกิจฉา

ต้องรู้ก่อนว่า คำของศากยะมุนีพุทธะ ตถาคต พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ พุทธะ เป็น เครื่องเพียรเผากิเลส อย่างดีที่สุด เป็น อนุสาสนีปาฏิหาริย์

เกวัฏฏ์ ! อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นอย่างไร ?

เกวัฏฏ์ ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมสั่งสอนอย่างนี้ว่า
ท่านจงตรึกอย่างนี้ๆ อย่าตรึกอย่างนั้นๆ
จงทำไว้ในใจอย่างนี้ๆ อย่าทำไว้ในใจอย่างนั้นๆ
จงละสิ่งนี้ๆ เสีย จงเข้าถึงสิ่งนี้ๆ แล้วแลอยู่
นี้เราเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์.

คำพูดที่พาผู้คนที่ ตรึกตาม ตรองตาม ปฏิบัติตาม ให้พ้นจากวัฏสงสาร พ้นจาก กามภพ รูปภพ อรูปภพ พ้นจาก อวิชชา พ้นจาก ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ
ด้วยผลเช่นนี้จึงเป็น อนุสาสนีปาฏิหาริย์. ปาฏิหาริย์ชนิดเดียวที่ "พระพุทธะ" ท่านยกย่อง

ในการอ่านอย่างสงบ ไม่ว่าจะสถานที่ และ อารมณ์ ย่อมเจอจิต มา รบกวน เพราะจิตไม่ใช่ของเรา

กามฉันทะ
ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง, พอใจรักใคร่ในอารมณ์ ที่ชอบใจ มีรูปเป็นต้น
--> หากมีความคิดในกามคุณทั้ง 5 ก็ให้รีบละไปเสีย แล้วตั้งต้นย้อนกลับไปอ่าน ต้นพระสูตรใหม่ ให้ทำทุกครั้ง ทุกพระสูตร เพื่อฝึกฝนตนเองให้สู้กับกิเลส ไม่ว่าจะเป็นขั้น นิสัย ความเคยชิน หรือ อาสวะ

พยาบาท
ความคิดปองร้ายผู้อื่น ขัดเคืองใจ ความไม่พอใจ
--> หากมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้น ก็ให้รีบไถ่ถอนออก ทิ้งไป สลัดคืน อย่างเช่น ความคิดแค้น ที่เคยมีใครมาทำร้ายเรา ไม่ว่ามันจะขึ้นมาตอนช่วงชีวิตตอนไหน วัยเด็ก ถึง ชรา ต้องรีบละไปทันที แล้วให้ตั้งต้น...ฯลฯ....ความเคยชิน หรือ อาสวะ

ถีนมิทธะ
ความที่จิตหดหู่ ง่วงเหงา เคลิบเคลิ้ม เศร้าซึม ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม
--> ความรู้สึกที่เกิดจากนิวรณ์ตัวนี้จะเกิดบ่อย เพราะ เราจะอ่านไม่ข้ามเลย เพื่อเรียนรู้กิเลสตัวนี้ พร้อมกับทั้งสู้มันให้ได้ด้วย นี่ก็ถือเป็นประโยชน์จากการอ่านทุกตัวอักษรไม่เว้นเลย เมื่อถีนมิทธะเกิดขึ้นแล้วให้ตั้งต้น...ฯลฯ....ความเคยชิน หรือ อาสวะ

อุทธัจจะกุกกุจจะ
ความฟุ่งซ่านและรำคาญใจ
จะเกิดบ่อยมากตัวนี้ จิตอยู่หน้าหนังสือแล้ว กลับไปคิดเรื่องอื่นก็มีบ่อย หรือหนักเข้า อาจจะอ่านเพลินไปถึง 4 - 5 หน้าแล้วแต่เพิ่งนึกได้ก็มี เพลินไปกับ จินตนาการอันเจริญและให้อาหารแก่ โลภะ โทสะ โมหะ เรียบร้อยแล้ว หรืออาจจะเพลินในความคิด เกิดนันทิในโลกนี้ โลกหน้า ก็อาจเป็นไปได้
--> มีแต่สัมมาสติเท่านั้นที่พอจะช่วยได้ เพราะขึ้นอยู่กับพลังใน พละ ๕  อินทรีย์ ๕ ของแต่ละคน แต่ละท่าน พอรู้ตัวแล้วให้ตั้งต้น...ฯลฯ....ความเคยชิน หรือ อาสวะ

วิจิกิจฉา
ลังเล ตกลงใจไม่ได้, ความลังเลในธรรมที่ไม่ควรลังเล, ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ
--> เป็นไปได้ตลอดการอ่าน หากเป็นโสดาบัน ก็ละได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังละไม่ได้ทั้งหมด

พึงระลึกอยู่เสมอว่า  ผู้ที่ละนิวรณ์ 5 ได้ขาด ได้ทั้งหมดมีแต่ อาคารมุนี พระอเสขะมุนี ปัจเจกมุนี และ มุนิมุนี เท่านั้น

หากอ่านแล้วไม่เข้าใจ ตีความไม่ได้ ให้ปิด แล้วก็มาปฏิบัติต่อเลย จนกว่าจะเข้าใจ ไม่ว่าจะสงสัยในหน้าไหน วรรคใด พระสูตรใด ไม่ว่าพระสูตรนั้นจะไม่กี่บรรทัด ครึ่งหน้า 1 หน้า หรือเกินกว่านั้น ให้ปิดหนังสือทันที อย่าข้าม ใคร่ครวญ พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ไม่ว่าจะใช้เวลากี่ชั่วโมง เป็นวัน หรือ 1 วัน 3 วัน 7 วัน ก็อย่าพึ่งข้าม ให้อยู่กับพระสูตรนี้ในทุก ๆ วัน หาก 7 แล้วยังไม่ได้ ก็ให้บันทึก หน้า ชื่อ พระสูตรนี้ไว้ แล้วในภายหลังผ่านมาหลาย ๆ เดือน หรือ หลายปี ค่อยกลับมาอ่าน (หากปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ครบ  ฝึกฝน ฝึกตน จนลมหายใจเพียงครั้งเดียว มรรค ๘ เต็ม จะช่วยได้อย่างมากและมหาศาล)
.
.
>>>  และนี่คือประโยชน์ของการไม่อ่านข้ามเลย <<<

▽ ต่อด้านล่าง 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่