▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
ประเทศญี่ปุ่น
Backpack
สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
เที่ยวต่างประเทศ
เที่ยวญี่ปุ่นฉบับไม่มีล่าม ทริป 5 วันเอาคุ้ม ตอนสาม - เทศกาลซากุระ เมืองคาวะสุ และบุฟเพ่ต์ปู!
ตอนแรก - https://pantip.com/topic/38757510
ตอนสอง - https://pantip.com/topic/38757554
โดยปกติแล้ว ทุกทริปการเดินทางที่ผ่านมา ผมมักจะตื่นกันแบบสบายๆ เอาซัก 7 - 8 โมงแล้วก็ไปเที่ยวกันแบบสบายๆ มีแต่รอบนี้ที่จะเริ่มต้นโดยการตื่นกันมาตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ เพราะตอนก่อนนอน ลืมเปิดโหมดฮีสเตอร์ ผลก็คือทำให้ทั้งห้องเย็นฉํ่า แต่ด้วยการที่อากาศเย็น ผมจึงสามารถตื่นตัวตื่นได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเพื่อนผมจะลุกยากไปนิด เพราะที่นอนอุ่นสบาย เลยไม่ค่อยอยากลุก อืม... ก็พอเข้าใจน่ะนะ
พวกผมตื่นกันเช้ากว่าปกติ เหตุผลเพราะว่าขากลับจากเมืองคาวะสุนั้น ผมต้องการนั่งรถ Super view กลับมา แต่ว่า รอบที่ผมต้องการจะกลับนั้นคือบ่าย 2 แต่รอบรถที่ว่างนั้นมีบ่ายโมงเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นความตั้งใจของพวกผมก็คือ จะเดินเที่ยวให้เยอะๆ แล้วกลับตอนบ่าย 2 ก็จะถึงโตเกียวเอาตอนบ่าย 5 โมง ตอนนั้นเลยตัดสินใจว่า ไม่เป็นไร ขึ้นรถธรรมดากลับก็ได้
และนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิด
พวกผมนั้นจะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีโตเกียว ที่จะมีขบวนรถไฟที่จะมุ่งหน้าไปยังเมืองคาวะสุ ซึ่งได้มีเรื่องเล่านิดหน่อย คือระหว่างที่รอรถไฟมา (ซึ่งผมก็รู้แล้วว่าจะอ่านป้าย ชื่อขบวนรถไฟในภาษาญี่ปุ่นยังไง) จู่ๆ ก็มีคนทักผมแล้วก็ถามว่า จะไปเมืองคาวะสุยังไง ถามมาเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็เลยตอบเป็นภาษาอังกฤษไป แต่ทันใดนั้น ผมเหลือบไปเห็นซองใสที่เขาเก็บกระดาษเอาไว้ในนั้น และกระดาษแผ่นนั้นเขียนไว้ว่า "AIR ASIA"
ชัดเลยครับ.... คนไทยแน่นอน
ก็เลยทักเป็นภาษาไทยไป แล้วก็แบบ อ้าว คนไทยกันเองนี่หว่า คุยไปคุยมา ทางเขาคิดว่าผมเป็นคนญี่ปุ่นที่จะไปเที่ยว (คือแบบ ผมก็ติดกล้องเต็มตัวเลยนะ ปกติคนญี่ปุ่นเขาไม่ติดกล้องอื้อแบบผมเลยนะครับ lol) ซี่งก็ปรากฎว่าเขาก็จะไปเที่ยวที่เดียวกัน แต่ว่าเขาจะกลับก่อนตอนรอบบ่ายโมง เพราะว่าพรุ่งนี้เขาจะกลับแล้ว ขากลับมาเลยคือจะไปชอปปิ้งกัน ตอนคุยกันเสร็จแยกย้ายกันไป เพื่อนผมก็ยังบอกเลยว่า เอะใจเหมือนกันว่าคนไทยรึเปล่าในตอนแรก เพราะสำเนียงคุ้นมาก แล้วก็ดันใช่คนไทยจริงๆ
(สำหรับท่านทั้งที่สองที่มาทักผมในวันนั้น หากกำลังอ่านกระทู้นี้อยู่ รบกวนแสดงตัวหน่อยนะครับ 5555 )
หลังจากรถไฟมาแล้ว พวกผมก็ขึ้นกัน แน่นอนว่าด้วยความงก เลยไม่ได้จองที่นั่งกัน ก็เลยไปนั่งกันในโซนไม่ได้จอง (ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเท่าไหร่) พอรถไฟเริ่มแล่น ผมก็ได้หยิบอาหารเช้าจากทางโรงแรมมากินทันที โดยอาหารเช้าของทางโรงแรมนั้นจะเป็นแซนวิสแล้วก็มีข้าวปั่นมาให้ (ส่วนนํ้าชาในภาพนี้ไม่เกี่ยวนะครับ ผมซื้อเองจากมินิมาร์ทในรูปด้านบน) เดิมทีนั้น คุณป้าแม่ครัวของโรงแรมให้มาแค่อย่างละชิ้น แต่ก็ถาม (โดยมีเจ้าหน้าที่โรงแรมช่วยเป็นล่ามคุยอังกฤษให้) ถามว่าเอาอีกไหม ผมก็เลยพยักงาน ก็เลยได้เบิ้ลมาถึงอย่างละสองเลยทีเดียว หมดนี่คืออิ่มครับ ถ้าค่าอาหารอยู่ที่ 800 เยน เผลอๆ จะคุ้มกว่าไปซื้อขนมปังที่มินิมาร์ทอีก
เพราะว่าข้าวปั้นและขนมปังเนี่ย เขาทำสดเลยครับ คือปั้นให้สดๆ เลย ขนาดว่าพวกผมเดินทางจากอุเนโนะ มายังสถานีโตเกียว แล้วรอรอไฟอีกราวๆ 15 - 20 นาที ยังอุ่นๆ อยู่เลย (ใส่ในถุงพลาสติกธรรมดาๆ แล้วถือมา ไม่ได้เอายัดใส่กระเป๋า) อร่อยมากเลยครับ
มีไข่ต้มมาให้ด้วย โดยที่มีเกลือโรยมาให้
เมืองคาวาสุนั้นจะลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ให้นึกภาพออกง่ายๆ ก็เหมือนออกจากกรุงเทพแล้วลงไปแถวๆ หาดใหญ่นะแหละ ด้วยความเร็วของรถไฟคือใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่งและเส้นทางรถไฟจะมีวิ่งเลียบทะเลด้วย ซึ่งทำให้ผมมองเห็นวิวข้างทางที่เป็นทะเลมาเป็นระยะๆ
ด้วยการที่เมื่อคืนเหนื่อยกันอย่างมาก ทำให้ผมลืมซาร์จแบตเตอร์รี่กล้องเอาไว้ และก็ดันลืมเอาสายซาร์จมาอีก เลยต้องยืมของเพื่อนซาร์จเอากับพาวเวอร์แบงค์ ทำให้รอบการเดินทางครั่งนี้ ได้ใช้แบตของกล้องตัวจิ๋วนี้ไม่คุ้มเท่าไหร่
หลังจากนั้นพวกผมก็มาถึงเมืองคาวาสุกันแล้ว ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่นและเทศต่างมาลงสถานีนี้เพื่อมาร่วมงานเทศกาลที่จะได้ชมบรรยากาศของซากุระที่บานก่อนโตเกียวกันครับ โดยวันที่ผมไปนั้นจะเป็นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ณ เวลานี้ที่โตเกียวเริ่มบานมาบ้าง แต่ที่นี่คือ Full bloom บานกันเต็มที่แล้วก็เริ่มปลิวร่วงไปบ้าง คือเรียกได้ว่ามาช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมเลยทีเดียว แต่เสียดายที่วันที่ไป มีแต่เมฆมากเป็นส่วนใหญ่ ภาพที่ถ่ายออกมาเลยดูมืดๆ เยอะมาก น่าเสียดาย หากแดดออกภาพจะสวยกว่านี้มาก
ซากุระของเมืองคาวาสุนั้นจะเป็นพันธุ์พิเศษ ที่เน้นบานเร็ว (แล้วก็ร่วงเร็ว) กว่าโตเกียว โดยก่อนที่โตเกียวจะเริ่มบานนั้น ที่นี่ก็จะเริ่มบานแล้ว และไม่ใช่แค่มีซากุระอย่างเดียว แต่รอบข้างทางจะมีชาวบ้านนำของมาขาย ทั้งของกิน อย่างอาหารทะเลสดๆ พร้อมกับของฝากอีกด้วย คือเรียกได้ว่า เดินไปกินไป ชมซากุระไป บรรยากาศจะเป็นอะไรที่โคตรฟินสุดๆ แล้วล่ะครับ
ตลอดรอบทางนั้น จะมีนักท่องเที่ยวที่มาชมความงามของซากุระกันมาก และมีทั้งเสียงภาษาจีนกับเสียงภาษาไทยกันมาเป็นระยะ ถ้าจะให้ผมเล่าตรงๆ ผมเจอคนไทยที่เอามือเข้าไปจับกิ่งไม้ดึงเข้ามาหาตัวกันด้วย ซึ่งตามหลักแล้ว ซากุระเราต้องดูเฉยๆ ไม่ต้องไปจับ ไปดึงอะไร อันนี้ก็อยากจะฝากกับเพื่อนๆ ชาวไทยที่ไปชมซากุระที่นู่นนะครับว่าอย่าไปดึงหรือเด็ดออกมา จะเอากล้องเข้าไปยื่นถ่ายใกล้ๆ ได้ แต่อย่าไปทำอะไรต้นซากุระนะครับ
เมื่อเดินออกมาจากหน้าสถานีรถไฟ แล้วเลี้ยวไปทางซ้าย ก็จะเจอกับที่เขาเรียกว่า อุโมงค์ซากุระ โดยเขาจะปลูกต้นซากุระทั้งสองข้างทาง ทำให้เราสามารถชมซากุระกันได้แบบ 360 องศา โดยจะเป็นทางยาวไปจนถึงทางที่ติดทะเลเลยครับ โซนนี้จะได้ยินเสียงภาษาไทยกันมากเป็นพิเศษ
เอาจริงๆ แล้วผมก็แอบแปลกใจเหมือนกันที่มีคนไทยไปเยอะเหมือนกัน (แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับไปเดินที่ตลาดอเมโยโกะที่จะมีเสียงภาษาไทยลอยออกมาทุกๆ 3 - 5 นาที) เพราะผมสังเกตว่ามีหลายคนไม่รู้ว่าซากุระมีที่อื่นให้ดูนอกจากช่วงเวลาปลายมีนาคมหรือช่วงสงกรานต์บ้านเราในโตเกียวกันด้วย และในแฟนเพจหลักของเมืองคาวาสุก็ไม่มีภาษาไทยในการโพสเชิญชวนคนไทยเลย (แต่เว็บไซด์หลักมีทำภาษาไทย) แต่ด้วยการที่มีคนไทยแนะนำกันมา เชื่อได้ว่ามีคนไทยหลายคนได้ทราบข่าวนี้แล้วก็ได้มาเยือน เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะได้มาเจอทั้งซากุระ และหิมะในทริปเดียวครับ
เดินออกมาสุดทาง จะมีทางข้ามถนนไปดูทะเลของเขาด้วย อันนี้เพื่อนผมตื่นเต้นมาก เพราะเขามาญี่ปุ่นกับผมรอบนี้เป็นรอบที่สอง ก็ยังไม่เคยเจอทะเลญี่ปุ่น เอาจริงๆ ตรงทรายหาดบ้านเขาไม่สะอาดเท่าไหร่ เพราะเต็มไปด้วยขยะธรรมชาติ แต่ก็เดาได้ว่าเพราะคลื่นลมแรงมาก เลยหอบเอาอะไรหลายๆ อย่างมาเกยตื้น แต่ทะเลมันแรงจริงๆ แรงจนแบบว่าไม่สามารถลงไปเล่นได้เลยแหละครับ (แต่อุณหภูมิ 10 กว่าองศา ผมคิดว่าคงไม่มีใครบ้าลงไปเล่นหรอกครับ)
ร่องรอยของอารธรรมของมนุษย์ ตรงอุโมงค์ทางลอดใต้ถนนที่เชื่อมต่อเส้นทางชมซากุระกับทะเล
เลยเที่ยงมาแล้ว พวกผมยังไม่ได้ซื้ออะไรกิน แล้วเจอมุมที่นั่งกินและชมซากุระได้แบบเหมือนในอนิเมะเป๊ะๆ เลยสลับกับเพื่อนออกไปหาซื้ออะไรกิน ผมลองไปซื้อ ปลาหมึก กับหอยเซลล์ ไม้ละ 90 บาท ปลาหมึกไม่เท่าไหร่ คือตัวใหญ่และสดจริง แต่ก็หาในไทยไม่ยาก ที่ผมชอบกว่าก็คือ หอยเซลล์ คือตัวโคตรใหญ่ ใหญ่จนแบบว่า ถ้ามีข้าวมาด้วยนี่คืออิ่มแบบจุกเลย ปกติผมชอบกินหอยเชลล์อยู่แล้ว เจอแบบนี้ยิ่งชอบมากครับ อร่อยแบบไม่ต้องมีนํ้าจิ้มซีฟู้ดก็อร่อยได้ รสชาติยังติดปากผมอยู่เลย เนื้อใหญ่ แน่นยังไม่พอ สดอีกด้วย
พิมพ์ไปนํ้าลายไหลไป 555 ใหญ่ขนาดไหน ลองดูภาพตอนผมกินก็พอว่าใหญ่ขนาดไหน
ในอนิเมะ เราจะเห็นบ่อยๆ ว่า ตอนช่วงเปิดเรื่องที่ตัวละครไปโรงเรียน จะต้องมีซากุระอยู่หน้าโรงเรียน และมาเห็นของจริงกันก็ทริปนี้แหละครับ
ไม้ละ 150 บาท มีอันนี้ที่ผมเสียดายที่ไม่ได้ลอง
ร้านไทยากิร้านนี้เป็นอีกร้านที่มีหลายคนแนะนำกัน คนต่อแถวเยอะมาก ชิ้นละ 60 บาทครับ