ความรุนแรงในครอบครัว : หญิงอินเดียผู้จุดไฟเผาสามีจอมทารุณ
วันที่ 6 เมษายน 2562 - 19:35 น.

BBC เรื่องราวชีวิตของกีรานจิต นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยนางเอกบอลลีวูดชื่อดัง ไอศวรรยา ราย
ความรุนแรงในครอบครัว : หญิงอินเดียผู้จุดไฟเผาสามีจอมทารุณ – BBCไทย
ค่ำคืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิปี 1989 ทีปัก อาลูวาเลีย ทาบเตารีดร้อน ๆ ไปที่ใบหน้าภรรยา ขณะมืออีกข้างจิกผมของเธอเอาไว้แน่น
เตารีดนั้นไหม้ผิวเธอขณะพยายามดิ้นรนให้พ้นเงื้อมมือของสามี และทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้า
กีรานจิต อาลูวาเลีย บอกว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย หลังจากเธอต้องทนทุกข์กับความรุนแรงจากน้ำมือสามีมานานหนึ่งทศวรรษ
“ฉันนอนไม่ได้ ฉันเอาแต่ร้องไห้ ฉันตกอยู่ในความเจ็บปวดทั้งกายและใจ” กีรานจิต เล่าให้บีบีซีฟังถึงความหลังอันขมขื่นในรอบ 30 ปี
“ฉันอยากทำร้ายเขา ฉันอยากจะตีเขากลับแบบที่เขาทำกับฉัน ฉันอยากทำร้ายเขาเพื่อให้เขารู้สึกแบบเดียวกับฉัน ฉันไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น สมองของฉันหยุดชะงักลงอย่างสิ้นเชิง”
คืนนั้น ขณะที่เขากำลังหลับบนเตียง กีรานจิต สาดน้ำมันใส่เท้าสามีแล้วจุดไฟ เธอคว้าลูกชายแล้ววิ่งหนีออกจากบ้าน
“ฉันคิดแค่จะเผาเท้าของเขา ไม่ให้เขาวิ่งตามฉันได้ ฉันอยากฝากรอยแผลเป็นไว้เพื่อให้เขาจดจำสิ่งที่ภรรยาทำกับเขา เพื่อที่ทุกครั้งที่เขามองดูแผลเป็นที่เท้า เขาจะนึกถึงฉัน”
กีรานจิต ยืนกรานว่าเธอไม่ได้เจตนาฆ่าสามี
แต่ 10 วันหลังเกิดเหตุ ทีปัก เสียชีวิตลงจากอาการบาดเจ็บ
ในเดือน ธ.ค.ปีเดียวกันนั้น กีรานจิต ถูกตัดสินให้มีความผิดฐานฆาตกรรมสามี และได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต

BBC กีรานจิต ถ่ายภาพนี้เมื่อปี 1992
สาวเหนือกับครอบครัวที่อบอุ่น
กีรานจิต เติบโตมาในรัฐปัญจาบ ทางภาคเหนือของอินเดีย
แม้พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตเมื่อเธออายุ 16 ปี แต่กีรานจิต บอกว่าเธอมีความสุขมากในวัยเด็ก เธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้ง 9 คน ที่ต่างเอาอกเอาใจเธอ
เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ก็เริ่มมีแรงกดดันให้เธอแต่งงานออกเรือนเพิ่มขึ้น
“ฉันไม่เคยคิดอยากแต่งงาน ดังนั้นฉันจึงไปอยู่กับพี่สาวคนหนี่งในแคนาดา ฉันไม่อยากลงหลักปักฐานแต่งงานมีลูกอยู่ในอินเดียเหมือนบรรดาสะใภ้ร่วมบ้าน ฉันอยากทำงานหาเงิน และใช้ชีวิตของตัวเอง” กีรานจิต เล่า
แต่แล้วเธอก็ต้องยอมรับกับมัน เมื่อพี่สาวที่อยู่ในอังกฤษของเธอหาคู่ให้
“เขามาดูตัวฉันที่แคนาดา เราคุยกันราว 5 นาที แล้วฉันก็ตอบตกลง ฉันรู้ดีว่าฉันหนีมันไม่พ้น ฉันต้องแต่งงาน นั่นแหละ อิสรภาพของฉันได้สูญสิ้นไป”
กีรานจิต ยังจำความประทับใจแรกที่มีต่อสามีของเธอได้ “เขาดูดีมาก หล่อเหล่า แล้วก็มีเสน่ห์” แต่เธอไม่เคยรู้ว่าเขาจะฟิวส์ขาดขึ้นมาเมื่อไหร่ นาทีหนึ่งเขาอารมณ์ดีมาก แต่นาทีถัดไปเขากลับกลายเป็นคนน่ากลัว
แหวนทอง
กีรานจิต เล่าว่า การตบตีเริ่มตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาแต่งงาน
“ถ้าเขาโมโห นั่นแหละ…เขาจะแผดเสียง ข่มเหงจิตใจ ขว้างปาสิ่งของ ผลักฉันไปรอบ ๆ และเอามีดมาขู่ฉัน หลายครั้งเขาจะเข้ามาบีบคอ จนฉันมีรอยฟกช้ำ และพูดไม่ได้ไป 2-3 วัน”
“ฉันจำได้ว่ามันเป็นวันเกิดของเขา และฉันทำงานล่วงเวลาเพื่อซื้อแหวนทองคำเป็นของขวัญวันเกิดให้เขา ในสัปดาห์เดียวกันนั้นเอง เขาเกิดฟิวส์ขาดแล้วต่อยหน้าฉันจนฟันหักด้วยแหวนทองวงนั้น”
กีรานจิต บอกว่า ทุกครั้งที่เธอพยายามหนี สามีจะตามหาเธอจนเจอ พาเธอกลับบ้านแล้วซ้อมเธอ

BBC
หลังแต่งงานไปได้ 5 ปี ทั้งคู่เดินทางไปอินเดีย ซึ่งกีรานจิตเล่าเรื่องที่เธอถูกสามีทำร้ายให้พี่ชายฟัง ตอนแรกครอบครัวของเธอรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หลังจากได้รับคำขอโทษขอโพยจากสามีของเธอ พวกเขาก็กล่อมให้เธอยอมกลับบ้านกับสามี
หลังจากกลับมาอังกฤษได้ไม่กี่เดือน การทารุณก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ทีปักเริ่มนอกใจไปมีหญิงอื่น แล้วไถเงินจากเธอ ซึ่งนำไปสู่การทะเลาะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จุดไฟเผาขึ้น
“ฉันจะหนีหรือหย่าไม่ได้ มันมีแรงกดดันจากครอบครัวให้ต้องมีลูก ทุกคนบอกว่าถ้าฉันมีลูก อะไร ๆ จะเปลี่ยนไป เขาจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบขึ้น”
“เขาไม่เคยเปลี่ยน และเลวร้ายลง”

BBC
เรื่องราวชีวิตของกีรานจิต นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยนางเอกบอลลีวูดชื่อดัง ไอศวรรยา รายตอนที่กีรานจิตถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีฆาตกรรมสามี เธอบอกว่า ไม่มีใครเหลียวแลความทุกข์ทรมานจากการทารุณที่เธอต้องเผชิญ และเธอรู้สึกโกรธที่ได้ยินคำตัดสินของศาล
คำฟ้องในคดีระบุว่าเธอก่อเหตุเพราะความหึงหวง จากการที่สามีไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิงอื่น และระยะเวลาระหว่างการโต้เถียงกับสามีกับตอนที่เธอลงมือแก้แค้นเขา ก็นานพอที่เธอจะได้ใจเย็นลงและคิดถึงการกระทำของตัวอย่างมีเหตุผล
“ฉันเชื่อมั่นในกฎหมายอังกฤษอย่างเต็มเปี่ยม ฉันเคยคิดว่ากฎหมายอังกฤษจะทันสมัยและเข้าใจว่าถึงความเจ็บปวดของฉัน…พวกเขาไม่เคยเข้าใจว่าฉันต้องทุกข์ทรมานมานานหลายปี”
ตอนที่อยู่ในเรือนจำ กีรานจิต เล่าว่าเธอรู้สึกเป็นอิสระจากสามี
เธอเล่นแบดมินตัน เรียนภาษาอังกฤษ และร่วมเขียนหนังสือเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าชีวิตของเธอ
คดีของกีรานจิต ได้รับความสนใจจาก Southall Black Sisters (SBS) กลุ่มทนายความอาสาที่ให้ความช่วยเหลือผู้หญิงผิวดำและหญิงเอเชีย
“เราพยายามคุยกับทีมทนายความของเธอในตอนนั้น และพยายามให้ความรู้พวกเขาเกี่ยวกับบริบททางวัฒนธรรมของเธอ ว่าเหตุใดผู้หญิงเช่นเธอจึงไม่สามารถออกจากชีวิตสมรสที่เต็มไปด้วยความรุนแรงได้โดยง่าย” ปรารถนา ปาเทล ผู้อำนวยการ SBS กล่าว
แต่เธอบอกว่า ศาล “ไม่รับฟัง” และทีมทนายความ “ไม่สนใจ” ที่จะทำความเข้าใจปูมหลังด้านวัฒนธรรมของเธอ
การรณรงค์และการดำเนินการทางกฎหมายอย่างไม่ย่อท้อของ SBS ช่วยให้ศาลยอมรับคำอุทธรณ์ของกีรานจิต ในปี 1992 ด้วยเหตุลดหย่อนความรับผิด (diminished responsibility) จากความผิดปกติทางด้านจิตใจ
ศาลรับฟังหลักฐานใหม่ที่แสดงให้เห็นภาวะซึมเศร้าเรื้อรังของเธออันเป็นผลมาจากการถูกกระทำทารุณนานหลายปี
ศาลยอมรับว่าช่วงเวลาระหว่างการโต้เถียงกับสามีกับตอนที่เธอลงมือก่อเหตุนั้น “ยิ่งทำให้อารมณ์รุนแรงจนควบคุมไม่อยู่” มากกว่าจะทำให้ “ใจเย็นลง”
ในการพิจารณาคดีใหม่ ศาลยอมรับคำสารภาพในความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนาของกีรานจิต และตัดสินให้เธอถูกจำคุก 3 ปี 4 เดือน ซึ่งเท่ากับระยะเวลาที่เธอถูกจองจำไปแล้ว ส่งผลให้เธอได้รับการปล่อยตัวในทันที

PA / กีรานจิต (คนที่ 2 จากซ้าย) ชูมือ ปรารถนา ปาเทล (คนที่ 2 จากขวา) ขณะที่เธอเดินออกจากเรือนจำคดีประวัติศาสตร์
การปล่อยตัวเธอได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ในประวัติศาสตร์การพิจารณาคดีของอังกฤษ ซึ่งศาลยอมรับว่าผู้หญิงที่เป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวอาจมีแนวโน้มที่จะ “เก็บกด” ความรู้สึกเมื่อถูกยั่งยุหรือกระทำทารุณ มากกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาในทันที
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณว่า ผู้หญิงที่ก่อเหตุฆาตกรรมอันเป็นผลมาจากการถูกคนในครอบครัวทำร้ายอย่างรุนแรงนั้น ไม่ควรได้รับการปฏิบัติเยี่ยงฆาตกรเลือดเย็น
ผู้อำนวยการ SBS กล่าวว่า “เราได้เปลี่ยนทัศนคติคนในสังคม”
“นี่คือห้วงเวลาอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่ผู้หญิงในประเทศนี้ต้องต่อสู้กับปัญหาความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เกี่ยวข้องกับหญิงชนที่มาจากชนกลุ่มน้อย และเป็นครั้งแรกที่ชุมชนคนกลุ่มน้อยได้ไตร่ตรองและยอมรับว่าความรุนแรงที่มีพื้นฐานมาจากเพศภาวะมีอยู่จริง และบางครั้งเป็นผลมาจากการที่เราปฏิบัติต่อสตรีเพศ”
ปัจจุบัน กีรานจิต ยังอาศัยอยู่ในอังกฤษ เธอบอกว่ารู้สึกภูมิใจกับการที่เธอกอบกู้ชีวิตตัวเองขึ้นมาได้อีกครั้งในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
“ฉันสู้เต็มที่ ฉันมีงานทำ ลูกชายทั้งสองของฉันเรียนจบ และตอนนี้ฉันได้เป็นคุณย่าแล้ว”
“30 ปี มันเป็นราวกับฝันร้าย”
ข่าวสด
หญิงอินเดียผู้จุดไฟเผาสามีจอมทารุณ
วันที่ 6 เมษายน 2562 - 19:35 น.
ความรุนแรงในครอบครัว : หญิงอินเดียผู้จุดไฟเผาสามีจอมทารุณ – BBCไทย
ค่ำคืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิปี 1989 ทีปัก อาลูวาเลีย ทาบเตารีดร้อน ๆ ไปที่ใบหน้าภรรยา ขณะมืออีกข้างจิกผมของเธอเอาไว้แน่น
เตารีดนั้นไหม้ผิวเธอขณะพยายามดิ้นรนให้พ้นเงื้อมมือของสามี และทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้า
กีรานจิต อาลูวาเลีย บอกว่าเหตุการณ์นั้นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย หลังจากเธอต้องทนทุกข์กับความรุนแรงจากน้ำมือสามีมานานหนึ่งทศวรรษ
“ฉันนอนไม่ได้ ฉันเอาแต่ร้องไห้ ฉันตกอยู่ในความเจ็บปวดทั้งกายและใจ” กีรานจิต เล่าให้บีบีซีฟังถึงความหลังอันขมขื่นในรอบ 30 ปี
“ฉันอยากทำร้ายเขา ฉันอยากจะตีเขากลับแบบที่เขาทำกับฉัน ฉันอยากทำร้ายเขาเพื่อให้เขารู้สึกแบบเดียวกับฉัน ฉันไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น สมองของฉันหยุดชะงักลงอย่างสิ้นเชิง”
คืนนั้น ขณะที่เขากำลังหลับบนเตียง กีรานจิต สาดน้ำมันใส่เท้าสามีแล้วจุดไฟ เธอคว้าลูกชายแล้ววิ่งหนีออกจากบ้าน
“ฉันคิดแค่จะเผาเท้าของเขา ไม่ให้เขาวิ่งตามฉันได้ ฉันอยากฝากรอยแผลเป็นไว้เพื่อให้เขาจดจำสิ่งที่ภรรยาทำกับเขา เพื่อที่ทุกครั้งที่เขามองดูแผลเป็นที่เท้า เขาจะนึกถึงฉัน”
กีรานจิต ยืนกรานว่าเธอไม่ได้เจตนาฆ่าสามี
แต่ 10 วันหลังเกิดเหตุ ทีปัก เสียชีวิตลงจากอาการบาดเจ็บ
ในเดือน ธ.ค.ปีเดียวกันนั้น กีรานจิต ถูกตัดสินให้มีความผิดฐานฆาตกรรมสามี และได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต
สาวเหนือกับครอบครัวที่อบอุ่น
กีรานจิต เติบโตมาในรัฐปัญจาบ ทางภาคเหนือของอินเดีย
แม้พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตเมื่อเธออายุ 16 ปี แต่กีรานจิต บอกว่าเธอมีความสุขมากในวัยเด็ก เธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้ง 9 คน ที่ต่างเอาอกเอาใจเธอ
เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ก็เริ่มมีแรงกดดันให้เธอแต่งงานออกเรือนเพิ่มขึ้น
“ฉันไม่เคยคิดอยากแต่งงาน ดังนั้นฉันจึงไปอยู่กับพี่สาวคนหนี่งในแคนาดา ฉันไม่อยากลงหลักปักฐานแต่งงานมีลูกอยู่ในอินเดียเหมือนบรรดาสะใภ้ร่วมบ้าน ฉันอยากทำงานหาเงิน และใช้ชีวิตของตัวเอง” กีรานจิต เล่า
แต่แล้วเธอก็ต้องยอมรับกับมัน เมื่อพี่สาวที่อยู่ในอังกฤษของเธอหาคู่ให้
“เขามาดูตัวฉันที่แคนาดา เราคุยกันราว 5 นาที แล้วฉันก็ตอบตกลง ฉันรู้ดีว่าฉันหนีมันไม่พ้น ฉันต้องแต่งงาน นั่นแหละ อิสรภาพของฉันได้สูญสิ้นไป”
กีรานจิต ยังจำความประทับใจแรกที่มีต่อสามีของเธอได้ “เขาดูดีมาก หล่อเหล่า แล้วก็มีเสน่ห์” แต่เธอไม่เคยรู้ว่าเขาจะฟิวส์ขาดขึ้นมาเมื่อไหร่ นาทีหนึ่งเขาอารมณ์ดีมาก แต่นาทีถัดไปเขากลับกลายเป็นคนน่ากลัว
แหวนทอง
กีรานจิต เล่าว่า การตบตีเริ่มตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาแต่งงาน
“ถ้าเขาโมโห นั่นแหละ…เขาจะแผดเสียง ข่มเหงจิตใจ ขว้างปาสิ่งของ ผลักฉันไปรอบ ๆ และเอามีดมาขู่ฉัน หลายครั้งเขาจะเข้ามาบีบคอ จนฉันมีรอยฟกช้ำ และพูดไม่ได้ไป 2-3 วัน”
“ฉันจำได้ว่ามันเป็นวันเกิดของเขา และฉันทำงานล่วงเวลาเพื่อซื้อแหวนทองคำเป็นของขวัญวันเกิดให้เขา ในสัปดาห์เดียวกันนั้นเอง เขาเกิดฟิวส์ขาดแล้วต่อยหน้าฉันจนฟันหักด้วยแหวนทองวงนั้น”
กีรานจิต บอกว่า ทุกครั้งที่เธอพยายามหนี สามีจะตามหาเธอจนเจอ พาเธอกลับบ้านแล้วซ้อมเธอ
หลังแต่งงานไปได้ 5 ปี ทั้งคู่เดินทางไปอินเดีย ซึ่งกีรานจิตเล่าเรื่องที่เธอถูกสามีทำร้ายให้พี่ชายฟัง ตอนแรกครอบครัวของเธอรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หลังจากได้รับคำขอโทษขอโพยจากสามีของเธอ พวกเขาก็กล่อมให้เธอยอมกลับบ้านกับสามี
หลังจากกลับมาอังกฤษได้ไม่กี่เดือน การทารุณก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ทีปักเริ่มนอกใจไปมีหญิงอื่น แล้วไถเงินจากเธอ ซึ่งนำไปสู่การทะเลาะก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์จุดไฟเผาขึ้น
“ฉันจะหนีหรือหย่าไม่ได้ มันมีแรงกดดันจากครอบครัวให้ต้องมีลูก ทุกคนบอกว่าถ้าฉันมีลูก อะไร ๆ จะเปลี่ยนไป เขาจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบขึ้น”
“เขาไม่เคยเปลี่ยน และเลวร้ายลง”
เรื่องราวชีวิตของกีรานจิต นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยนางเอกบอลลีวูดชื่อดัง ไอศวรรยา รายตอนที่กีรานจิตถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีฆาตกรรมสามี เธอบอกว่า ไม่มีใครเหลียวแลความทุกข์ทรมานจากการทารุณที่เธอต้องเผชิญ และเธอรู้สึกโกรธที่ได้ยินคำตัดสินของศาล
คำฟ้องในคดีระบุว่าเธอก่อเหตุเพราะความหึงหวง จากการที่สามีไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิงอื่น และระยะเวลาระหว่างการโต้เถียงกับสามีกับตอนที่เธอลงมือแก้แค้นเขา ก็นานพอที่เธอจะได้ใจเย็นลงและคิดถึงการกระทำของตัวอย่างมีเหตุผล
“ฉันเชื่อมั่นในกฎหมายอังกฤษอย่างเต็มเปี่ยม ฉันเคยคิดว่ากฎหมายอังกฤษจะทันสมัยและเข้าใจว่าถึงความเจ็บปวดของฉัน…พวกเขาไม่เคยเข้าใจว่าฉันต้องทุกข์ทรมานมานานหลายปี”
ตอนที่อยู่ในเรือนจำ กีรานจิต เล่าว่าเธอรู้สึกเป็นอิสระจากสามี
เธอเล่นแบดมินตัน เรียนภาษาอังกฤษ และร่วมเขียนหนังสือเกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าชีวิตของเธอ
คดีของกีรานจิต ได้รับความสนใจจาก Southall Black Sisters (SBS) กลุ่มทนายความอาสาที่ให้ความช่วยเหลือผู้หญิงผิวดำและหญิงเอเชีย
“เราพยายามคุยกับทีมทนายความของเธอในตอนนั้น และพยายามให้ความรู้พวกเขาเกี่ยวกับบริบททางวัฒนธรรมของเธอ ว่าเหตุใดผู้หญิงเช่นเธอจึงไม่สามารถออกจากชีวิตสมรสที่เต็มไปด้วยความรุนแรงได้โดยง่าย” ปรารถนา ปาเทล ผู้อำนวยการ SBS กล่าว
แต่เธอบอกว่า ศาล “ไม่รับฟัง” และทีมทนายความ “ไม่สนใจ” ที่จะทำความเข้าใจปูมหลังด้านวัฒนธรรมของเธอ
การรณรงค์และการดำเนินการทางกฎหมายอย่างไม่ย่อท้อของ SBS ช่วยให้ศาลยอมรับคำอุทธรณ์ของกีรานจิต ในปี 1992 ด้วยเหตุลดหย่อนความรับผิด (diminished responsibility) จากความผิดปกติทางด้านจิตใจ
ศาลรับฟังหลักฐานใหม่ที่แสดงให้เห็นภาวะซึมเศร้าเรื้อรังของเธออันเป็นผลมาจากการถูกกระทำทารุณนานหลายปี
ศาลยอมรับว่าช่วงเวลาระหว่างการโต้เถียงกับสามีกับตอนที่เธอลงมือก่อเหตุนั้น “ยิ่งทำให้อารมณ์รุนแรงจนควบคุมไม่อยู่” มากกว่าจะทำให้ “ใจเย็นลง”
ในการพิจารณาคดีใหม่ ศาลยอมรับคำสารภาพในความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนาของกีรานจิต และตัดสินให้เธอถูกจำคุก 3 ปี 4 เดือน ซึ่งเท่ากับระยะเวลาที่เธอถูกจองจำไปแล้ว ส่งผลให้เธอได้รับการปล่อยตัวในทันที
การปล่อยตัวเธอได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ในประวัติศาสตร์การพิจารณาคดีของอังกฤษ ซึ่งศาลยอมรับว่าผู้หญิงที่เป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวอาจมีแนวโน้มที่จะ “เก็บกด” ความรู้สึกเมื่อถูกยั่งยุหรือกระทำทารุณ มากกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ออกมาในทันที
นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณว่า ผู้หญิงที่ก่อเหตุฆาตกรรมอันเป็นผลมาจากการถูกคนในครอบครัวทำร้ายอย่างรุนแรงนั้น ไม่ควรได้รับการปฏิบัติเยี่ยงฆาตกรเลือดเย็น
ผู้อำนวยการ SBS กล่าวว่า “เราได้เปลี่ยนทัศนคติคนในสังคม”
“นี่คือห้วงเวลาอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่ผู้หญิงในประเทศนี้ต้องต่อสู้กับปัญหาความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เกี่ยวข้องกับหญิงชนที่มาจากชนกลุ่มน้อย และเป็นครั้งแรกที่ชุมชนคนกลุ่มน้อยได้ไตร่ตรองและยอมรับว่าความรุนแรงที่มีพื้นฐานมาจากเพศภาวะมีอยู่จริง และบางครั้งเป็นผลมาจากการที่เราปฏิบัติต่อสตรีเพศ”
ปัจจุบัน กีรานจิต ยังอาศัยอยู่ในอังกฤษ เธอบอกว่ารู้สึกภูมิใจกับการที่เธอกอบกู้ชีวิตตัวเองขึ้นมาได้อีกครั้งในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
“ฉันสู้เต็มที่ ฉันมีงานทำ ลูกชายทั้งสองของฉันเรียนจบ และตอนนี้ฉันได้เป็นคุณย่าแล้ว”
“30 ปี มันเป็นราวกับฝันร้าย”
ข่าวสด