
ผมเห็นคำพูดนี้แล้ว มันใช่
ที่ผ่านมาคนที่เกลียด เป็นคนที่ชอบรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างไหม?
สังคมดั้งเดิมของเราเป็นสังคมที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างหรือไม่?
หรือเป็นสังคมที่มองคนที่มีความเห็นที่แตกต่างแล้วกล่าวหาสิ่งร้ายต่างๆ ใส่พวกเขา?
มันก็ใช่ที่ว่า ถ้าเลือกพรรคนี้ ตัวร้ายอย่างทักษิณก็จะกลับมาได้
คุณก็เพียงแค่เลือกฝั่งที่มีไว้ต้านทักษิณ ซึ่งก็คือลุงตู่ นั่นเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนทำได้
แต่คุณจะกล่าวหาฝั่งตรงข้ามเพื่อทำลายล้างพวกเขาหรือไม่
อย่างเช่นที่คุณกนก และคุณเสรีทำ และอาจจะมีคนอื่นๆ อีก ซึ่งผมแทบจะไม่ได้ตามข่าวเลยนึกได้แต่ 2 คนนี้
ถ้าเราเป็นสังคมที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจริงๆ ทำหน้าที่ของเราตามนั้น
ประชาธิปไตยก็จะไปได้ยาวๆ ดูอย่างมาเลย์เซีย ที่มีนายกคนเก่าไม่แตกต่างอะไรเลยจากทักษิณ
แต่เขาก็ต้องออกไปแต่โดยดีตามระบบ ซึ่งถือว่าประชาชนสอบผ่าน ที่ไม่ออกมาเน้นนอกระบบ
พรรคที่เข้ามาใหม่ ก็จัดการเช็คบิลพรรคเก่าที่ทุจริตคอรัปชั่นไป
การเข้ามาจากสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้
เราไม่อาจรู้ว่าใครเป็นคนดี คนไม่ดีจริงๆ ถ้าไม่พึ่งระบบ อย่างลุงตู่ เราก็ไม่รู้ว่า
เขาเป็นคนดี หรือกลุ่มของเขาเป็นคนที่ดี นี่เป็นสัจธรรมที่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครคือคนดีหรือไม่ดี
แต่ปัจจุบัน เรายึดถือว่าการเป็นคนดีคือการเกาะสถาบันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
ซึ่งก็คือทหาร แต่เราไม่สามารถคิดแบบนั้นแล้วมาบิดเบือนสัจธรรมดังกล่าวได้
ผมก็เกลียดทักษิณที่ทำให้ประเทศมาอยู่ในวังวนแบบนี้ แต่ตัวระบบเองของไทยก็อ่อนแอเช่นกัน
ที่ปล่อยให้คนที่คนเชื่อว่าจะดีเข้ามายึดอำนาจ ซึ่งนั่นหมายความถึง สังคมเราเป็นสังคมที่ยึดความเชื่อถือ
ซึ่งนั่นไม่ใช่วิถีพุทธของพระพุทธเจ้าเลย แต่เราปฎิบัติแบบนั้นมาโดยตลอด
ดังนั้นทุกอย่างมันอยู่ที่พื้นฐานสังคมดั้งเดิมของเรา
คนอย่าง ดร.เสรี ไม่ใช่ไม่เก่ง เพราะเขาสอบได้จนถึงขั้นปริญญาเอก
เช่นเดียวกัน ดร.ปิยบุตร ก็ไม่ใช่คนที่เก่งหรือไม่เก่ง แต่มันมีคนเก่งอยู่คนละฝั่งของพื้นฐานความเชื่อ
พื้นฐานความคิดเสมอ
เพียงเราแค่ปล่อยให้เป็นไปตามเกม ตามกติกาเท่านั้นก็พอ
และคนเรามีทั้งคนที่ไม่อยากรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง กับฝั่งของคนที่ชอบฟังความคิดเห็นแตกต่าง
คนเรามีทั้งชอบแบบความคลาสสิคและอนุรักษ์นิยม กับมีทั้งชอบอะไรที่ใหม่ๆ ความคิดสร้างสรรค์
นี่เป็นธรรมชาติของคน
ดังนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ควรเข้ามาบังคับฝ่ายที่เห็นต่าง และปล่อยให้สังคมเป็นไปตามฉันทามตินั้น
ทางฝั่งพรรคลุงตู่ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนสนับสนุน แถมยังมีเยอะด้วย เพียงแต่การอยู่ในเกมที่ตัวเองสร้างขึ้น
เพราะกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดจนทำให้อีกฝ่ายกลับเข้ามา ทำให้มันเป็นการเลือกใช้การกระทำของ
ฝ่ายร้าย ซึ่งคำว่า "โลกสวย" ก็เป็นวาทกรรมที่เอาไว้โจมตีสิ่งที่ผมกำลังจะพูดเช่นกัน แต่จริงๆ แล้ว
ธรรมชาติของมนุษย์ทุกๆ คนต้องการ fair game แล้วผลที่ออกมาจะแพ้หรือชนะก็จะไม่มีฝ่ายใดบ่นหรือ
ออกมาเดินขบวนทั้งสิ้น
นี่จึงเป็นการบอกเล่าถึงการให้คิด การคิดที่ไม่อิงจากความเชื่อ คือหนทางแห่งพระพุทธองค์ที่คนไทย
100% นับถือมาตลอด ประเทศเราควรจะเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบที่สุดในด้านประชาธิปไตยเพื่อเรา
คือศูนย์กลางแห่งพุทธ ประเทศเราน่าจะเป็นจุดรวมแห่งวิทยาการ และนักปราชญ์ นักคิดที่โด่งดังไปทั่วโลก
เพราะว่าพวกเราคือพุทธ แต่ทำไมกลับกลายเป็นประเทศเรา คือประเทศแห่งความเชื่อ...และคำล่าสุดในปัจจุบัน
คือประเทศแห่ง connection.... เราไม่ได้ใช่ความเป็นพุทธที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย
การตัดแปะคำพูดเป็นท่อนๆ จากฝั่งพรรคอนาคตใหม่ของ ดร.เสรี ก็แบบว่าไม่ใช่วิถีแห่งพุทธเลย
ประเทศของเราคือประเทศของสังคมที่มีประชาชนกำลังหลงทาง...อย่างง่ายๆ
ความเชื่อครอบงำกลุ่มชนชั้นนำ และผู้มีความรู้ความสามารถ....ซึ่งพบได้ทั่วไป
ประเทศเราจึงอยู่ในภาวะที่ไม่ต่างจากประเทศที่อยู่ในสงครามของความเชื่อ ทั้งๆ ที่เราเป็นชาวพุทธ
ซึ่งนั่นอาจหมายความถึง เนื้อแท้ของเรานั้นไม่ใช่พุทธจริงๆ แต่เราล้มเหลวในฐานะที่เป็นประเทศ
แห่งพุทธ และประเทศที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ใช้วิธีการคิดแบบมีเหตุผลกลับประสบความสำเร็จ
แบบที่ประเทศแห่งพุทธควรจะเป็นและทำได้
ทิ้งเอาไว้ให้คิดครับ...
เรื่องของอนาคตใหม่ มันอยู่ที่ว่าคุณเป็นคนที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างไหม
ผมเห็นคำพูดนี้แล้ว มันใช่
ที่ผ่านมาคนที่เกลียด เป็นคนที่ชอบรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างไหม?
สังคมดั้งเดิมของเราเป็นสังคมที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างหรือไม่?
หรือเป็นสังคมที่มองคนที่มีความเห็นที่แตกต่างแล้วกล่าวหาสิ่งร้ายต่างๆ ใส่พวกเขา?
มันก็ใช่ที่ว่า ถ้าเลือกพรรคนี้ ตัวร้ายอย่างทักษิณก็จะกลับมาได้
คุณก็เพียงแค่เลือกฝั่งที่มีไว้ต้านทักษิณ ซึ่งก็คือลุงตู่ นั่นเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนทำได้
แต่คุณจะกล่าวหาฝั่งตรงข้ามเพื่อทำลายล้างพวกเขาหรือไม่
อย่างเช่นที่คุณกนก และคุณเสรีทำ และอาจจะมีคนอื่นๆ อีก ซึ่งผมแทบจะไม่ได้ตามข่าวเลยนึกได้แต่ 2 คนนี้
ถ้าเราเป็นสังคมที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจริงๆ ทำหน้าที่ของเราตามนั้น
ประชาธิปไตยก็จะไปได้ยาวๆ ดูอย่างมาเลย์เซีย ที่มีนายกคนเก่าไม่แตกต่างอะไรเลยจากทักษิณ
แต่เขาก็ต้องออกไปแต่โดยดีตามระบบ ซึ่งถือว่าประชาชนสอบผ่าน ที่ไม่ออกมาเน้นนอกระบบ
พรรคที่เข้ามาใหม่ ก็จัดการเช็คบิลพรรคเก่าที่ทุจริตคอรัปชั่นไป
การเข้ามาจากสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้
เราไม่อาจรู้ว่าใครเป็นคนดี คนไม่ดีจริงๆ ถ้าไม่พึ่งระบบ อย่างลุงตู่ เราก็ไม่รู้ว่า
เขาเป็นคนดี หรือกลุ่มของเขาเป็นคนที่ดี นี่เป็นสัจธรรมที่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครคือคนดีหรือไม่ดี
แต่ปัจจุบัน เรายึดถือว่าการเป็นคนดีคือการเกาะสถาบันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
ซึ่งก็คือทหาร แต่เราไม่สามารถคิดแบบนั้นแล้วมาบิดเบือนสัจธรรมดังกล่าวได้
ผมก็เกลียดทักษิณที่ทำให้ประเทศมาอยู่ในวังวนแบบนี้ แต่ตัวระบบเองของไทยก็อ่อนแอเช่นกัน
ที่ปล่อยให้คนที่คนเชื่อว่าจะดีเข้ามายึดอำนาจ ซึ่งนั่นหมายความถึง สังคมเราเป็นสังคมที่ยึดความเชื่อถือ
ซึ่งนั่นไม่ใช่วิถีพุทธของพระพุทธเจ้าเลย แต่เราปฎิบัติแบบนั้นมาโดยตลอด
ดังนั้นทุกอย่างมันอยู่ที่พื้นฐานสังคมดั้งเดิมของเรา
คนอย่าง ดร.เสรี ไม่ใช่ไม่เก่ง เพราะเขาสอบได้จนถึงขั้นปริญญาเอก
เช่นเดียวกัน ดร.ปิยบุตร ก็ไม่ใช่คนที่เก่งหรือไม่เก่ง แต่มันมีคนเก่งอยู่คนละฝั่งของพื้นฐานความเชื่อ
พื้นฐานความคิดเสมอ
เพียงเราแค่ปล่อยให้เป็นไปตามเกม ตามกติกาเท่านั้นก็พอ
และคนเรามีทั้งคนที่ไม่อยากรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง กับฝั่งของคนที่ชอบฟังความคิดเห็นแตกต่าง
คนเรามีทั้งชอบแบบความคลาสสิคและอนุรักษ์นิยม กับมีทั้งชอบอะไรที่ใหม่ๆ ความคิดสร้างสรรค์
นี่เป็นธรรมชาติของคน
ดังนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ควรเข้ามาบังคับฝ่ายที่เห็นต่าง และปล่อยให้สังคมเป็นไปตามฉันทามตินั้น
ทางฝั่งพรรคลุงตู่ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนสนับสนุน แถมยังมีเยอะด้วย เพียงแต่การอยู่ในเกมที่ตัวเองสร้างขึ้น
เพราะกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดจนทำให้อีกฝ่ายกลับเข้ามา ทำให้มันเป็นการเลือกใช้การกระทำของ
ฝ่ายร้าย ซึ่งคำว่า "โลกสวย" ก็เป็นวาทกรรมที่เอาไว้โจมตีสิ่งที่ผมกำลังจะพูดเช่นกัน แต่จริงๆ แล้ว
ธรรมชาติของมนุษย์ทุกๆ คนต้องการ fair game แล้วผลที่ออกมาจะแพ้หรือชนะก็จะไม่มีฝ่ายใดบ่นหรือ
ออกมาเดินขบวนทั้งสิ้น
นี่จึงเป็นการบอกเล่าถึงการให้คิด การคิดที่ไม่อิงจากความเชื่อ คือหนทางแห่งพระพุทธองค์ที่คนไทย
100% นับถือมาตลอด ประเทศเราควรจะเป็นประเทศที่สมบูรณ์แบบที่สุดในด้านประชาธิปไตยเพื่อเรา
คือศูนย์กลางแห่งพุทธ ประเทศเราน่าจะเป็นจุดรวมแห่งวิทยาการ และนักปราชญ์ นักคิดที่โด่งดังไปทั่วโลก
เพราะว่าพวกเราคือพุทธ แต่ทำไมกลับกลายเป็นประเทศเรา คือประเทศแห่งความเชื่อ...และคำล่าสุดในปัจจุบัน
คือประเทศแห่ง connection.... เราไม่ได้ใช่ความเป็นพุทธที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย
การตัดแปะคำพูดเป็นท่อนๆ จากฝั่งพรรคอนาคตใหม่ของ ดร.เสรี ก็แบบว่าไม่ใช่วิถีแห่งพุทธเลย
ประเทศของเราคือประเทศของสังคมที่มีประชาชนกำลังหลงทาง...อย่างง่ายๆ
ความเชื่อครอบงำกลุ่มชนชั้นนำ และผู้มีความรู้ความสามารถ....ซึ่งพบได้ทั่วไป
ประเทศเราจึงอยู่ในภาวะที่ไม่ต่างจากประเทศที่อยู่ในสงครามของความเชื่อ ทั้งๆ ที่เราเป็นชาวพุทธ
ซึ่งนั่นอาจหมายความถึง เนื้อแท้ของเรานั้นไม่ใช่พุทธจริงๆ แต่เราล้มเหลวในฐานะที่เป็นประเทศ
แห่งพุทธ และประเทศที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ใช้วิธีการคิดแบบมีเหตุผลกลับประสบความสำเร็จ
แบบที่ประเทศแห่งพุทธควรจะเป็นและทำได้
ทิ้งเอาไว้ให้คิดครับ...