เรื่องของคนที่ป่วยด้วยความเครียดแต่ยังอยากมีชีวิต

สวัสดีครับ ผมอยากเล่าเรื่องราวอยู่ในใจผมในกระทู้นี้

บางทีอาจจะพิมผิดพิมถูกด้วยความที่ผมไม่ได้กลั่นกรอง

ผมเป็นคนๆหนึ่งที่อายุวัยเลข3ครับ จริงๆชีวิตที่ผ่านมาผมก็เหมือนหลายๆคน ที่เป็นเด็กเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น

บ้านเราไม่ได้ถึงกับร่ำรวยเงินทองแต่ผมถูกป๊ากับม๊าดูแลด้วยความรักมาโดยตลอด จนเราได้เติบโตถึงวัยทำงาน

วันที่ผมเรียนจบชีวิตผมไม่ได้ทำงานประจำ ผมเริ่มทำงานกับที่บ้าน จน ผมได้มีโอกาสออกไปเจอโลกกว้างผมได้มีเป้าหมายในชีวิต

ผมได้เริ่มทำธุรกิจส่วนตัวออกมาเริ่มต้นด้วยตัวเอง โดยที่บ้านป๊ากับม๊าก็มีธุรกิจของท่าน

ผมเติบโตได้ไวมากธุรกิจผมเติบโตภายในระยะเวลาอันสั้นแต่มันก็เป็นได้ไม่นานผมต้องเจอกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่ตั้งตัวแทบไม่ทัน

ความสุขผมเริ่มหายไปช่วงเวลาที่ผมคาดหวังไว้ว่า วันหนึ่งเราอยากให้พ่อแม่เราไม่ต้องทำงานหนักเราจะได้ดูแลท่านเหมือนกับที่ท่านดูแลเราเสมอ

มากลายเป็นแค่ความฝัน ชีวิตผมเริ่มเครียดหนี้ผมเริ่มรอบตัวและประจวบกับที่บ้านธุรกิจของป๊าม๊าก็มีปัญหาเช่นกัน ผมไม่สามารถปรึกษาใครได้

ผมจากคนที่เคยมีรอยยิ้มรอยยิ้มผมเริ่มหายไปแบบไม่รุ้ตัวผมเริ่มมีอาการเครียดแบบที่คนรอบข้างเห็นได้ชัด ชีวิตของผมเริ่มเปลี่ยน

ผมจมอยุ่กับความเครียดที่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้หรือเมื่อไหร่มันจะดีขึ้น ผมรู้สึกว่าโลกช่างโหดร้ายกับคนที่ตั้งใจสู้กับชีวิตคนที่มีเป้าหมาย

ช่วงเวลาจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมตัดสินใจยอมทุกอย่างผมเคลียร์หนี้ที่ผมต้องใช้ให้หมด สุดท้ายผมไม่มีหนี้แต่ผมก็ไม่เหลือเงินจากวันนั้นผมไม่เคยมีเวลานอนแบบคนปกติทั่วไป ผมนอนไม่หลับมาหลายปีกว่าผมจะนอนคือสว่างแล้วมันเป็นเวลาที่ทรมานมากช่วงเวลาแห่งความมืด

คือช่วงเวลาที่ผมฟุ้งซ่าน ความคิดในแง่ลบๆผมเริ่มมาแม้ผมจะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นก็ตาม ผมร้องไห้อยู่ในห้องบ่อยครั้งกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนคนบ้า วันไหนที่ร่าเริงเราก็จะร่าเริงแบบไม่มีเหตุผลเอนเนอจี้เราเยอะมากในการทำสิ่งต่างๆ

แต่บางครั้งอยู่ๆจิตเราก้ตกแบบดำดิ่งไม่อยากทำอะไรอยากอยู่คนเดียวไม่อยากทำอะไรเก็บตัวอยู่ในห้องไม่สุงสิงกับใคร

อยู่ๆก็หัวไม่หยุดคิดมีเรื่องต่างๆไหลเข้ามาในหัวจนปวดหัวไปหมดใจสั่น จนทำอะไรไม่ถูกชีวิตติดอยู่กับเรื่องแบบนี้มาตลอด จนคนรอบข้างอย่างป๊ากับม๊าเป็นห่วงเพราะบางครั้งเราก็เกิดอาการก้าวร้าวแบบไม่มีสาเหตุเป็นคนอารมณ์ร้ายโมโหร้าย แต่โชคดีที่ผมไม่เคยทำร้ายใคร นับวันอาการยิ่งแย่จนถึงพยายามทำร้ายตัวเองหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ถึงกับทำร้ายตัวเองในการฆ่าตัวตาย จริงๆถามว่ามีความคิดที่อยากตายไหมมันมีความคิดอยู่แทบทุกวันแต่สุดท้ายเรายังต้องพยายามควบคุมสติไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เคยพยายามฆ่าตัวตายแต่โชคดีที่เสี้ยวนาทีสุดท้ายของชีวิตมีสติ จนผมคิดว่าทุกวันที่ผมมีชีวิตอยู่ได้เพราะช่วงเวลาสุดท้ายผมเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมพยายามไปต่อ อาการผมเป็นแบบนี้พักนึงจน ป๊ากับม๊าและแฟนเห็นว่าผมไม่ไหวแล้วจนต้องพาผมไปพบแพทย์ ป๊ากับม๊าหาแพทย์ที่ดีเท่าที่ป๊าจะหาได้โดยได้รับคำแนะนำจากญาติๆที่เป็นหมอ ณตอนนั้นผมยินดีที่จะไปพบแพทย์และพบว่าผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและมีอาการของคนสองบุคลิกหรือไบโพล่า วันนั้นผมไม่คิดอะไรผมอยากดีขึ้นผมก็เข้ารับการรักษาผมปรึกษาแพทย์สัปดาห์ละสองครั้งและทานยาพร้อมรับการบำบัดให้อาการมันดีขึ้น ผมโชคดีที่ผมมีคนที่รักผมอย่างครอบครัวผมที่อยากให้ผมหายอาการผมค่อยๆดีขึ้นทีละนิดๆแต่ก็ไม่ได้หายในระยะเวลารวดเร็วทันใจ ผมไม่เคยรู้เลยเรื่องค่าใช้จ่ายต่อการไปหาหมอแต่ละครั้งจนกระทั่งวันหนึ่งผมเห็นค่าใช้จ่ายในการรักษาซึ่งจำนวนเงินมัน ก็ไม่น้อยเลยและวันนั้นเป็นวันที่ผมได้ทราบว่าป๊ากับม๊าผมต้องจ่ายเงินค่ารักษาผมเดือนหนึ่งเป็นหมื่นๆค่าพบแพทย์ครั้งหนึ่งคุยกับแพทย์ก็หลายพัน ผมก็เกิดอาการเครียดขึ้นมาและรับรู้ว่าป๊ากับม๊าต้องลำบากแค่ไหนในการพาผมมารักษาเพราะธุรกิจที่ป๊าม๊าทำก็เจอวิกฤตที่ค่อนข้างร้ายแรงมากเหมือนกันจนรายรับที่บ้านไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แค่ค่าใช้จ่ายในบ้านก็แทบจะไม่ไหวแล้ว ผมพยายามทำให้ตัวเองอาการดีขึ้นด้วยตอนนั้นผมไม่รู้ว่า ผมแค่แกล้งทำหรืออาการมันดีขึ้นแล้วจริงๆแต่การตอบสนองของร่างกายและการใช้ชีวิตผมต้องทำอะไรให้มันดีขึ้นจนสุดท้ายผมบอกป๊ากับม๊าว่าผมดีขึ้นแล้วผมไม่เป็นอะไรผมไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าวหรืออะไรก็ตามออกมาสุดท้ายผมไม่ไปหาหมอเพราะผมคิดว่าผมหายแล้ว จริงแล้วผมกลัวว่าป๊าม๊าจะแย่หากยังต้องจ่ายค่ารักษาที่มากขึ้นหรือผมหายแล้วจริงๆผมไม่รู้ได้เลย แต่ด้วยความรู้สึกและทุกอย่างมันดีขึ้นผมเลิกไปหาหมอ และเวลาก็ผ่านไปผมเริ่มต้นใหม่อะไรหลายๆอย่างเริ่มทำธุรกิจเล็กๆที่พออยุ่ได้ไปค่อยๆขยับขยายแต่ต้องบอกเลยว่าชีวิตที่ต้องดำเนินไปบนโลกในประเทศไทยยุคนี้ปีหลังๆมานี้ไม่ได้เดินได้ง่ายทำอะไรยากขึ้นกว่าเดิมในความรู้สึกผม แต่มันก็คงเป็นความคิดส่วนตัวผมคนเดียวที่คิดแบบนั้นคนอื่นอาจจะดีผมตัดสินตัวเองจากความรู้ความสามารถที่ผมมี เลยอาจจะมองว่าทำอะไรในยุคนี้ไม่ง่ายเลยการซื้อขาย ค่อนข้างฝืดเคืองเวลาผ่านไป ผมเข้าใจเลยว่าอาการป่วยมันไม่ได้หายไปอย่างที่เราคิด วันนี้เราไม่สามารถประคับประคองสติและความเครียดของตัวเองในวันที่เราเคยปกติเรื่องบางเรื่องพาให้ความรุ้สึกเราดำดิ่งลึกลงไป การป่วยมันอย่างที่หมอบอกจริงๆมันเป็นเคมีในสมองเราต้องใช้ยาช่วยมันไม่ได้หายเอง เวลามีความเครียดผมมักเครียดมากจิตตกแบบรุนแรง บางครั้งก็กระวนกระวายใจเรื่องต่างๆมันกลับเข้ามาในหัว ความรู้สึกเก่าๆมันกลับมา แต่ครั้งนี้มันมาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่า เราเป็นภาระให้กับคนอื่นมากเกินไป บางครั้งการไม่มีเราในโลกนี้ คนในครอบครัวเราทุกคนๆอาจจะอยู่สบายขึ้นความรู้สึกอยากตายมันเริ่มมาถี่ขึ้นทุกๆวันโดยจริงๆแล้วเราอาจจะไม่ได้อยากรู้สึกแบบนั้นปัจจุบันก็ยังเป็นแต่ไม่มีความรู้สึกที่อยากทำร้ายคนอื่นแต่มีความรู้สึกดำดิ่งอยุ่กับตัวเอง

ความรุ้สึกกลัวเริ่มเข้ามาพร้อมๆกับอยากมีชีวิตอยู่ ตัวเราอยากมีชีวิตอยู่ในทุกๆวันเราเพราะเรายังมีความฝันและเรายังมีเป้าหมายอยู่ แต่จิตใต้สำนึกลึกๆแล้วหรือมันจะเป็นอะไรก็ตามจะตามแย้งว่า บางครั้งการไม่มีเราสักคนทุกคนอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้ วันนี้ผมไม่ได้กลับไปหาแพทย์ท่านนั้นอีกแล้วเพราะผมไม่มีทรัพย์พอ เพราะการมีรายได้อยู่ในทุกวันนี้ก็เต็มกลืนกับการใช้ชีวิตในตอนนี้แล้วครับ ทุกวันนั้นผมทำได้คือประคองสติของตัวเองให้มีชีวิตอยู่ในทุกๆวัน ผมไม่กล้าบอกใครๆเพราะปัจจุบันธุรกิจที่บ้านเข้าขั้นแย่มากๆทำได้แต่ข่มไว้เวลาออกห้องก็ยิ้มสู้หน้าราวกับไม่เป็นอะไร เพราะไม่อยากให้ท่านต้องวิตกกังวลและเครียด เพราะบางครั้งเรามีเรื่องอยากปรึกษา เราเห็นถึงความเครียดที่ท่านมี มันไม่เหมือนกับที่เราเคยเปิดใจคุยกันเมื่อสมัยก่อน เพราะปัญหาที่ท่านเจอตอนนี้ก็หนักหนาเอาการ

ผมจึงอยากบอกว่าคนที่กำลังป่วยให้เปิดใจเข้ารับการรักษาและเมื่อรักษาและบำบัดอยู่ไปให้จนสุดผมยังเชื่อนะครับโรคนี้มันจะดีขึ้นได้ครับ

และผมอยากให้คนรอบข้างเข้าใจคนที่กำลังป่วย ผมว่าเขาต้องการกำลังใจจากคนที่รักมากๆครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่