ชีวิตที่ถูกแช่แข็ง

สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิป ที่ต้องหายใจดิ้นต่อสู้ปากกัดตีนถีบกับชีวิตให้รอดพ้นไปในแต่ละวัน ผมเชื่อว่าหลายคนของมีเป้าหมายคงมีความฝันที่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้คุณรู้ว่าคุณเกิดมาทำไมบนโลกใบนี้........ผมเองก็เช่นกัน ผมมีความฝัน ผมอยากเป็นนักแสดง อยากเป็น Superstar อยากไปเจิดจรัสในวงการมายา ความคิดนี้เริ่มต้นตั้งแต่ผมอยู่มอปลายช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะเข้ามหาลัย ช่วงนั้นคำถามเกิดเต็มหัวไปหมดว่า "เห้ยชีวิตเรามันจะไปทางไหนวะ" ในขณะที่เพื่อนๆร่วมห้องต่างกันคิดอย่างเดียวคือสอบเข้าที่ไหน แต่ผมคงจะผ่าเหล่าผมกลับคิดว่า "ตัวผมเองนั้นจะมีชีวิตแบบไหนและอยากเป็นอะไร" สังเกตุไปสังเกตุมาและก็ Bingo!! ผมชอบการแสดง เพราะทุกครั้งที่มีการได้ออกไป present หน้าห้องหรือมีการแสดงบทละครภาษาไทยผมนี่แทบจะเนื้อเต้นตลอด ผมกับเพื่อนในกลุ่มมักจะทำมันออกมาได้ดีและปังตลอดจนกลุ่มอื่นพยายามจะให้แก๊งของผมออกหลังสุดเพราะไม่งั้นมันจะสร้างมาตรฐานไว้สูง 5555 นี่แหละจึงเป็นเหตุผลที่ support ทฤษฎีสมคบคิดแล้วว่า "เห้ยเกิดมาเพื่อสิ่งนี้หวะ" คำถามแรกผ่านไปแล้วคำถามที่สองก็คือ "แล้วกุวจะต้องทำไงวะ....ที่ไหนจะสร้างกุวให้เป็นกุวได้วะ???" โชคดีที่ช่วงนั้นทางโรงเรียนเขาได้เปิดโอกาสให้นักเรียนไป Open House ตามมหาวิทยาลัยต่างๆทั้งเอกชนและรัฐบาล ก็บอกตรงๆเลยว่าใจนั้นเอนเอียงไปทางเอกชนมากกว่าเพราะของเขาดีจริงแต่ ของดี....ราคาก็แพงตามคุณภาพ ตอนนั้นเบอร์หนึ่งของผมคือมอรังสิต ตอนไป Open House นี่ถึงกับอยากจะตะโกนว่า "แม่เจ้าโว้ย..กั้ม!!!"เลยละ แต่ก้อนะค่าเทอมนี่แพงหูฉีก (ต้องบอกก่อนว่าทางบ้านฐานะปานกลางเหลื่อมๆยากจน) กระทั่งวันนึงฟ้าดลบันดาล ได้ไปเปิดหูเปิดตาที่มหาลัยแห่งนึงย่านงามวงศ์วาน อ้ะ!!! ค่าเทอมพอจ่ายได้ คุณภาพ...เห้ยได้อยู่นะ ตัดสินใจเลยว่าจะเอาที่นี้แหละ

หลังจากที่ได้คำตอบของคำถามทั้งข้อหนึ่งและสองแล้วก็ต้องมาเผชิญหน้ากับข้อสอบโอเน็ต โอ้โห่ทำมั้ยมันทรมานอย่างนั้นนนนนวิชานึงเกือบๆสามชั่วโมง(รุ่นผมรู้กันอยู่ว่าห้านาทีก็เสร็จ555/มิควรเอาเปนเยี่ยงอย่าง) เลยตัดสินใจโดดแม่มเลย ไหนก้อจะเข้าเอกชนอยู่ละ เอาเวลามาคิดดีกว่าเราต้องพัฒนาอะไรอีกบ้างสำหรับศาสตร์การแสดง ผมชอบดูหนัง...ไม่ใช่สิชอบเสพหนังแนวดาร์คๆ American Psycho ,Silent of the lamp หนังบู๊ Equilibrium หนังซึ่งกินใจ moulin rouge ,3 Idoit,PK,slumdog millionaire ไปจนถึงการตูนทั้ง อนิเมะและคอมมิค Naruto,Justice League ฯ แนวเพลง5555 Hiphop Old School&GangstaRap มาโด่งเลย ตามด้วย Metal นอกจากนั้นก็เพลงฝรั่งเพลงอะไรก็ตามที่ผมคิดว่าไพเราะอย่าง I want it that away,the day you went away ฯลฯ(สมัยนั้น รร.ผมเขาฮิตพวก Black vanilla กันทั้งโรงเรียน/ลืมบอกไปว่าผมเรียนสายศิลป์อังกฤษ) หลังจากหาแนวทางของตัวเองได้ชีวิตก็เริ่มผันเข้าสู่วัยมหาลัยเราเลือกจะเรียนภาพยนตร์แทนที่จะเข้าศิลกรรมการแสดงเพราะว่า 1.คิดว่าการเรียนภาพยนตร์คือการได้ไปแสดงภาพยนตร์ 2.ต่อให้ไม่ใช่ข้อหนึ่งอย่างน้อยก็จะได้มีคนรู้จักในวงการนี้ละวะ แต่ทว่า.................ทุกสิ่งทุกอย่างยิ้มไม่ได้เป็นอย่างที่คิด มหาลัยนี้สาขานี้เขาไม่ได้สอนการดึงเอาศักยภาพของตัวบุคคลมาใช้ ไม่ put the right man on the right job ใครถนัดอะไรจะได้ทำอีกตำแหน่ง ที่เจ็บปวดที่สุดคือเวลารุ่นพี่ทำหนังสั้นกันก็มักจะดึงแต่คนหล่อคนสวยไป ไอ้เราที่อยากเล่นแต่จุดเด่นคือหน้าตาไม่ดีก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆหรือแม้กระทั่งจะได้เล่นบทพระรองในหนังสั้นของรุ่นเดียวกันก็มิวายโดนเพื่อนๆพี่ในขณะโห่ร้องล้อเรียนทำนองว่า "โอ้ยหน้าอย่างเนี่ยนะจะไปต่างประเทศ" เอ้านั่นมันในบทเฟ้ยยย แต่เพราะอะไรไม่รู้หลังจากนั้นเพื่อนเราตัดสินจะทำหนังสั้นเรื่องนั้นฉบับตัวเต็มโดยเปลี่ยนให้คนอื่นมาเล่นแทนในบทของเรา (กรรมของกุวTT) หลังจากนั้นก็เอ้อละเหยลอยชายจนถึงประมาณปีสี่ นั่งเป็นเด็กหลังม่านมาตลอด เป็นทั้งตัวตลก ทาส เหยื่อ ไอ้งั่งจากเหตุการณ์ต่างเลยทำให้เราตัดสินใจออกมาอยู่คนเดียว+กับเราเพิ่งได้แฟนคนแรกในชีวิตด้วยแหละเธอก็โคตรจะงี่เง่าเลยทำให้เราแตกกลุ่มสุดท้ายก็เลิกลากันไป ขนาดอุส่าดีใจที่ได้เจอรุ่นพี่ที่เขาคิดการใหญ่และเขาเหมือนจะเห็นความเป็นเพชรในตัวเรา เอาเราไปช่วยงาน ไม่ว่าจะเปนละครเวทีโรงเรียนหรือโปรเจคหนังสั้นแต่สุดท้ายแล้วศักยภาพการแสดงของเราก็ไม่ได้ถูกดึงออกมาใช่ เขาคงวัฒนธรรมเดิมไว้คือเอาแค่คนหล่อสวยมาเป็นสเน่ห์ดึงดูด (คือเขาเป็นคนชอบหนังเกาหลีต่างจากเราที่เป็นสาย Hollywood) หลังจากนั้น เราก็ได้บินเดี่ยวจริงๆส่วนไอ้เพื่อนที่มาด้วยกันบอกให้เราเข้าภาพยนตร์ก็หายจากจักรวาลนี้ไปเลย(จริงๆมันไม่ได้ไปไหนหรอก...ติดเกมอยู่บ้าน)

เมื่อชีวิตถึงจังหวะต้องเวิ้งว้างไม่รู้จะไปทางไหนต่อคำถามที่สามจึงเกิด "ความสำเร็จมันมีจริงเหรอวะ" ที่พวกคนดังในวงการ Superstar ที่ยิ้มชอบออกมาเล่าว่าชีวิตมันเคยนอนกะดินกินทรายมาก่อนจะมีวันนี้แล้วก็จบด้วยคำคมเท่ๆว่าอยากอะไรให้ตั้งใจแล้วไปให้ถึง/ฝันให้ไกลไปให้ถึงอะไรเทือกๆเนี้ย มันเป็นจริงเหรอวะ ที่ผ่านมากุวพยายามจะเจิดจรัสมาตลอดแต่สังคมก็พยายามจะกดกุวให้อยู่แค่เบื้องล่าง....ทำไมกลัวคนหน้าอย่างกุวขึ้นปกนิตยสาร Time หรือยังไง ยอมรับเลยว่าเครียดมากเสพยาได้คือทำไปละแต่ติดว่าไม่มีตังเลยทำได้แค่กินแต่โค้กให้มันกัดกระเพาะเล่น 55555 หลังจากนั้นผมลองไปเข้ารับการอบรมสำหรับคนที่ต้องการประสบความสำเร็จ โดยได้รับการแนะนำมาจากรุ่นน้องคนนึงแต่สุดท้ายยิ้มก็แบไต๋ออกมาว่ายิ้มเปนกิจการขายตรง(สัสหรอกขายฝันกุวอีก) หลังจากนั้นเราทบทวนอยู่นานก็เกิดผุดไอเดียขึ้นมาว่า "เห้ยงั้นหางานแสดงเองดีมะ walk in เข้าไปขอยิ้มดื้อๆเลย นักแสดงยิ้มต้องไม่มีอายอยู่ละ" ประจวบเหมาะกับพอดีพี่สะใภ้เขาพยายามจะดันลูกของเขาให้เป็นดาราเด็กด้วย เราเลยติดสอยห้อยตามเขาไปตาม Modeling ต่างๆ ได้ถ่ายโปรไฟล์ ได้รับงานตัวประกอบ ซึ่งก็ไม่ได้เยอะอะไรเลยแต่ละงานก็ใช้คุ้มค่า 500 จิงๆ บางงานมีการแบ่งวรรณะ งานไหนกองถ่ายทุนหนาก็จะได้กินน้ำสี งานไหนกองถ่ายทุนต่ำอย่าหวังแม้จะได้กินน้ำแดงเลย เผลอๆตีมือหักเขาให้ดารากินและก็เหมือนเดิม ตัวประกอบคนไหนหน้าตาดีๆหล่อสวยแบบว่าหล่อเลยสวยเลยก็จะได้เล่นเยอะหน่อยออกเยอะหน่อย เห้ออ ทนกับสภาพนี้มานานพอควรกระทั่งตัดสินใจกลับไปเรียนเก็บตัวที่เราติดเอฟ วันนึงก็มีไลน์เด้งมาจะ Agency คนหนึ่ง อยากให้เราไปแคสบทฆาตกรโรคจิต(อ้ะงานถนัดมาละ) ไอ้เราก็ไปโดยคิดว่าก็คงจะเหมือนงานก่อนๆ(เราไปแคสหลายงานมากแต่ส่วนใหญ่จะแห้ว)หลังจากแคสเสร็จเราก็ไปเรียนปกติจนกระทั่งประมาณหนึ่งอาทิติย์ให้หลัง มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรมาหาเราแจ้งว่า..........................เราได้งานหนังฮ่องบทตัวละครสมทบ ลูกชายตัวโกง ความรู้สึกนั้นแบบว่าโคตรอยากจะกระโดดลงคลองประปาแต่ก็กลัวว่าโดดไปแล้วยิ้มเปลี่ยนบทกุวอีกก็จะกลายเป็นเปียกฟรีไป ปรากฎว่าได้เล่นจริงๆ ไปฟิตติ้งไปซ้อมบทจนกระทั่งได้เข้าฉาก เราตั้งใจเล่นมากเพราะมันคือครั้งแรกที่เราได้แสดงศักยภาพอย่างเตมที่ ผกก.ชมเราเพราะบ่อยครั้งที่เราเล่นเทคเดียวผ่าน บอกเลยว่าแสดงหนังเรื่องนี้มันสุดติ่ง ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดประสบการณ์ครั้งแรกของเราในหลายๆด้าน ไปตปท.ครั้งแรกโดยเดินทางคนเดวภาษาก็งูๆปลาๆแต่ก็รอดมาได้ ได้เคียงไหล่กับนักแสดงแนวหน้าของเมืองไทยและฮ่องกงมี่ทั้ง เอ็ดดี้เผิง พี่แบงค์เปาวลิต พี่พิงลำพระเพลิงและอีกคนที่นับถือมากๆคือพี่ปู วิทยา ปานศรีงาม ทุกอย่างตอนนั้นมันช่างสว่างไสวไปหมด เราปลื้มปิติคิดในใจว่านี้แหละมันจะดีขึ้นแล้วแต่..........หลังจากปิดกล้องก็ไม่มีงานไหนรับเราอีกเลย เราเอาโปรไฟล์ไปเสนอว่า "ผมเคยแสดงหนังฮ่องกงนะ" เขาก็จะทำหน้าแบบแล้วไงอ่ะ ไม่หล่ออ่ะ พูดแบบนี้เลยนะหน้านี่ชาไปยันตาตุ่ม ค่าตัวได้มาสองปีกว่าก้อร่อยหรอจนหมด เพราะเราส่งตัวเราจนเรียนจบป.ตรี แฟนคลับคนจีนก็มีเพราะมีคนแนะนำให้เราเล่น weibo แต่พอนานๆเราไม่มีผลงานต่อพวกเขาก้อค่อยๆหายไป ขนาดหนังฉายที่ไทยก็เหมือนจะมีAgencyสนใจนะสุดท้ายก็หายต๋อม ชีวิตเราเฟ้งฟ้างอีกครั้ง นักแสดงในหนังเรื่องนั้นส่วนใหญ่ได้ไปต่อหมด ผู้หวังดีทั้งหลายก็ประดังเข้ามาเชียร์ให้เราอย่ากับเมียที่ชื่อว่าการแสดงซะ ไปแต่งกับเมียที่ชื่อข้าราชการ/งานประจำดีกว่า อย่าไปฝันสูงเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น จิตวิญาณและศรัทธามาตลอดว่าเรามันสายเลือดนกอินทรีย์แต่สภาพสังคมก็พยายามจะกดเราให้เป็นนกที่หากินแค่บนต้นไม้ที่ชื่อว่า"ข้าราชการ/งานประจำ"พอละ มีบำนาญสวัสดิซึ่งเราโคตรจะเบื่อเหตุผลนี้เลย มิน่าระบบ ขรก ไทยบางที่ยิ้มถึงห่วยแตกเพราะคนที่เข้าไปส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าไปเพื่อจะใช้ศักยภาพไปพัฒนาประเทศแต่เข้าไปเพราะอยากนั่งกินนอนกิน ทำงานง่อยๆแต่ก็ไม่โดนให้ออก (ย้ำนะว่าส่วนใหญ่) เราก็โต้ตอบไปหลายครั้งมากว่า "ไม่เอาโว้ยกุวต้องการพื้นที่แสดงศักยภาพกุวต้องการเป็นดั่งดวงดาวคอยนำทางคนที่สิ้นหวัง เมื่อกุวเป็น superstar ผู้คนจะจับต้องได้ เหล่าผู้ที่ต้องร่ำให้ในทุกๆวันจะมีความหวังในทุกๆครั้งที่แหงนมองท้องฟ้าแล้วเห็นดวงดาวอย่างกุว" แต่สุดท้ายแล้วเสียงของเราก็ไปไม่ถึงหูใครๆอยู่ดี แม้แต่พระเจ้าที่เรากราบไหว้ (พุทธ ฮินดู เต๋า)ก็ยังแทบจะไม่แลมาเลย ไม่รุ้ท่านเหล่านั้นจะเป็นแบบที่ PK เคยกล่าวไว้ในช่วงท้ายๆเรื่องหรือเปล่านะว่า "พระเจ้าช่วยคนรวยปล่อยคนจนไปก่อน" ซึ่งผมก็เริ่มคิดอย่างนั้นจริงๆอ่ะ แต่ละคำถามที่เกิดขึ้นในใจไม่มีใครให้คำตอบหรือแม้กระทั่งลางสังเห่าเลย (คนส่วนใหญ่ชอบบอกว่าอยู่ที่ดวงแล้วจังหวะ เอ้า แล้วเมื่อเมื่อไหร่จะถึงทีกุวหละ งี้คนรวยก้อจัดคอมโบเซ็ทให้หมอดูดังมาสร้างดวงให้ตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แบบงี้อ่อ)

สุดท้ายนี้ผมอยากจะกล่าวว่าตอนนี้ผมยังไม่ยอมแพ้หรอก ถ้าเปนการจีบสาวก็ต้องบอกว่า "นี่มันไอ้ขี้ตื้อจริงๆ" ผมเคยแว้บไปสอบ ขรก นะ แต่แห้ว สอบตำรวจตกสายตา (ตาผมสั้น) ไปรับงานที่นิติฯบุคคลหมู่บ้านก็โดนเอาเปรียบโดยเฉพาะเพื่อนสนิท ทำได้ 7 เดือน ก็ถูกบริษัทที่มารับบริหารบีบให้ออก ผมเลยตัดสินใจจะมาสู้กับงานแสดงอีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเข้าวังวนเดิมคือ"โหมดแช่แข็ง" ชีวิตไม่ได้ดิ่งสู่จุดต่ำสุดลงก้นเหวแต่ก็ไม่ขึ้นสู่จุดสูงสุดคือเหนือเมฆ ชีวิตผมเหมือนถูกสตาฟไว้ทั้งที่ผมขัดขืนดิ้นรนมาตลอด เพิ่มเติมคือผมอยากเป็น Rapper ด้วย เพราะคิดว่าเพลง hiphop old school จะสามารถเยียวยาจิตใจให้ความหวังผู้คนที่กำลังมีทุกข์ได้เหมือนกัน(เหมือนกับเพลงเพื่อชีวิต) ซึ่งวังวนแบบนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน อายุก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือผมต้องยอมรับความจริงด้วยการยอมแพ้อย่างนั้นหรือ ความสำเร็จมันไม่มีจริงหรือมันมีแค่ผมเท่านั้นที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ หรือมันไม่รู้ว่ามีคนอย่างผมบนโลก หรือมันกลัวเมื่อผมยิ่งใหญ่แล้วจะไปเปลี่ยนขนบเปลี่ยนระบบเดินที่มันได้หยั่งรากไว้แล้ว และที่สำคัญหากคุณๆๆๆทั้งหลายได้มีความมานะอ่านเรื่องราวของผมจนถึงบรรทัดนี้ได้นั้นมันพิสูจน์แล้วว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะเหมาะสมเพียงพอที่จะทำให้คุณล้มเลิกความฝันของคุณ คุณอาจจะมีชีวิตที่บัดซบมากกว่าผมแต่นั้นคือข้อดี มันคือแรงผลักดันเหมือนสายคันธนูเมื่อมันโก้งสุดๆลูกธนูก็ก้อจะพุ่งไปได้ไกลสุด ผมพูดจริงครับชีวิตที่ถูกกระชากไปซ้ายทีขวาทีจนตัวเราแทบจะขาดจากกัน มันดีกว่าชีวิตที่ถูกแช่แข็งไว้อย่างถึงที่สุด ขอพระเป็นเจ้าอวยพรทุกท่านครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่