สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน
ทริปครั้งนี้ เกิดจากความบ้าฟุตบอลของผมที่มีอยู่แบบเต็มหัวใจ และรักทีมๆ นี้มาก นั่นคือ "ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม" ทีมที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย
การเดินทางครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจเดินทางแบบไม่อาศัยเครื่องบิน ไปที่มาเลเซีย เพื่อไปชมเกมที่ "ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม" เปิดบ้านพบกับ "กยองนัม เอฟซี" ในศึกฟุตบอล AFC Champions League 2019 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม G
และนัดนี้ถือเป็นนัดแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่จะลงเล่นศึก ACL ในบ้านตัวเอง
ระยะทางจากรุงเทพ สู่ ยะโฮร์บาห์รู นั้น เกือบๆ 2,000 กม. ถือว่าไกลไม่ใช่เล่น แต่ระยะทาง ไม่สามารถหยุดผมได้ เพราะใจมันไปรอที่นั่นแล้ว
เอาละ เริ่มเดินทางกันดีกว่าครับ

วันที่ 1 การเดินทางอันยาวนานได้เริ่มขึ้น
เรามาตั้งต้นกันที่สถานีรถไฟกรุงเทพ ซึ่งผมได้จองตั๋วรถไฟขบวนทักษิณารัถย์ ขบวนที่ 31 กรุงเทพ-ชท.หาดใหญ่ เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ชั้น 2 เตียงบน ราคา 1,005 บาท ถือว่าสบายใช้ได้
นั่งไปได้สักพัก ก็ขอมาลองอาหารชุดที่ตู้เสบียงสักหน่อย (140 บาท แพงไปนิดนะ)

รถไฟออกเวลา 14.45 น. ไปถึงชุมทางหาดใหญ่ 06.30 น. ใช้เวลาเกือบ 16 ชม.
แต่มันยังไม่ถึงจุดหมาย เราต้องไปต่อ
วันที่ 2 วันที่จะต้องเข้ามาเลเซีย
หลังจากที่เดินทางมาถึงสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ สิ่งแรกเลยคือต้องไปที่บริษัททัวร์ เพราะก่อนหน้านี้ผมได้จองตั๋วรถบัสหาดใหญ่-ยะโฮร์บาห์รู เอาไว้แล้ว และรถมีเพียงเที่ยวเดียวคือ 12.00 น. เพราะฉะนั้นมีเวลาเพียง 5.30 ชม. เท่านั้นที่จะเตรียมตัว
พอไปถึงบริษัททัวร์ อ้าว ยังไม่เปิด
ทำไงละ ไปกินข้าวก่อนละกัน หิวละ
แถวๆ บริษัททัวร์มีร้านข้าวหมูแดง ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ละ แต่ผมเป็นคนที่ชอบกินหมูกรอบ เลยสั่งข้าวหมูกรอบ กับกาแฟมากินตอนเช้า 65 บาท ถือว่ากำลังดีครับ รสชาติอร่อยมากโดยเฉพาะน้ำราด และหมูที่กรอบกำลังดี

พอกินข้าวเสร็จ บริษัททัวร์เปิดพอดี ผมเลยเข้าไปเพื่อที่จะจ่ายเงินให้เรียบร้อย และออกใบเสร็จเพื่อยืนยันที่นั่ง (ค่ารถ 900 บาท)
แต่เวลาก็ยังเหลือเยอะ ไม่รู้จะไปไหนดี ก็เลยไปเดินเล่นและแลกเงินแถวๆห้างลีการ์เด้นส์ละกัน (แต่เช้าไป หลายร้านยังไม่เปิด)
การเดินทางครั้งนี้ ผมแลกเงินไปทั้งหมด 4000 บาท ได้มา 518 ริงกิต (ร้านให้เรต 7.72)
10.30 น. ใกล้เวลารถจะออกแล้ว พนักงานบริษัททัวร์เรียกให้ผู้โดยสารเอาพาสปอร์ตมาเพื่อที่จะพิมพ์ตั๋ว และออกตั๋วให้เราใช้ขึ้นรถ
11.30 น. มีรถตู้มารับเราไปส่งที่รถทัวร์ที่จอดรออยู่ ซึ่งรถถทัวร์มี 2 คัน คันนึงไปยะโฮร์บาห์รู อีกคันไปโกตาติงกิ เมืองที่อยู่ทางเหนือ ซึ่งต้องไปคนละเส้นทาง (ถ้าจำไม่ผิดคันที่ไปโกตาติงกิต้องไปทางเซอกามัต) พอไปถึงรถทัวร์ก็นำกระเป๋าเดินทางที่ผมนำติดตัวไป 1 ใบ ใส่ใต้ท้องรถ และขึ้นไปนั่งตามที่ที่ซื้อไว้ (รถบัสของมาเลเซีย จะเป็นที่นั่งแบบ 1:2 คือฝั่งซ้ายมี 1 ที่นั่ง ฝั่งขวา 2 ที่นั่ง สำหรับคนที่มาเป็นคู่ ส่วนใหญ่คนที่มาคนเดียวจะนั่งที่นั่งเดี่ยว ถ้าที่นั่งเดี่ยวไม่เต็มซะก่อน)
ส่วนความสะดวกสะบาย มีเต็มที่ ตั้งแต่ปลั๊กไฟบนรถ ทั้งแบบ USB และปลั๊กที่เต้ารับเป็นแบบ Universal จนไปถึง Wifi บนรถ (แต่ Wifi บนรถ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเข้าไปที่มาเลเซียแล้วเท่านั้น)
12.00 น. รถเริ่มออกเดินทาง ซึ่งผมได้ถามกับพนักงานบรถว่าจากหาดใหญ่ไปถึงยะโฮร์บาห์รูกี่โมง
"About 2 am"
ห๊าาาาาาาา
เส้นทางยาวนานและแสนไกลมาถึงแล้ว
ประมาณชั่วโมงเศษๆ หลังจากเอนเบาะหลับไป ก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา เข้าพิธี ตม. ฝั่งไทย จากนั้นก็นั่งรถบัสต่อไปยังด่าน Bukit Kayu Hitam ด่านฝั่งมาเลเซีย ไม่มีปัญหาใดๆ
แต่ไฮไลท์อยู่ที่ด่านสุดท้ายก่อนจะหลุดจาก ตม. จะมีเจ้าหน้าที่ชายแดนขึ้นมาเช็คพาสปอร์ตคนที่อยู่บนรถบัส และบนรถมีคนไทยอยู่หลายคน(รวมถึงผม) ซึ่งคนไทยบนรถทุกคนโดนเจ้าหน้าที่เรียกลงไปที่ห้องหมด ยกเว้นผมคนเดียวที่ไม่โดน
หลังจากที่ผ่านด่าน ตม. ก็พักกินข้าวที่ร้านข้างทาง ซึ่งไกด์บนรถบอกว่าให้ทานเยอะๆ เพราะจากนี้จะไม่หยุดพักเลยจนกว่าจะถึงหยงเพง (เมืองคนจีนในยะโฮร์) ผมก็เลยจัดการบะหมี่กุ้งไป 1 ชาม 6RM และซื้อขนมขึ้นไปกินบนรถเผื่อหิว
ลืมไป เข้ามาเลเซียแล้ว ต่อ Wifi บนรถเลยละกัน ซึ่งก็เชื่อมต่อได้ปกติ แต่..เน็ตอย่างกาก
ใช้ซิมเหมือนเดิมดีกว่า แต่ประหยัดข้อมูลหน่อยก็แล้วกันเนาะ

หลังจากนั้น รถเข้าเส้นทางไฮเวย์ ตลอด 2 ข้างทางมีแต่ป่า เขา หรือไม่ก็ทุ่งนา และสัญญาณโทรศัพท์ก็ดีเป็นช่วงๆ แต่พอเข้าเขตป่า ก็ขึ้นตัว E ทันที

จนถึงตอนเย็นเราก็เริ่มเห็นตึก บ้านคน และจากประสบการณ์ที่เคยมามาเลเซียแล้ว ทำให้ผมรู้ว่า ตอนนี้เราถึงอีโปห์แล้ว!!! (สัญญานโทรศัพท์มาอีกครั้ง)
แต่จะดีใจไปทำไม มันยังไม่ถึงครึ่งทางเลย
และตามที่บอกนั่นแหละครับ จะดีใจไปทำไม เพราะพอหลุดจากอีโปห์ปุ๊ป ผมก็เจอกับบรรยากาศที่เจอทุกวันนั่นคือ "รถติด!!!!!"
สาเหตุที่รถติด ก็เหมือนกับี่ไทยแหละครับ วันอาทิตย์คนกลับจ่างต่างจังหวัด เข้ามาทำงานต่อในวันธรรมดาที่เมืองหลวง
พอเช็คใน Google Maps ก็ต้องช็อกเพิ่ม เพราะมันติดยาวหลายกิโลเมตร ถนนขึ้นเส้นสีแดง บางส่วนเป็นสีแดงเข้ม คือรถติดหนักมาก และส่วนที่ติดหนักที่สุดคือซิมปัง ปูไล เมืองสุดท้ายก่อนจะออกจากรัฐเปรัค เข้ารัฐสลังงอร์
แต่ส่วนที่ผมอยู่ตอนรถติดนั้น อยู่ในซอกเขาแห่งหนึ่ง และแน่นอนครับ สัญญานโทรศัพท์ที่มาเมื่อตะกี้นี้หายไป และคราวนี้ไม่ได้ขึ้น E แต่ไม่มีอะไรเลย ซิมดับขึ้นโทรฉุกเฉินไปโดยปริยาย งานนี้ก็คงไม่ต้องพูดถึง Wifi เป็นแบบเดียวกันแน่นอน
พอหลุดจากตรงนั้นมา เช้ามาในสลังงงอร์เริ่มเห็นความเจริญมากขึ้นแล้ว ซึ่งอีกนิดเดียว นั้นคือกัวลาลัมเปอร์จะถึงครึ่งทางแล้วววววว
(ไม่ค่อยมีรูประหว่างให้ดูนะครับ เพราะมืดมาก)
ประมาณ 21.30 น. ก็ลงมาหยุดที่พักที่จุดจอดพักรถ ซึ่งไม่ได้ใหญ่มาก เลยจัดการเอาผ้าพันคอทีมรัก ถ่ายกับบรรยากาศระหว่างทาง บอกเพื่อนที่รออยู่ที่ยะโฮร์ว่า "ครึ่งทางแล้วนะ แล้วเจอกัน"

แสงสว่างมาเริ่มเยอะขึ้นแล้ว เลยได้โอกาสถ่ายบรรยากาศกัวลาลัมเปอร์บนไฮเวย์มาให้ได้ดู

มัวนิดๆ ไม่ว่ากันเน้อ
กว่าจะเข้ากัวลาลัมเปอร์ก็ล่อไปเกือบเที่ยงคืน งานนี้ก็เลยเปิด Era FM คลื่นเพลงอันดับ 1 ของมาเลเซียฟังไปด้วยเพื่อเคล้าอารมณ์ ซึ่งปกติผมจะฟังคลื่นนี้เป็นประจำที่เมืองไทยผ่านระบบออนไลน์ เพราะผมเป็นคนที่ชอบฟังเพลงมาเลเซียอยู่แล้ว
ใครอยากฟังก็ลองคลิกเข้าไปที่นี่ครับ
https://dengar.era.je/
หลังจากที่ผ่านกัวลาลัมเปอร์ไปแล้ว ก็เข้าสู่รัฐเนเกรี เซมบิลัน และเข้าสู่รัฐมะละกาประมาณเกือบๆ ตีหนึ่งครึ่ง
พอเข้ามาถึงมะละกา เพื่อนร่วมทางบนรถบัสเราก็เริ่มลงจากรถไปทีละคนๆ ซึ่งบัสจะจอดตามที่ที่ผู้โดยสารต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ด่านเก็บเงินค่าทางด่วน" หรือที่มาคนมาเลเซียเรียกว่า "โต้"
สักพักรถก็เริ่มเข้าไปสู่รัฐยะโฮร์ แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะยะโฮร์ บาห์รู จุดหมายปลายทาง ยังอีกไกล เพราะรัฐนี้เป็นรัฐที่ใหญ่พอสมควร พอเข้าเขตรัฐมาแล้วยังต้องใช้อีกเวลาอีกเกือบๆ 2 ชม. เพื่อไปถึงเมืองยะโฮร์ บาห์รู
พอเข้ายะโฮร์มา รถก็พาเราไปจอดที่ยงเพง เพื่อลงไปกินข้าวและซื้อของ แต่ผมไม่ได้ลงจากรถนะครับ ง่วง จะนอน
รถจอดอยู่เกือบ ชม. ได้ หลังจากนั้นก็เดินทางกันต่อไป คราวนี้ทั้ง 2 ข้างทางมีแต่ป่าเหมือนเดิม มืดๆ ไม่ค่อยมีรถวิ่งเพราะดึกมาก
หลับไปได้สักพัก คนบนรถก็เริ่มลงจากรถกันจนหมด จนเหลือผมอยู่คนเดียวที่ตัดสินใจลงที่ Larkin Sentral (คนอื่นลงในเมืองหมด)
ประมาณ 03.30 น. รถก็ไปถึงสถานีรถบัส Larkin Sentral จบการเดินทางอันยาวนานเกือบ 40 ชม.
สิ่งแรกที่ทำหลังจากเดินทางไปถึง คือไปที่แมคโดนัลด์ในสถานีรถบัส ซื้อแมคกินก่อนละกัน โดนไป 8RM

แต่วันที่ผมเดินทางไปถึง คือวันก่อนแข่ง 1 วัน แต่ผมก็จัดการจองโรงแรมไว้เสร็จสิ้นแล้ว 2 คืน แต่โรงแรมเปิดให้เช็คอินตอนเที่ยง (เวลาที่เหลือจะทำอะไรละ ห้างร้านค้าต่างๆก็ยังไม่เปิด)
นั่งคิดอยู่สักพัก ประมาณ ตี 5 กว่าๆ หลังจากจัดการเก็บกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ก็เลยกินข้าวเพิ่มที่ร้านข้างๆ โรงแรม (กินไปเถอะเดี๋ยวหิวอีก) เลยสั่ง Nasi Lemak บวกไก่กับไข่ดาว ของโปรด บวกกับชานมมากินซะเลย 8RM เช่นกัน

จากนั้นก็ขึ้นรถบัสสาธารณะที่ขับผ่านมาหน้าโรงแรม ขึ้นรถไปที่ JB Sentral สถานีรถไฟที่อยู่ก่อนจะข้ามชายแดนสิงคโปร และในช่วงเวลาเช้าสิ่งแรกที่เห็นคือคนที่ขับรถและขี่มอไซค์อยู่บนสะพานเต็มไปหมด ซึ่งคนมาเลเซียเหล่านั้นเดินทางไปทำงานสิงคโปรเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่วันนั้นเป็นจันทร์ วันแรกของสัปดาห์ แน่นอนครับ รถติดโคตรๆ!!!
แต่ผมยังไม่มีแพลนที่ข้ามไปตอนนั้น เลยลงที่จุดจอดรถบัส และก็เดินชมบรรยากาศบนตัวอาคารนิดหน่อย และคิดต่อว่า จะไปไหนดี
และภาพนี้ที่จุดจอดรถบัส ทำให้ผมยิ้มได้ขึ้นมาทันที

ถึงแม้บิลบอร์ดนี้จะเก่าแล้ว เพราะภาพตั้งแต่ปี 2016 และนักเตะที่อยู่ในภาพ ก็เหลือแค่เบอร์ 14 (ฮาริส ฮารูน) กับเบอร์ 19 (กอนซาโล่ คาเบร์ร่า) ที่ยังอยู่กับทีม ที่เหลืออีก 2 คน ย้ายไปแล้ว
และสิ่งที่แวบมาในหัวคือ "สนามซ้อมของยะโฮร์" ที่อยู่ตรงจตุรัสของเมือง เลยตัดสินใจว่าไปที่นั่นดีกว่า
เดินหาบัสไปสักพัก ด้วยความที่ผมพอจะพูดภาษามาเลเซียได้อยู่บ้าง เลยถามคนขับรถเมล์ว่า ไป Dataran(จตุรัส) มั้ย เขาบอกไป ค่าโดยสาร 1RM เป็นรถแอร์ แต่สภาพในรถเก่ามากและดูทึบๆ
นั่งมาสักพัก คนขับพามาจอดที่สะพานลอย พร้อมบอกว่า "ข้ามสะพานลอยไปนะ แล้วเดินไปอีกหน่อย จตุรัสอยู่ตรงข้าม" เราก็ขอบคุณเขาไป คนที่นี่เป็นกันเองมากครับ

แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปเกือบ 7โมงเช้าแล้ว แต่ฟ้ายังมืดอยู่ เพราะลองจิจูดของมาเลเซียอยู่เสมอกับไทย เพราะฉะนั้นพระอาทิตย์จะขึ้นพร้อมกัน แค่อยู่คนละเขตเวลาเท่านั้น
และสะพานลอยนี้ อยู่ริมชายทะเลพอดี และเมื่อขึ้นไปบนสะพานลอย ก็จะสามารถมองเห็นเกาะสิงคโปรที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งได้แบบชัดๆ แต่ตอนนั้นยังมืดอยู่ เลยถ่ายมาได้แค่นี้

ลงสะพานลอยมาและเดินมาสักพัก ก็มาถึงจตุรัสของยะโฮร์ Dataran Bandaraya บรรยากาศสวยมากๆ ครับ

เดินมาสักพักก็จะเห็นสนามซ้อมของยะโฮร์ ซึ่งในนั้นเป็นคลับเฮาส์ของทีมด้วย แต่ยังปิดอยู่ก็เลยไม่ได้เข้าไป

หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับไปที่โรงแรม แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน แต่โชคดีที่ห้างข้างๆ โรงแรมอย่าง Plaza Pelangi เปิดแล้ว เลยเข้าไปนั่งในห้าง ตากแอร์เย็นๆ รอไปจนถึงเวลาเช็คอิน พอเข้าห้องไปก็อาบน้ำ พักผ่อนนอนสักงีบ และจะออกไปเดินห้าง AEON Tebrau ที่ออกไปแถวๆ ชานเมือง แต่ฝนตก เลยได้แต่นอนอยู่ในห้อง
พอฝนหยุด เอาละ ไปกันเถอะ แต่ตอนนั้นเป็นช่วง Rush Hour คนขึ้นรถเมล์เยอะเป็นพิเศษ ก็เลยต้องเป็นทาร์ซาน ห้อยโหนกันไป

และบนรถผมก็ได้เจอสาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ที่ทำงานอยู่คลีนิกศัลยกรรม หน้าตาโคตรสวยเลย แต่ไม่กล้าถ่ายรูป (ที่นี่ถ่ายรูปคนอื่นๆ มั่วซั่วไม่ได้นะครับ เป็นมารยาท)
คนบ้าฟุตบอล นั่งรถจากกรุงเทพสู่ยะโฮร์บาห์รู เพื่อ ACL นัดแรกในประวัติศาสตร์ ณ บ้านของ JDT
ทริปครั้งนี้ เกิดจากความบ้าฟุตบอลของผมที่มีอยู่แบบเต็มหัวใจ และรักทีมๆ นี้มาก นั่นคือ "ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม" ทีมที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย
การเดินทางครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจเดินทางแบบไม่อาศัยเครื่องบิน ไปที่มาเลเซีย เพื่อไปชมเกมที่ "ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม" เปิดบ้านพบกับ "กยองนัม เอฟซี" ในศึกฟุตบอล AFC Champions League 2019 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม G
และนัดนี้ถือเป็นนัดแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่จะลงเล่นศึก ACL ในบ้านตัวเอง
ระยะทางจากรุงเทพ สู่ ยะโฮร์บาห์รู นั้น เกือบๆ 2,000 กม. ถือว่าไกลไม่ใช่เล่น แต่ระยะทาง ไม่สามารถหยุดผมได้ เพราะใจมันไปรอที่นั่นแล้ว
เอาละ เริ่มเดินทางกันดีกว่าครับ
วันที่ 1 การเดินทางอันยาวนานได้เริ่มขึ้น
เรามาตั้งต้นกันที่สถานีรถไฟกรุงเทพ ซึ่งผมได้จองตั๋วรถไฟขบวนทักษิณารัถย์ ขบวนที่ 31 กรุงเทพ-ชท.หาดใหญ่ เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ชั้น 2 เตียงบน ราคา 1,005 บาท ถือว่าสบายใช้ได้
นั่งไปได้สักพัก ก็ขอมาลองอาหารชุดที่ตู้เสบียงสักหน่อย (140 บาท แพงไปนิดนะ)
รถไฟออกเวลา 14.45 น. ไปถึงชุมทางหาดใหญ่ 06.30 น. ใช้เวลาเกือบ 16 ชม.
แต่มันยังไม่ถึงจุดหมาย เราต้องไปต่อ
วันที่ 2 วันที่จะต้องเข้ามาเลเซีย
หลังจากที่เดินทางมาถึงสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ สิ่งแรกเลยคือต้องไปที่บริษัททัวร์ เพราะก่อนหน้านี้ผมได้จองตั๋วรถบัสหาดใหญ่-ยะโฮร์บาห์รู เอาไว้แล้ว และรถมีเพียงเที่ยวเดียวคือ 12.00 น. เพราะฉะนั้นมีเวลาเพียง 5.30 ชม. เท่านั้นที่จะเตรียมตัว
พอไปถึงบริษัททัวร์ อ้าว ยังไม่เปิด
ทำไงละ ไปกินข้าวก่อนละกัน หิวละ
แถวๆ บริษัททัวร์มีร้านข้าวหมูแดง ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ละ แต่ผมเป็นคนที่ชอบกินหมูกรอบ เลยสั่งข้าวหมูกรอบ กับกาแฟมากินตอนเช้า 65 บาท ถือว่ากำลังดีครับ รสชาติอร่อยมากโดยเฉพาะน้ำราด และหมูที่กรอบกำลังดี
แต่เวลาก็ยังเหลือเยอะ ไม่รู้จะไปไหนดี ก็เลยไปเดินเล่นและแลกเงินแถวๆห้างลีการ์เด้นส์ละกัน (แต่เช้าไป หลายร้านยังไม่เปิด)
การเดินทางครั้งนี้ ผมแลกเงินไปทั้งหมด 4000 บาท ได้มา 518 ริงกิต (ร้านให้เรต 7.72)
10.30 น. ใกล้เวลารถจะออกแล้ว พนักงานบริษัททัวร์เรียกให้ผู้โดยสารเอาพาสปอร์ตมาเพื่อที่จะพิมพ์ตั๋ว และออกตั๋วให้เราใช้ขึ้นรถ
11.30 น. มีรถตู้มารับเราไปส่งที่รถทัวร์ที่จอดรออยู่ ซึ่งรถถทัวร์มี 2 คัน คันนึงไปยะโฮร์บาห์รู อีกคันไปโกตาติงกิ เมืองที่อยู่ทางเหนือ ซึ่งต้องไปคนละเส้นทาง (ถ้าจำไม่ผิดคันที่ไปโกตาติงกิต้องไปทางเซอกามัต) พอไปถึงรถทัวร์ก็นำกระเป๋าเดินทางที่ผมนำติดตัวไป 1 ใบ ใส่ใต้ท้องรถ และขึ้นไปนั่งตามที่ที่ซื้อไว้ (รถบัสของมาเลเซีย จะเป็นที่นั่งแบบ 1:2 คือฝั่งซ้ายมี 1 ที่นั่ง ฝั่งขวา 2 ที่นั่ง สำหรับคนที่มาเป็นคู่ ส่วนใหญ่คนที่มาคนเดียวจะนั่งที่นั่งเดี่ยว ถ้าที่นั่งเดี่ยวไม่เต็มซะก่อน)
ส่วนความสะดวกสะบาย มีเต็มที่ ตั้งแต่ปลั๊กไฟบนรถ ทั้งแบบ USB และปลั๊กที่เต้ารับเป็นแบบ Universal จนไปถึง Wifi บนรถ (แต่ Wifi บนรถ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเข้าไปที่มาเลเซียแล้วเท่านั้น)
12.00 น. รถเริ่มออกเดินทาง ซึ่งผมได้ถามกับพนักงานบรถว่าจากหาดใหญ่ไปถึงยะโฮร์บาห์รูกี่โมง
"About 2 am"
ห๊าาาาาาาา
เส้นทางยาวนานและแสนไกลมาถึงแล้ว
ประมาณชั่วโมงเศษๆ หลังจากเอนเบาะหลับไป ก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา เข้าพิธี ตม. ฝั่งไทย จากนั้นก็นั่งรถบัสต่อไปยังด่าน Bukit Kayu Hitam ด่านฝั่งมาเลเซีย ไม่มีปัญหาใดๆ
แต่ไฮไลท์อยู่ที่ด่านสุดท้ายก่อนจะหลุดจาก ตม. จะมีเจ้าหน้าที่ชายแดนขึ้นมาเช็คพาสปอร์ตคนที่อยู่บนรถบัส และบนรถมีคนไทยอยู่หลายคน(รวมถึงผม) ซึ่งคนไทยบนรถทุกคนโดนเจ้าหน้าที่เรียกลงไปที่ห้องหมด ยกเว้นผมคนเดียวที่ไม่โดน
หลังจากที่ผ่านด่าน ตม. ก็พักกินข้าวที่ร้านข้างทาง ซึ่งไกด์บนรถบอกว่าให้ทานเยอะๆ เพราะจากนี้จะไม่หยุดพักเลยจนกว่าจะถึงหยงเพง (เมืองคนจีนในยะโฮร์) ผมก็เลยจัดการบะหมี่กุ้งไป 1 ชาม 6RM และซื้อขนมขึ้นไปกินบนรถเผื่อหิว
ลืมไป เข้ามาเลเซียแล้ว ต่อ Wifi บนรถเลยละกัน ซึ่งก็เชื่อมต่อได้ปกติ แต่..เน็ตอย่างกาก
ใช้ซิมเหมือนเดิมดีกว่า แต่ประหยัดข้อมูลหน่อยก็แล้วกันเนาะ
จนถึงตอนเย็นเราก็เริ่มเห็นตึก บ้านคน และจากประสบการณ์ที่เคยมามาเลเซียแล้ว ทำให้ผมรู้ว่า ตอนนี้เราถึงอีโปห์แล้ว!!! (สัญญานโทรศัพท์มาอีกครั้ง)
แต่จะดีใจไปทำไม มันยังไม่ถึงครึ่งทางเลย
และตามที่บอกนั่นแหละครับ จะดีใจไปทำไม เพราะพอหลุดจากอีโปห์ปุ๊ป ผมก็เจอกับบรรยากาศที่เจอทุกวันนั่นคือ "รถติด!!!!!"
สาเหตุที่รถติด ก็เหมือนกับี่ไทยแหละครับ วันอาทิตย์คนกลับจ่างต่างจังหวัด เข้ามาทำงานต่อในวันธรรมดาที่เมืองหลวง
พอเช็คใน Google Maps ก็ต้องช็อกเพิ่ม เพราะมันติดยาวหลายกิโลเมตร ถนนขึ้นเส้นสีแดง บางส่วนเป็นสีแดงเข้ม คือรถติดหนักมาก และส่วนที่ติดหนักที่สุดคือซิมปัง ปูไล เมืองสุดท้ายก่อนจะออกจากรัฐเปรัค เข้ารัฐสลังงอร์
แต่ส่วนที่ผมอยู่ตอนรถติดนั้น อยู่ในซอกเขาแห่งหนึ่ง และแน่นอนครับ สัญญานโทรศัพท์ที่มาเมื่อตะกี้นี้หายไป และคราวนี้ไม่ได้ขึ้น E แต่ไม่มีอะไรเลย ซิมดับขึ้นโทรฉุกเฉินไปโดยปริยาย งานนี้ก็คงไม่ต้องพูดถึง Wifi เป็นแบบเดียวกันแน่นอน
พอหลุดจากตรงนั้นมา เช้ามาในสลังงงอร์เริ่มเห็นความเจริญมากขึ้นแล้ว ซึ่งอีกนิดเดียว นั้นคือกัวลาลัมเปอร์จะถึงครึ่งทางแล้วววววว
(ไม่ค่อยมีรูประหว่างให้ดูนะครับ เพราะมืดมาก)
ประมาณ 21.30 น. ก็ลงมาหยุดที่พักที่จุดจอดพักรถ ซึ่งไม่ได้ใหญ่มาก เลยจัดการเอาผ้าพันคอทีมรัก ถ่ายกับบรรยากาศระหว่างทาง บอกเพื่อนที่รออยู่ที่ยะโฮร์ว่า "ครึ่งทางแล้วนะ แล้วเจอกัน"
กว่าจะเข้ากัวลาลัมเปอร์ก็ล่อไปเกือบเที่ยงคืน งานนี้ก็เลยเปิด Era FM คลื่นเพลงอันดับ 1 ของมาเลเซียฟังไปด้วยเพื่อเคล้าอารมณ์ ซึ่งปกติผมจะฟังคลื่นนี้เป็นประจำที่เมืองไทยผ่านระบบออนไลน์ เพราะผมเป็นคนที่ชอบฟังเพลงมาเลเซียอยู่แล้ว
ใครอยากฟังก็ลองคลิกเข้าไปที่นี่ครับ https://dengar.era.je/
หลังจากที่ผ่านกัวลาลัมเปอร์ไปแล้ว ก็เข้าสู่รัฐเนเกรี เซมบิลัน และเข้าสู่รัฐมะละกาประมาณเกือบๆ ตีหนึ่งครึ่ง
พอเข้ามาถึงมะละกา เพื่อนร่วมทางบนรถบัสเราก็เริ่มลงจากรถไปทีละคนๆ ซึ่งบัสจะจอดตามที่ที่ผู้โดยสารต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ด่านเก็บเงินค่าทางด่วน" หรือที่มาคนมาเลเซียเรียกว่า "โต้"
สักพักรถก็เริ่มเข้าไปสู่รัฐยะโฮร์ แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะยะโฮร์ บาห์รู จุดหมายปลายทาง ยังอีกไกล เพราะรัฐนี้เป็นรัฐที่ใหญ่พอสมควร พอเข้าเขตรัฐมาแล้วยังต้องใช้อีกเวลาอีกเกือบๆ 2 ชม. เพื่อไปถึงเมืองยะโฮร์ บาห์รู
พอเข้ายะโฮร์มา รถก็พาเราไปจอดที่ยงเพง เพื่อลงไปกินข้าวและซื้อของ แต่ผมไม่ได้ลงจากรถนะครับ ง่วง จะนอน
รถจอดอยู่เกือบ ชม. ได้ หลังจากนั้นก็เดินทางกันต่อไป คราวนี้ทั้ง 2 ข้างทางมีแต่ป่าเหมือนเดิม มืดๆ ไม่ค่อยมีรถวิ่งเพราะดึกมาก
หลับไปได้สักพัก คนบนรถก็เริ่มลงจากรถกันจนหมด จนเหลือผมอยู่คนเดียวที่ตัดสินใจลงที่ Larkin Sentral (คนอื่นลงในเมืองหมด)
ประมาณ 03.30 น. รถก็ไปถึงสถานีรถบัส Larkin Sentral จบการเดินทางอันยาวนานเกือบ 40 ชม.
สิ่งแรกที่ทำหลังจากเดินทางไปถึง คือไปที่แมคโดนัลด์ในสถานีรถบัส ซื้อแมคกินก่อนละกัน โดนไป 8RM
แต่วันที่ผมเดินทางไปถึง คือวันก่อนแข่ง 1 วัน แต่ผมก็จัดการจองโรงแรมไว้เสร็จสิ้นแล้ว 2 คืน แต่โรงแรมเปิดให้เช็คอินตอนเที่ยง (เวลาที่เหลือจะทำอะไรละ ห้างร้านค้าต่างๆก็ยังไม่เปิด)
นั่งคิดอยู่สักพัก ประมาณ ตี 5 กว่าๆ หลังจากจัดการเก็บกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ก็เลยกินข้าวเพิ่มที่ร้านข้างๆ โรงแรม (กินไปเถอะเดี๋ยวหิวอีก) เลยสั่ง Nasi Lemak บวกไก่กับไข่ดาว ของโปรด บวกกับชานมมากินซะเลย 8RM เช่นกัน
จากนั้นก็ขึ้นรถบัสสาธารณะที่ขับผ่านมาหน้าโรงแรม ขึ้นรถไปที่ JB Sentral สถานีรถไฟที่อยู่ก่อนจะข้ามชายแดนสิงคโปร และในช่วงเวลาเช้าสิ่งแรกที่เห็นคือคนที่ขับรถและขี่มอไซค์อยู่บนสะพานเต็มไปหมด ซึ่งคนมาเลเซียเหล่านั้นเดินทางไปทำงานสิงคโปรเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่วันนั้นเป็นจันทร์ วันแรกของสัปดาห์ แน่นอนครับ รถติดโคตรๆ!!!
แต่ผมยังไม่มีแพลนที่ข้ามไปตอนนั้น เลยลงที่จุดจอดรถบัส และก็เดินชมบรรยากาศบนตัวอาคารนิดหน่อย และคิดต่อว่า จะไปไหนดี
และภาพนี้ที่จุดจอดรถบัส ทำให้ผมยิ้มได้ขึ้นมาทันที
ถึงแม้บิลบอร์ดนี้จะเก่าแล้ว เพราะภาพตั้งแต่ปี 2016 และนักเตะที่อยู่ในภาพ ก็เหลือแค่เบอร์ 14 (ฮาริส ฮารูน) กับเบอร์ 19 (กอนซาโล่ คาเบร์ร่า) ที่ยังอยู่กับทีม ที่เหลืออีก 2 คน ย้ายไปแล้ว
และสิ่งที่แวบมาในหัวคือ "สนามซ้อมของยะโฮร์" ที่อยู่ตรงจตุรัสของเมือง เลยตัดสินใจว่าไปที่นั่นดีกว่า
เดินหาบัสไปสักพัก ด้วยความที่ผมพอจะพูดภาษามาเลเซียได้อยู่บ้าง เลยถามคนขับรถเมล์ว่า ไป Dataran(จตุรัส) มั้ย เขาบอกไป ค่าโดยสาร 1RM เป็นรถแอร์ แต่สภาพในรถเก่ามากและดูทึบๆ
นั่งมาสักพัก คนขับพามาจอดที่สะพานลอย พร้อมบอกว่า "ข้ามสะพานลอยไปนะ แล้วเดินไปอีกหน่อย จตุรัสอยู่ตรงข้าม" เราก็ขอบคุณเขาไป คนที่นี่เป็นกันเองมากครับ
และสะพานลอยนี้ อยู่ริมชายทะเลพอดี และเมื่อขึ้นไปบนสะพานลอย ก็จะสามารถมองเห็นเกาะสิงคโปรที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งได้แบบชัดๆ แต่ตอนนั้นยังมืดอยู่ เลยถ่ายมาได้แค่นี้
ลงสะพานลอยมาและเดินมาสักพัก ก็มาถึงจตุรัสของยะโฮร์ Dataran Bandaraya บรรยากาศสวยมากๆ ครับ
พอฝนหยุด เอาละ ไปกันเถอะ แต่ตอนนั้นเป็นช่วง Rush Hour คนขึ้นรถเมล์เยอะเป็นพิเศษ ก็เลยต้องเป็นทาร์ซาน ห้อยโหนกันไป
และบนรถผมก็ได้เจอสาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ที่ทำงานอยู่คลีนิกศัลยกรรม หน้าตาโคตรสวยเลย แต่ไม่กล้าถ่ายรูป (ที่นี่ถ่ายรูปคนอื่นๆ มั่วซั่วไม่ได้นะครับ เป็นมารยาท)