6 ล้านกว่า คะแนน พรรคอนาคตใหม่ และธนาธร ถือเป็น ดาวรุ่งดวงใหม่ การเมืองไทย

'ธนาธร' บนเส้นทางการเมือง พิสูจน์ 'ดาวรุ่ง' หรือ 'ดาวดับ'?


วันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา  “พรรคอนาคตใหม่" ที่นำโดยไพร่หมื่นล้าน"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" นักธุรกิจระดับหมื่นล้านหลานชายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.ในสมัยรัฐบาลทักษิณ และ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" อดีตสมาชิกกลุ่มคณะนิติราษฎร์ ซึ่งมีสมาชิกจัดตั้งจำนวน 26 คน

      เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการ

      ท่ามกลางเสียงฮือฮา เพราะสมาชิกแต่ละคนล้วนมาจาก GEN Y ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งสิ้น

      โดยจุดยืนในการตั้งพรรคเพื่อสร้าง
การเมืองแบบใหม่ฟื้นความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ทำให้มีนโยบายที่ประชาชนมีโอกาสทางเศรษฐกิจเท่าเทียมกัน สามารถเข้าถึงทุนและทรัพยากร ทำลายระบบผูกขาด และพรรคยังยืนยันว่าจะไม่เติบโตด้วยเงินจากประเป๋าของตัวเอง แต่เติบโตด้วยการระดมทุนจากประชาชน เช่นเดียวกับโมเดลของพรรคเดโมแครต ซึ่งไม่มีนายทุนอยู่เหนือสมาชิกพรรค ทั้งนี้เจ้าตัวยังเดิมพันด้วยการประกาศลาออกหากอุดมการณ์ของพรรคเปลี่ยนไป

      ที่สำคัญพรรคนี้เลือกใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กในการโปรโมต เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มวัยทำงาน รวมทั้งนโยบายของพรรคที่เอาใจคนรุ่นใหม่ มีการแชร์ส่งต่อกันมากมาย ซึ่งเป็นการโปรโมตพรรคทางอ้อม

      ซึ่งจะไม่มีปัญหากับคำสั่ง "คสช." เรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมือง เหมือนที่ทุกพรรคกำลังเผชิญอยู่ ทำให้ดูจะได้เปรียบกว่าพรรคอื่นๆ เพราะในขณะที่พรรคอื่นยังไม่เริ่มกิจกรรมทางการเมือง โดยความได้เปรียบของพรรคถ้าเทียบกับพรรคที่จัดตั้งพร้อมกันแล้ว พรรคอนาคตใหม่มีฐานคะแนนเสียงมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่สนามการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้เดินด้วยกลีบกุหลาบ เนื่องจาก "ธนาธร" ยืนยันว่าจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาทิ มีการโพสต์เชิงสนับสนุนกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ได้มีการชุมนุมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในปีนี้ และต่อต้าน คสช. อีกทั้งประกาศชัดเจนว่าไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีคนนอก

      โดยเฉพาะการทำกิจกรรมทางการเมือง ทั้งการประชุมพรรค และการหาสมาชิกให้ครบ 500 คน การจัดตั้งสาขาพรรคทั่วประเทศ

      อีกด้านหนึ่งฝั่ง คสช.เองก็จับตามาโดยตลอด ซึ่งถ้าพรรคได้ยื่นขอทำกิจรรมพรรคการเมือง คสช.ก็จำใจต้องยอมให้อนุญาต เพราะว่าถ้าไม่อนุญาต ก็จะเกิดความกังขาได้ว่า ทำไมไม่ให้จัดกิจกรรมทั้งๆ ที่พรรคไม่ได้ทำอะไรผิด โดยตอนนี้ คสช.อาจจะปล่อยไปก่อน แต่ถ้าอนาคตรู้ว่าใครหรือพรรคไหนทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงที่จะไม่อยู่ในกฎกติกาที่ตั้งเอาไว้ คสช.ก็คงไม่เอาไว้เหมือนกัน และทำให้ คสช.มีข้ออ้างในการเป็นในรัฐบาลต่อไป ซึ่ง คสช.มีแต่ได้กับได้ 

      พอฝ่าด่านอรหันต์จาก คสช.ไปแล้ว ก็ยังต้องเผชิญกับกฎหมายที่เข้มงวดกว่าเดิม ทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันพรรคนายทุน และระบอบทักษิณโมเดลโดยเฉพาะ

      นอกจากนี้ยังต้องสู้กับกลุ่มการเมืองทั้งพรรคใหญ่และพรรคเล็ก โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีฐานเสียงที่เหนียวแน่นอยู่แล้ว โดยทั้ง 2 พรรคนี้ได้จับจองฐานเสียงเกือบหมดแล้ว ซึ่งต้องหารือกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะดึงฐานเสียงของฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะลำพังฐานเสียงคนรุ่นใหม่ในโซเชียลอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะสู้กับพรรคเก่าแก่ ทางพรรคเองก็ต้องรีบโปรโมตพรรคของตัวเองให้ทั่วถึงที่สุด เพราะหลังจากเดือนนี้ไป จะเป็นช่วงของพรรคใหญ่ ที่อาจจะกลบกระแสของพรรคธนาธร เหมือนที่หลายพรรคเคยเป็น

      ทั้งนี้ ก็ต้องรอกันดูว่า ทิศทางพรรคทางเลือกใหม่จะไปในทิศทางใด จะทำอะไรต่อไป จะอยู่รอดท่ามกลางพรรคใหญ่ๆ ได้หรือไม่
     

โดยเฉพาะประโยคที่ "ธนาธร" ได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า
       “ถ้าผมจะจัดตั้งพรรคการเมือง ก็จะไม่เป็นพรรคที่เป็นเฉพาะกิจ ซึ่งอะไรที่น้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยผมก็จะไม่ทำ”

      แต่กระนั้นหนทางยังอีกไกล เส้นทางการเมืองนอกจากหวือหวา แปลกใหม่ ถึงจะขายได้แล้ว ความเขี้ยว ความเจนสนามการเมือง ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ เพราะในอดีตที่ผ่านมาก็มีบทเรียนให้เห็น ดาวรุ่ง ดาวเด่น ดาวความหวังการเมืองไทย
      กลายเป็น "ดาวดับ" ก็มีมากมาย.


https://www.thaipost.net/main/detail/5305
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่