ผมเองนั้นมีบ้านอยู่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านของผมจะอยู่ติดกับดอยสุเทพ คือถ้าเลยบ้านของผมไปก็จะเป็นป่าเขตดอยสุเทพแล้ว มีต้นไม้ล้อมรอบ ทำให้บริเวณบ้านนั้นค่อนข้างจะเย็นสบาย ในหน้าหนาวก็จะหนาวเย็นมากกว่าในตัวเมือง ในหน้าร้อนก็จะไม่ร้อนอบอ้าวมากเหมือนในเขตตัวเมืองที่มีแต่พื้นถนนพื้นคอนกรีตเก็บความร้อน ทำให้ที่บ้านผมไม่จำเป็นต้องติดเครื่องปรับอากาศเลยครับ หน้าร้อนก็ร้อนแบบพอทนได้ พอให้รู้ว่านี่คือหน้าร้อนนะ แค่นั้นเอง แต่ทว่าหน้าร้อนของปีนี้เอง ผมจำเป็นต้องรีบไปซื้อเครื่องปรับอากาศและให้ช่างมาติดตั้งด้วยเลย
อย่างที่คนเชียงใหม่จะรู้ ๆ กันดีว่าช่วงต้นปีจะเป็นฤดูฝุ่นควัน เป็นแบบนี้มา 12 ปีแล้ว สาเหตุหนึ่งที่คนเชียงใหม่ชินชากับปัญหาเหล่านี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่า ค่าเฉลี่ยของอากาศที่นี่ก็ถือว่ายังดีอยู่ พอหมดหน้าฤดูฝุ่นควันไปแล้วอากาศก็จะโปร่งเย็นสบาย แม้จะเป็นหน้าร้อนก็ยังถือว่าดีอยู่ และจะดีไปตลอดทั้งปีเลย ทำให้คนเชียงใหม่ส่วนหนึ่งยังรู้สึกพอรับได้กับปัญหาฝุ่นควันในแต่ละปี และจากที่ผ่าน ๆ มาหน้าฤดูควันไฟก็ไม่ได้โหดร้ายและยาวนานเท่าในปีนี้เลย
อีกเหตุผลหนึ่งก็อาจจะเป็นว่า โดยพฤติกรรมดั้งเดิมของคนในพื้นที่เองนั้นมักจะชินชากับกลิ่นควันไฟอยู่แล้ว คนพื้นที่ดั้งเดิมซึ่งในตอนนี้จะเป็นคนเฒ่าคนแก่มักจะหุงหาอาหารด้วยการจุดฟืนเผาถ่าน ไม่ว่าจะเป็นการนึ่งข้าวหรือตั้งกระทะผัดทอดอาหาร เพราะการนึ่งข้าวในแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานมาก หากใช้แก๊สหุงต้มก็จะสิ้นเปลืองมาก และอีกอย่างคือในชุมชนดั้งเดิมที่ยังไม่เจริญเป็นเขตเมืองเต็มที่นัก ยังพอหลงเหลือต้นไม้ให้คนไปเก็บกิ่งไม้มาทำเป็นฟืนได้ พฤติกรรมบางอย่างของคนเฒ่าคนแก่ที่เคยชินก็คือการเผาขยะ บางอำเภอที่ไกล ๆ เขตเทศบาลก็เพิ่งจะมีรถเข้าไปเก็บขยะในหมู่บ้านไม่กี่ปีมานี่เอง บางชุมชนที่อยู่ติดแม่น้ำลำคลองถ้าไม่โยนขยะลงน้ำไปก็มักจะเผา ไม่ว่าขยะนั้นจะเป็นพลาสติก โฟมหรือถ่านไฟฉาย
ในชุมชนที่มีต้นไม้เยอะ ๆ แม้จะไม่ได้ทำการเกษตร แต่ก็ต้องมีพวกเศษใบไม้และกิ่งไม้ วิธีกำจัดก็คือการเผา ยิ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตรแล้วไม่ต้องพูดถึง หากใครที่เคยขึ้นเครื่องบินผ่านจังหวัดเชียงใหม่ ก็มักจะเห็นกิจกรรมการเผาตลอดทั้งปีเลย ควันไฟจะลอยขึ้นฟ้าไม่ว่าจะในเขตเมือง ในหุบเขาต่าง ๆ ให้เราได้เห็นเป็นระยะอย่างแน่นอน และยังมีเรื่องการเผาป่าเพื่อเก็บของป่าหรือล่าสัตว์
สิ่งที่ผมพูดไปนั้นก็คือปัญหาอย่างหนึ่งที่มันสะสมในพื้นที่ สาเหตุของปัญหานั้นก็อาจจะมาจากการที่เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน มีขนบแบบแผนที่คุ้นชิ้นจนยากที่จะปรับเปลี่ยน หรืออาจจะเป็นเพราะกฎระเบียบยังไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาในชุมชน แต่นั่นมันเป็นเรื่องใหญ่ระดับภูมิภาคที่ต้องมีหลายภาคส่วนเข้ามานั่งคุยกันและกำหนดทิศทาง สำหรับตัวประชาชนทั่วไปก็คงต้องดูแลตัวเองและครอบครัวให้พ้นจากพิษฝุ่นควันนี้ เหมือนกับผมที่ต้องพยายามเฝ้าติดตามสถานการณ์ค่าปริมาณฝุ่นควันในอากาศ และหาวิธีที่จะป้องกันครอบครัวของผมให้สูดฝุ่นให้น้อยที่สุด
ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันฝุ่นก็มาตามปกติเหมือนทุกปี ยังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก่อนหน้านั้นผมได้ยินเรื่องปัญหามลภาวะฝุ่นในกรุงเทพที่มีปริมาณมาก และสร้างปัญหาให้กับคนกรุงฯ ผมเฝ้าติดตามและวิเคราะห์ถึงสาเหตุปัญหานั้นตามข่าวที่ได้ยินมา จนกระทั่งเรื่องฝุ่นก็มาเกิดกับจังหวัดของผมเอง ทำให้ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมให้ความสำคัญกับเรื่องฝุ่นมาก ขั้นแรกผมดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นตรวจสอบค่าฝุ่นในพื้นที่ ซึ่งมันจะอัพเดททุกชั่วโมง และในแอพฯนั้นจะแจ้งค่าปริมาณฝุ่นตามจุดที่มีเครื่องวัดติดตั้งอยู่ ซึ่งก็ยังไม่ตอบโจทย์ผมอยู่ดีเพราะผมอยากรู้ว่าข้าง ๆ ตัวผมตอนนี้มีค่าปริมาณฝุ่นอยู่เท่าไหร่ เพราะตอนนี้ไม่ใช่มีผมแค่คนเดียว ข้าง ๆ ผมยังมีลูกน้อยอีกสองคนในวัย 3.6 ขวบ และ 1.11 ขวบ ผมจึงตัดสินใจสั่งซื้อเครื่องวัดปริมาณฝุ่น แต่ว่าการซื้อผ่านอินเตอร์เน็ทนั้นต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าที่ของจะมาถึงมือ ผมก็ตั้งตารอไป
ในระหว่างนั้นก็เฝ้าเช็คค่าปริมาณฝุ่นตลอดเวลาผ่านแอพฯ ก็เฝ้าติดตามตลอดเวลา มีบางวันที่ค่าอากาศดี บางวันแย่มาก แต่ในตอนนั้นต้องยอมรับว่าเครียดมากเพราะว่าผมยังไม่มีอุปกรณ์อะไรเพื่อมาป้องกันลูกน้อยจากฝุ่นควันเลย วิธีเดียวที่ทำได้ในเวลานั้นก็คือสวดภาวนาให้วิกฤติฝุ่นควันนี้หายไปเร็ว ๆ เสียที แต่ก็ไม่เลย การสวดภาวนานั้นสูญเปล่า ผมเฝ้าทนและรอคอยอะไร ๆ ให้ดีขึ้นมาเกือบเดือน จนกระทั่งได้รับอุปกรณ์วัดค่าปริมาณฝุ่น ผมทดลองใช้เครื่องนั้นแล้วรู้สึกตกใจกับค่าปริมาณฝุ่นที่เครื่องนั้นอ่านได้ พอเอาค่าตัวเลขนั้นไปเปรียบเทียบดูว่าปริมาณว่าขนาดนี้อันตรายแค่ไหน ผมยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเดิม และบังเอิญในคืนวันแรกที่ผมได้ทดลองใช้เครื่องอ่านปริมาณฝุ่น ปรากฏว่าตัวเลขขึ้นไปถึง 400 คำแนะนำสำหรับตัวเลข 400 คือ “
อันตราย สาธารณชนและกลุ่มที่อ่อนไหวมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับการระคายเครื่องมากและผลกระทบต่อสุขภาพอันไม่พึงประสงค์ที่อาจกระตุ้นให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ทุก ๆ คนควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและอยู่ภายในบ้าน” เมื่ออ่านคำแนะนำนั้นดูเหมือนว่าการอยู่ในบ้านจะปลอดภัย แต่ทว่าเมื่อผมใช้เครื่องวัดปริมาณฝุ่นทดลองวัดค่าในห้องที่ปิดมิดชิดกับข้างนอกอาคาร ผลปรากฏว่าเป็นตัวเลขเดียวกันเลย
ในคืนที่ตัวเลข 400 ปรากฏบนเครื่องวัดปริมาณฝุ่น ผมเหลือบไปมองลูกน้อยทั้งสองที่นอนหลับตาบนเตียง ผมคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว วันรุ่งขึ้นผมจึงรีบไปซื้อเครื่องปรับอากาศและช่างมาติดตั้งให้ในวันถัดไป โดยหวังว่าจะพอป้องกันฝุ่นได้บ้าง แต่เครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถกรองฝุ่นให้ไปอยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้ ผมก็ต้องไปหาซื้อแผ่นกรองฝุ่นมาติดกับแผงกรองฝุ่นของเครื่องปรับอากาศอีก ก็เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง ผมก็หาข้อมูลก็เจอเครื่องกรองฝุ่นหลายรุ่นหลายราคา จึงตัดสินใจซื้อรุ่นที่ไม่แพงมากนักมาใช้สักอัน มันก็ได้ผลอยู่ถ้านะครับ ค่าฝุ่นลดลงอยูในระดับที่ปลอดภัย

เพราะพื้นที่ปลอดภัยนั้นอยู่แต่ในห้องนอน ตอนนี้ผมต้องพยายามให้ลูกชายทั้งสองอยู่แต่ในห้อง เมื่อค่าฝุ่นภายนอกห้องสูงเกินค่าที่ปลอดภัย ต้องเอาของเล่นไปให้ลูกเล่นในห้อง อาหารก็ต้องกินในห้อง หากเด็กจะเข้าห้องน้ำก็จะรีบทำธุระให้เสร็จโดยเร็วและพากลับเข้าห้องทันที ในบางวันบางช่วงเวลาที่ค่าปริมาณฝุ่นลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายมากนัก ผมถึงจะพาเด็กออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้าง พาไปหาซื้อกับข้าว ไปเดินตลาดในตอนเย็นเพื่อไม่ให้เด็กเครียดเกินไป ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปก่อนจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย โรงเรียนอนุบาลของลูกชายคนโตก็ต้องหยุดไว้ก่อน ผมคิดว่าถ้าหากเลี่ยงความเสี่ยงจากการสูดดมฝุ่นควันเข้าปอดได้ ก็จะพยายามเลี่ยงให้ได้มากที่สุด เพราะว่าบางทีผลลัพธ์ในระยะยาวจากการสูดควันเข้าปอดในปริมาณที่มากอาจส่งผลถึงสุขภาพในขั้นเรื้อรัง และเจ้าลูกชายสองคนนี้ผมก็ต้องพยายามปกป้องพวกเขาให้ได้มากที่สุด ในยามที่พวกเขายังปกป้องตัวเองไม่ได้
สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ในปีนี้ผมคิดเสียว่ามันเป็นภัยพิบัติ ผมพยายามจะไม่นึกไปว่าภัยพิบัตินี้มาจากธรรมชาติหรือมาจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเองเพราะจะยิ่งเครียดมากกว่าเดิม คิดเสียเพียงว่ามันคือภัยพิบัติ ภัยพิบัติที่ใคร ๆ ก็สามารถเจอได้อยู่แล้วในประเทศไทย ไม่ว่าจะภาคไหนก็จะต้องเจอกับภัยพิบัติและผ่านมันไปให้ได้ เช่นภาคกลางก็เคยเจอน้ำท่วมใหญ่ หรือฝั่งทะเลอันดามันเคยประสบภัยสึนามิ หรือผมอาจจะมองว่ามันเป็นมลภาวะอะไรสักอย่างที่ทุกชุมชนอาจจะเคยเจอ บางที่อาจจะเจอมลภาวะน้ำเสียจากโรงงานส่งกลิ่นเหม็น บางทีมีปัญหาเรื่องเสียงรบกวนจากโรงงาน ผมก็จะพยายามมองว่ามันเป็นแค่เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่อาจจะเป็นรอยยิ้มในคราบน้ำตาก็คือ ปัญหาเรื่องพฤติกรรมการเผาจากคนทุกภาคส่วนได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย เพื่อทุกฝ่ายจะได้มานั่งคุยและตกลงแก้ไขปัญหาระยะยาวเพื่อที่ในอนาคตสังคมเชียงใหม่อาจจจะไม่มีการเผาอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเผาอะไรก็แล้วแต่ บางทีในอนาคตสำหรับผู้ที่โดยสารเครื่องบินผ่านจังหวัดเชียงใหม่อาจจะได้ไม่ต้องเห็นกลุ่มควันไฟลอยขึ้นบนท้องฟ้าสร้างความแปลกหูแปลกตาอีกต่อไป
บันทึกพ่อลูกอ่อน ตอนหนีฝุ่น
อย่างที่คนเชียงใหม่จะรู้ ๆ กันดีว่าช่วงต้นปีจะเป็นฤดูฝุ่นควัน เป็นแบบนี้มา 12 ปีแล้ว สาเหตุหนึ่งที่คนเชียงใหม่ชินชากับปัญหาเหล่านี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่า ค่าเฉลี่ยของอากาศที่นี่ก็ถือว่ายังดีอยู่ พอหมดหน้าฤดูฝุ่นควันไปแล้วอากาศก็จะโปร่งเย็นสบาย แม้จะเป็นหน้าร้อนก็ยังถือว่าดีอยู่ และจะดีไปตลอดทั้งปีเลย ทำให้คนเชียงใหม่ส่วนหนึ่งยังรู้สึกพอรับได้กับปัญหาฝุ่นควันในแต่ละปี และจากที่ผ่าน ๆ มาหน้าฤดูควันไฟก็ไม่ได้โหดร้ายและยาวนานเท่าในปีนี้เลย
อีกเหตุผลหนึ่งก็อาจจะเป็นว่า โดยพฤติกรรมดั้งเดิมของคนในพื้นที่เองนั้นมักจะชินชากับกลิ่นควันไฟอยู่แล้ว คนพื้นที่ดั้งเดิมซึ่งในตอนนี้จะเป็นคนเฒ่าคนแก่มักจะหุงหาอาหารด้วยการจุดฟืนเผาถ่าน ไม่ว่าจะเป็นการนึ่งข้าวหรือตั้งกระทะผัดทอดอาหาร เพราะการนึ่งข้าวในแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานมาก หากใช้แก๊สหุงต้มก็จะสิ้นเปลืองมาก และอีกอย่างคือในชุมชนดั้งเดิมที่ยังไม่เจริญเป็นเขตเมืองเต็มที่นัก ยังพอหลงเหลือต้นไม้ให้คนไปเก็บกิ่งไม้มาทำเป็นฟืนได้ พฤติกรรมบางอย่างของคนเฒ่าคนแก่ที่เคยชินก็คือการเผาขยะ บางอำเภอที่ไกล ๆ เขตเทศบาลก็เพิ่งจะมีรถเข้าไปเก็บขยะในหมู่บ้านไม่กี่ปีมานี่เอง บางชุมชนที่อยู่ติดแม่น้ำลำคลองถ้าไม่โยนขยะลงน้ำไปก็มักจะเผา ไม่ว่าขยะนั้นจะเป็นพลาสติก โฟมหรือถ่านไฟฉาย
ในชุมชนที่มีต้นไม้เยอะ ๆ แม้จะไม่ได้ทำการเกษตร แต่ก็ต้องมีพวกเศษใบไม้และกิ่งไม้ วิธีกำจัดก็คือการเผา ยิ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตรแล้วไม่ต้องพูดถึง หากใครที่เคยขึ้นเครื่องบินผ่านจังหวัดเชียงใหม่ ก็มักจะเห็นกิจกรรมการเผาตลอดทั้งปีเลย ควันไฟจะลอยขึ้นฟ้าไม่ว่าจะในเขตเมือง ในหุบเขาต่าง ๆ ให้เราได้เห็นเป็นระยะอย่างแน่นอน และยังมีเรื่องการเผาป่าเพื่อเก็บของป่าหรือล่าสัตว์
สิ่งที่ผมพูดไปนั้นก็คือปัญหาอย่างหนึ่งที่มันสะสมในพื้นที่ สาเหตุของปัญหานั้นก็อาจจะมาจากการที่เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน มีขนบแบบแผนที่คุ้นชิ้นจนยากที่จะปรับเปลี่ยน หรืออาจจะเป็นเพราะกฎระเบียบยังไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาในชุมชน แต่นั่นมันเป็นเรื่องใหญ่ระดับภูมิภาคที่ต้องมีหลายภาคส่วนเข้ามานั่งคุยกันและกำหนดทิศทาง สำหรับตัวประชาชนทั่วไปก็คงต้องดูแลตัวเองและครอบครัวให้พ้นจากพิษฝุ่นควันนี้ เหมือนกับผมที่ต้องพยายามเฝ้าติดตามสถานการณ์ค่าปริมาณฝุ่นควันในอากาศ และหาวิธีที่จะป้องกันครอบครัวของผมให้สูดฝุ่นให้น้อยที่สุด
ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันฝุ่นก็มาตามปกติเหมือนทุกปี ยังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก่อนหน้านั้นผมได้ยินเรื่องปัญหามลภาวะฝุ่นในกรุงเทพที่มีปริมาณมาก และสร้างปัญหาให้กับคนกรุงฯ ผมเฝ้าติดตามและวิเคราะห์ถึงสาเหตุปัญหานั้นตามข่าวที่ได้ยินมา จนกระทั่งเรื่องฝุ่นก็มาเกิดกับจังหวัดของผมเอง ทำให้ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมให้ความสำคัญกับเรื่องฝุ่นมาก ขั้นแรกผมดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นตรวจสอบค่าฝุ่นในพื้นที่ ซึ่งมันจะอัพเดททุกชั่วโมง และในแอพฯนั้นจะแจ้งค่าปริมาณฝุ่นตามจุดที่มีเครื่องวัดติดตั้งอยู่ ซึ่งก็ยังไม่ตอบโจทย์ผมอยู่ดีเพราะผมอยากรู้ว่าข้าง ๆ ตัวผมตอนนี้มีค่าปริมาณฝุ่นอยู่เท่าไหร่ เพราะตอนนี้ไม่ใช่มีผมแค่คนเดียว ข้าง ๆ ผมยังมีลูกน้อยอีกสองคนในวัย 3.6 ขวบ และ 1.11 ขวบ ผมจึงตัดสินใจสั่งซื้อเครื่องวัดปริมาณฝุ่น แต่ว่าการซื้อผ่านอินเตอร์เน็ทนั้นต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าที่ของจะมาถึงมือ ผมก็ตั้งตารอไป
ในระหว่างนั้นก็เฝ้าเช็คค่าปริมาณฝุ่นตลอดเวลาผ่านแอพฯ ก็เฝ้าติดตามตลอดเวลา มีบางวันที่ค่าอากาศดี บางวันแย่มาก แต่ในตอนนั้นต้องยอมรับว่าเครียดมากเพราะว่าผมยังไม่มีอุปกรณ์อะไรเพื่อมาป้องกันลูกน้อยจากฝุ่นควันเลย วิธีเดียวที่ทำได้ในเวลานั้นก็คือสวดภาวนาให้วิกฤติฝุ่นควันนี้หายไปเร็ว ๆ เสียที แต่ก็ไม่เลย การสวดภาวนานั้นสูญเปล่า ผมเฝ้าทนและรอคอยอะไร ๆ ให้ดีขึ้นมาเกือบเดือน จนกระทั่งได้รับอุปกรณ์วัดค่าปริมาณฝุ่น ผมทดลองใช้เครื่องนั้นแล้วรู้สึกตกใจกับค่าปริมาณฝุ่นที่เครื่องนั้นอ่านได้ พอเอาค่าตัวเลขนั้นไปเปรียบเทียบดูว่าปริมาณว่าขนาดนี้อันตรายแค่ไหน ผมยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเดิม และบังเอิญในคืนวันแรกที่ผมได้ทดลองใช้เครื่องอ่านปริมาณฝุ่น ปรากฏว่าตัวเลขขึ้นไปถึง 400 คำแนะนำสำหรับตัวเลข 400 คือ “อันตราย สาธารณชนและกลุ่มที่อ่อนไหวมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับการระคายเครื่องมากและผลกระทบต่อสุขภาพอันไม่พึงประสงค์ที่อาจกระตุ้นให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ทุก ๆ คนควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและอยู่ภายในบ้าน” เมื่ออ่านคำแนะนำนั้นดูเหมือนว่าการอยู่ในบ้านจะปลอดภัย แต่ทว่าเมื่อผมใช้เครื่องวัดปริมาณฝุ่นทดลองวัดค่าในห้องที่ปิดมิดชิดกับข้างนอกอาคาร ผลปรากฏว่าเป็นตัวเลขเดียวกันเลย
ในคืนที่ตัวเลข 400 ปรากฏบนเครื่องวัดปริมาณฝุ่น ผมเหลือบไปมองลูกน้อยทั้งสองที่นอนหลับตาบนเตียง ผมคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว วันรุ่งขึ้นผมจึงรีบไปซื้อเครื่องปรับอากาศและช่างมาติดตั้งให้ในวันถัดไป โดยหวังว่าจะพอป้องกันฝุ่นได้บ้าง แต่เครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถกรองฝุ่นให้ไปอยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้ ผมก็ต้องไปหาซื้อแผ่นกรองฝุ่นมาติดกับแผงกรองฝุ่นของเครื่องปรับอากาศอีก ก็เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง ผมก็หาข้อมูลก็เจอเครื่องกรองฝุ่นหลายรุ่นหลายราคา จึงตัดสินใจซื้อรุ่นที่ไม่แพงมากนักมาใช้สักอัน มันก็ได้ผลอยู่ถ้านะครับ ค่าฝุ่นลดลงอยูในระดับที่ปลอดภัย
เพราะพื้นที่ปลอดภัยนั้นอยู่แต่ในห้องนอน ตอนนี้ผมต้องพยายามให้ลูกชายทั้งสองอยู่แต่ในห้อง เมื่อค่าฝุ่นภายนอกห้องสูงเกินค่าที่ปลอดภัย ต้องเอาของเล่นไปให้ลูกเล่นในห้อง อาหารก็ต้องกินในห้อง หากเด็กจะเข้าห้องน้ำก็จะรีบทำธุระให้เสร็จโดยเร็วและพากลับเข้าห้องทันที ในบางวันบางช่วงเวลาที่ค่าปริมาณฝุ่นลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายมากนัก ผมถึงจะพาเด็กออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้าง พาไปหาซื้อกับข้าว ไปเดินตลาดในตอนเย็นเพื่อไม่ให้เด็กเครียดเกินไป ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปก่อนจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย โรงเรียนอนุบาลของลูกชายคนโตก็ต้องหยุดไว้ก่อน ผมคิดว่าถ้าหากเลี่ยงความเสี่ยงจากการสูดดมฝุ่นควันเข้าปอดได้ ก็จะพยายามเลี่ยงให้ได้มากที่สุด เพราะว่าบางทีผลลัพธ์ในระยะยาวจากการสูดควันเข้าปอดในปริมาณที่มากอาจส่งผลถึงสุขภาพในขั้นเรื้อรัง และเจ้าลูกชายสองคนนี้ผมก็ต้องพยายามปกป้องพวกเขาให้ได้มากที่สุด ในยามที่พวกเขายังปกป้องตัวเองไม่ได้
สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ในปีนี้ผมคิดเสียว่ามันเป็นภัยพิบัติ ผมพยายามจะไม่นึกไปว่าภัยพิบัตินี้มาจากธรรมชาติหรือมาจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเองเพราะจะยิ่งเครียดมากกว่าเดิม คิดเสียเพียงว่ามันคือภัยพิบัติ ภัยพิบัติที่ใคร ๆ ก็สามารถเจอได้อยู่แล้วในประเทศไทย ไม่ว่าจะภาคไหนก็จะต้องเจอกับภัยพิบัติและผ่านมันไปให้ได้ เช่นภาคกลางก็เคยเจอน้ำท่วมใหญ่ หรือฝั่งทะเลอันดามันเคยประสบภัยสึนามิ หรือผมอาจจะมองว่ามันเป็นมลภาวะอะไรสักอย่างที่ทุกชุมชนอาจจะเคยเจอ บางที่อาจจะเจอมลภาวะน้ำเสียจากโรงงานส่งกลิ่นเหม็น บางทีมีปัญหาเรื่องเสียงรบกวนจากโรงงาน ผมก็จะพยายามมองว่ามันเป็นแค่เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่อาจจะเป็นรอยยิ้มในคราบน้ำตาก็คือ ปัญหาเรื่องพฤติกรรมการเผาจากคนทุกภาคส่วนได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย เพื่อทุกฝ่ายจะได้มานั่งคุยและตกลงแก้ไขปัญหาระยะยาวเพื่อที่ในอนาคตสังคมเชียงใหม่อาจจจะไม่มีการเผาอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเผาอะไรก็แล้วแต่ บางทีในอนาคตสำหรับผู้ที่โดยสารเครื่องบินผ่านจังหวัดเชียงใหม่อาจจะได้ไม่ต้องเห็นกลุ่มควันไฟลอยขึ้นบนท้องฟ้าสร้างความแปลกหูแปลกตาอีกต่อไป