[Review] Us: ความเหลิงของ Jordan Peele


By มาร์ตี้ แม็คฟราย

*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของหนัง

คงไม่มีใครที่ไม่คาดหวังในผลงานชิ้นนี้ของ Jordan Peele ดาวตลกที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ โดยมีงานแจ้งเกิดสุดอหังการอย่าง Get Out (2017) ที่เป็นหนังสยองขวัญทางใหม่แถมตัวหนังยังเป็นขวัญใจนักวิจารณ์ จนออสการ์ถึงกับมอบรางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมให้เลยทีเดียว
.

ด้วยความที่ตัวหนัง Get Out นั้นถือว่าเป็นโปรเจกต์ที่มีความเป็นส่วนตัวกับ Peele อย่างมากไม่ว่าจะเป็น แนวหนัง (Genre) ที่แม้จะเป็นแนวทางสยองขวัญ แต่ก็จะพบว่ามันไม่ได้กำลังเดินซ้ำรอยใครหรือตามขนบธรรมเนียมของเรื่องไหน ๆ แถมยังใส่แนวทางเฉพาะอย่าง ’ตลกร้าย’ เข้าไปผสมปนเปด้วย แม้แต่ประเด็นที่ตัวหนังต้องการจะสื่อสารถึงคนดู ก็ชัดเจนมาก ๆ ว่าเขากำลังกล่าวถึงการเหยียดสีผิว คุณค่าและการตัดสินชีวิตคนผ่านสีผิวอย่างไม่เป็นธรรมในสังคมอเมริกัน และลงเอยด้วยการแก้แค้นแบบถึงพริกถึงขิงในตอนท้าย
.

ลองคิดดูว่าทำหนังเรื่องแรก แล้วใส่ความเป็นตัวเองลงไปเต็มที่แบบนี้ แถมผลลัพธ์ของหนังยังถูกใจคนดูและนักวิจารณ์จนได้ออสการ์ กับผลงานต่อมา แม้จะเลี่ยงไม่ได้กับความคาดหวังที่สูงขึ้นจากคนดู แต่ตัว Jordan Peele ก็คงมีความมั่นใจในเรื่องราวในหัวของตนเองมากพอดู จากความสำเร็จของตัวเองในหนังเรื่องก่อน
.

งานเรื่องลำดับที่สองอย่าง Us จึงกลายเป็นหนังที่มาพร้อม Big Idea สุดน่าสนใจที่เกริ่นขึ้นมาด้วยเหตุการณ์ที่ ‘เมื่อครอบครัวหนึ่ง ถูกตามฆ่า โดยกลุ่มคนที่หน้าเหมือนตัวเอง’ เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และเต็มไปด้วยความคาดหวังในงานใหม่ของเขาอย่างสูง
.

หลังจากดูจบแล้ว สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือในหัวของ Peele น่าจะมีไอเดียเยอะแยะเต็มไปหมด จนเขาหยิบมาใช้เยอะแยะไปหมด (จนบางครั้ง มันผิดกาลเทศะไปหน่อย) ว่ากันที่ตัวหนัง ตัวหนังดูสนุก ลุ้นระทึก ในแง่ของการกำกับโทนและบรรยากาศของหนัง เขาทำได้ยอดเยี่ยมตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้าย แต่สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีปัญหา คือจังหวะของหนัง
.

หากมองในงานก่อนหน้าอย่าง Get Out เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่เล็ก วนอยู่กับตัวละครไม่กี่ตัว ด้วยเหตุนี้ Peele จึงไม่มีปัญหาในการควบคุมจังหวะของหนัง แต่กับ Us เมื่อเรื่องราวดำเนินไปมากกว่าสิ่งที่เราคิด รวมถึงเนื้อหาของตัวหนังเริ่มขยายใหญ่โต เราจึงเริ่มเห็นจังหวะของหนังจึงเริ่มสะดุด แม้ว่าเนื้อหาจะขยายใหญ่ด้วยความน่าสนใจมากก็ตามที
.

นอกจากนั้น เรารู้เลยว่า Peele มีนิสัย ‘ติดตลก’ จากการที่เขาเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ซึ่งกับ Get Out มุกตลกต่าง ๆ มันได้ผล หลาย ๆ มุกตลกจริง แม้บางครั้งจะอยู่ผิดที่แต่กลับถูกเวลา! ซึ่งกับ Us เขาก็ยังเป็นคนติดตลกเหมือนเดิม (อาจจะเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ) แต่มุกตลกไม่ได้ผลดังเช่นงานก่อนที่ยิงสิบได้ผลสิบ แถมคราวนี้ยังดูผิดที่และผิดเวลาด้วย ซึ่งมุกเหล่านั้นมักจะอยู่ในสถานการณ์คับขันเป็นความเป็นความตายตัวละครเสียทุกครั้งไป เมื่อมุกไม่เวิร์คพอ ความสะดุดทางอารมณ์จึงเกิดขึ้นตามมา
.

ลองมาดูที่ประเด็นของหนัง ในขณะที่หนังเรื่องก่อน เขาเลือกเล่าประเด็นความไม่ยุติธรรมของคนผิวสีแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ถูกเอาเปรียบอย่างไม่เท่าเทียม (ในขณะเดียวกันก็เอาคืนอย่างเจ็บแสบ) ประเด็นนี้แม้จะเป็นประเด็นที่มีความเฉพาะชนชาติอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องการเหยียดผิวสี เป็นเรื่องสากลที่คนทั่วโลกเข้าใจได้ไม่ยาก ประเด็นใน Get Out จึงไม่ได้เข้าถึงเฉพาะเพียงคนอเมริกัน แต่เข้าถึงได้กับคนทั่วโลก
.

แต่กับ Us ที่คราวนี้เขาไม่ได้เล่นเรื่องผิวสี หากแต่ไปเล่นประเด็นการเมือง การยึดอำนาจ ของกลุ่มคนชายขอบที่ไม่ได้รับการเหลียวแล และอีกหลายประเด็นที่มีความอเมริกันสูง จนเริ่มจะเข้าไม่ถึง ซึ่งส่งผลอย่างมาก ต่อการจูนติดกับหนัง เพราะหากคนดูเข้าไม่ถึง หรือไม่มากพอ ความสงสัยเพราะไม่เข้าใจจะเข้ามาแทนที่สมาธิต่อตัวหนังทันที และคำถามต่าง ๆ ที่ยากต่อการได้รับคำตอบ (เพราะไม่ใช่อเมริกันชน) จะวนเวียนอยู่ในหัว แทนที่จะไปชื่นชมไอเดียอันเกินคาดและจุดหักมุมของหนังแทน
.

ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นความเหลิงของ Jordan Peele ที่พอประสบความสำเร็จจากหนังเรื่องแรกไปแล้ว จึงใส่ไอเดียอะไรมากมายลงไปในหนังแบบหนักมือขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น รวมถึงการไปเล่าประเด็นสังคมที่ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย แต่ด้วยอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นชั่วโมงการบินของการเป็นผู้กำกับที่ยังไม่มากพอ จนทำให้ตัวหนังเริ่มเห็นปัญหาหรือไม่? หรืออาจเป็นเรื่องเขาอย่างใส่อะไรต่อมิอะไรลงไปในหนังตัวเองมากเกินไป จนมันให้หนังล้น ไม่พอดี (และปฏิเสธไม่ได้ว่า สำหรับบางคนก็ไม่ได้ชอบ ตั้งแต่ Get Out)  
.

ท้ายสุดแล้ว หนังเรื่อง Us ก็ไม่อาจจะกล่าวว่าหนังที่แย่หรือน่าผิดหวังแน่นอน หากมองผ่านศิลปะความเป็นภาพยนตร์ นี่คือหนังสยองขวัญที่ต้องชื่นชมในการพยายามหาทางใหม่ ๆ  และมีทุกอย่างที่คอหนังสยองขวัญต้องการ แต่ด้วยปัญหาที่กล่าวไปข้างต้น นี่จึงเป็นหนังดีอีกเรื่อง ที่เดินบนทางที่ไม่ราบรื่นนัก ในแง่ของการเล่าเรื่อง
.

และแม้จะเป็นหนังที่อารมณ์และเรื่องราวคนละแบบกัน จนไม่อาจยกมาเปรียบเทียบกันได้ แต่หากมองในแง่ของการเล่าเรื่อง Get Out ทำได้ลงตัวกว่าอย่างชัดเจน
.

*แต่ในส่วนของการแสดง โดยเฉพาะกับรายดีกรีออสการ์อย่าง Lupita Nyong'o เป็นการแสดงระดับสูงลิบ ที่สามารถพูดได้ว่าจ่ายเงินมาดูการแสดงก็คุ้ม โดยเฉพาะการสวมบทหญิงชุดแดงที่ไล่ฆ่าตัวจริง ที่ต้องพูดต้องวิธีการแปลก ๆ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่นักแสดงคนไหนก็ได้ มอบให้ได้แน่ ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่