เมื่อวันเสาร์ที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา เพิ่งจะมีเวลาว่างก็เลยถือโอกาสไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศซะหน่อย แต่ถ้าจะไปไกลๆก็คงไม่ไหว กลับมาถึงวันอาทิตย์เช้าวันจันทร์ไปทำงานก็เพลียร่างไปอีก เลยนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนเคยชวนไปฉะเชิงเทราแบบนั่งรถไฟไปนะ นี่ก็จำได้รางๆว่านั่งครั้งสุดท้ายมันนานมากก็เลยจัดซะหน่อย
เช้าวันเสาร์ก็ออกจากบ้าน 7.00น. จากบางแคไปถึงหัวลำโพง นั่งรถแดงสาย 7 ตอนเช้านี่จะไวมากประมาณ 30 กว่านาที แต่พอไปถึงคืองงมากเพราะเขาปิดขายตั๋ว เลยพบว่ารถไฟออก 10.10น. ตอนนั้นก็ประมาณ 7.45น. เลยคิดได้ว่าเขาน่าจะขายตั๋วหลังจากรถไฟเข้าสถานีตอน 8.45น.
ตอนนั้นก็อีก 2 กว่าช.ม. ทำให้คิดได่ว่าเหลือเวลาอีกเยอะมาก ก็คงต้องหาข้าวกินก่อน จริงๆออกไปทางซ้ายจะมีพวกร้านก๋วยเตี๊ยวเรือ ร้านขายน้ำ ขนม ของหวานอะไรทำนองนี้ แต่คิดว่ากินข้าวนะจะดีกว่า เลยเดินออกไปข้างนอก ตรงแยกใหญ่ที่มีทางด่วน ตรงนั้นจะมีร้านข้าว เซเว่น เลยไปหาข้าวกินตรงนั้น
พอกินข้าวเสร็จก็ 8 โมงกว่า เพราะนั่งเม้าท์กับเพื่อนไปเรื่อยๆ เลยคิดว่าไปซื้อตั๋วแล้วเข้าไปนั่งข้างในดีกว่ายังไงก็อุ่นใจ ตั๋วรถไฟราคา 13 บาทจากหัวลำโพงไปยังชุมทางฉะเชิงเทรา (จริงๆคำว่าชุมทางทำให้นึกถึงรายการชุมทางเสียงทองเลย คิดว่าสมัยก่อนคงขึ้นรถไฟบ่อยจนติดคำนี้ล่ะมั้ง)
พอถึงเวลาก็โดดขึ้นรถไฟโลด จริงๆขึ้นก่อนก็ได้ถ้าไม่ติดว่าร้อนนะ สามารถเลือกที่นั่งตรงไหนก็ได้เพราะเป็นขบวนแบบธรรมดา พอรถไฟออกวิวข้างๆก็จะเป็นชุมชนคนที่อาศัยใกล้สถานีรถไฟ เป็นตึกซะส่วนใหญ่ แต่พอออกนอกเขตกรุงเทพฯเลยไปหลายสถานีหน่อย ประมาณชั่วโมงก็เห็นวิวทุ่งนาแล้ว แดดร้อนนะเพราะตอนนั้นก็ประมาณ 11 โมงกว่าๆแต่ว่ามันสดชื่นกว่า
บนรถไฟก็จะมีของขายตลอด จริงๆคุยกับเพื่อนว่าต่อไปเรากินข้าวบนรถไฟดีกว่าข้าวกะเพราไข่ดาวกล่องละ 20 บาทเอ๊งงงง งงมากว่าชั้นไปหาข้าวกินข้างนอกทำไม แต่ที่ถูกตาต้องใจที่สุดก็ตงเป็นขนมชั้นกับขนมเปียกปูน เขาขาย 3 กล่อง 40 บาทแต่รวมได้ เลยจัดเปียกปูน 2 ขนมชั้น 1 รสชาติดีมากชอบเลย
พอถึงชุมทางฉะเชิงเทราก็นั่งรถสองแถวไปลงหน้าวัดหลวงพ่อโสธร ราคา 8 บาท ออกจากชานชาลาเลี้ยวซ้ายใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที หรือจะเหมาไปก็ได้ประมาณ 60 บาท
เขาจอดให้ลงตรงหน้าวัดพอดี พอชำระค่าโดยสารก็เดินเข้าไปนมัสการหลวงพ่อโสธรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเสียหน่อย ต้องบอกว่าคนที่จะเข้าไปต้องแต่งกายสุภาพ แต่เขาก็จะมีชุดคลุมสำหรับคนที่แต่งกายไม่สุภาพให้ยืม
วัดโสธรวรารามวรวิหาร เดิมชื่อว่า วัดหงษ์ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง
ตามตำนานเล่าว่า หลวงพ่อพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงามมาก ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่พระสงฆ์ในวัดเกรงจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน
แต่เดิม หลวงพ่อพุทธโสธรประทับอยู่ในโบสถ์หลังเก่าที่มีขนาดเล็ก รวมกับพระพุทธรูปอื่นๆ 18 องค์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้ มีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม พระพรหมคุณาภรณ์(จริปุณโญ ด. เจียม กุลละวณิชย์) อดีตเจ้าอาวาสจึงได้รวบรวมเงินบริจาคเพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพระอุโบสถหลังใหม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง และทรงเป็นผู้กำกับดูแลงานสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ พ.ศ. 2531 และทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ น้ำหนัก 77 กิโลกรัม ประดิษฐานเหนือยอดมณฑป เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาทรงตัดหวายลูกนิมิต เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549
การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ สร้างขึ้นครอบพระอุโบสถหลังเดิม โดยใช้เทคนิควิศวกรรมสมัยใหม่ โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อพุทธโสธร และพระพุทธรูปทั้ง 18 องค์
ศิลปะภายในพระอุโบสถหลวงพ่อพุทธโสธร ประกอบด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบนับตั้งแต่พื้นพระอุโบสถ เสา ผนัง และเพดานจะบรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาล โดยตำแหน่งของดวงดาวบนเพดาน กำหนดตำแหน่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 ณ เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ
ข้อมูลเพิ่มเติมจากวิกิพีเดีย
ขากลับก็ใช้เส้นทางเดิมโดยที่รถสองแถวจะจอดรอผู้โดยสารอยู่แล้ว จริงๆมีรถสองแถวที่ไปที่อื่นแต่กลัวจะเที่ยวจนเพลินแล้วกลับเย็นเกินไป เลยจบการเดินทางเพียงเท่านี้กับการขึ้นรถไฟเที่ยวกลับเวลา 14.05น. ถึงหัวลำโพง 15.50น.
เบ็ดเสร็จแล้วค่าโดยสารทั้งสิ้น
รถเมล์ = 6.50 บาท
รถไฟ = 13 บาท
รถสองแถว = 8 บาท
รวมไปกลับ = 55 บาท
(อันนี้ไม่รวมค่ากินมหาศาลนะจ๊ะ😆😆)
นั่งรถไฟไปไหว้พระที่ฉะเชิงเทรา
เช้าวันเสาร์ก็ออกจากบ้าน 7.00น. จากบางแคไปถึงหัวลำโพง นั่งรถแดงสาย 7 ตอนเช้านี่จะไวมากประมาณ 30 กว่านาที แต่พอไปถึงคืองงมากเพราะเขาปิดขายตั๋ว เลยพบว่ารถไฟออก 10.10น. ตอนนั้นก็ประมาณ 7.45น. เลยคิดได้ว่าเขาน่าจะขายตั๋วหลังจากรถไฟเข้าสถานีตอน 8.45น.
ตอนนั้นก็อีก 2 กว่าช.ม. ทำให้คิดได่ว่าเหลือเวลาอีกเยอะมาก ก็คงต้องหาข้าวกินก่อน จริงๆออกไปทางซ้ายจะมีพวกร้านก๋วยเตี๊ยวเรือ ร้านขายน้ำ ขนม ของหวานอะไรทำนองนี้ แต่คิดว่ากินข้าวนะจะดีกว่า เลยเดินออกไปข้างนอก ตรงแยกใหญ่ที่มีทางด่วน ตรงนั้นจะมีร้านข้าว เซเว่น เลยไปหาข้าวกินตรงนั้น
พอกินข้าวเสร็จก็ 8 โมงกว่า เพราะนั่งเม้าท์กับเพื่อนไปเรื่อยๆ เลยคิดว่าไปซื้อตั๋วแล้วเข้าไปนั่งข้างในดีกว่ายังไงก็อุ่นใจ ตั๋วรถไฟราคา 13 บาทจากหัวลำโพงไปยังชุมทางฉะเชิงเทรา (จริงๆคำว่าชุมทางทำให้นึกถึงรายการชุมทางเสียงทองเลย คิดว่าสมัยก่อนคงขึ้นรถไฟบ่อยจนติดคำนี้ล่ะมั้ง)
พอถึงเวลาก็โดดขึ้นรถไฟโลด จริงๆขึ้นก่อนก็ได้ถ้าไม่ติดว่าร้อนนะ สามารถเลือกที่นั่งตรงไหนก็ได้เพราะเป็นขบวนแบบธรรมดา พอรถไฟออกวิวข้างๆก็จะเป็นชุมชนคนที่อาศัยใกล้สถานีรถไฟ เป็นตึกซะส่วนใหญ่ แต่พอออกนอกเขตกรุงเทพฯเลยไปหลายสถานีหน่อย ประมาณชั่วโมงก็เห็นวิวทุ่งนาแล้ว แดดร้อนนะเพราะตอนนั้นก็ประมาณ 11 โมงกว่าๆแต่ว่ามันสดชื่นกว่า
บนรถไฟก็จะมีของขายตลอด จริงๆคุยกับเพื่อนว่าต่อไปเรากินข้าวบนรถไฟดีกว่าข้าวกะเพราไข่ดาวกล่องละ 20 บาทเอ๊งงงง งงมากว่าชั้นไปหาข้าวกินข้างนอกทำไม แต่ที่ถูกตาต้องใจที่สุดก็ตงเป็นขนมชั้นกับขนมเปียกปูน เขาขาย 3 กล่อง 40 บาทแต่รวมได้ เลยจัดเปียกปูน 2 ขนมชั้น 1 รสชาติดีมากชอบเลย
พอถึงชุมทางฉะเชิงเทราก็นั่งรถสองแถวไปลงหน้าวัดหลวงพ่อโสธร ราคา 8 บาท ออกจากชานชาลาเลี้ยวซ้ายใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที หรือจะเหมาไปก็ได้ประมาณ 60 บาท
เขาจอดให้ลงตรงหน้าวัดพอดี พอชำระค่าโดยสารก็เดินเข้าไปนมัสการหลวงพ่อโสธรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเสียหน่อย ต้องบอกว่าคนที่จะเข้าไปต้องแต่งกายสุภาพ แต่เขาก็จะมีชุดคลุมสำหรับคนที่แต่งกายไม่สุภาพให้ยืม
วัดโสธรวรารามวรวิหาร เดิมชื่อว่า วัดหงษ์ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง
ตามตำนานเล่าว่า หลวงพ่อพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดปางสมาธิหน้าตักกว้างศอกเศษ มีรูปทรงสวยงามมาก ได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่พระสงฆ์ในวัดเกรงจะมีผู้มาลักพาไปจึงได้เอาปูนพอกเสริมหุ้มองค์เดิมไว้จนมีลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน
แต่เดิม หลวงพ่อพุทธโสธรประทับอยู่ในโบสถ์หลังเก่าที่มีขนาดเล็ก รวมกับพระพุทธรูปอื่นๆ 18 องค์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จราชดำเนินมาที่วัดแห่งนี้ มีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิม พระพรหมคุณาภรณ์(จริปุณโญ ด. เจียม กุลละวณิชย์) อดีตเจ้าอาวาสจึงได้รวบรวมเงินบริจาคเพื่อจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างพระอุโบสถหลังใหม่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานการสร้าง และทรงเป็นผู้กำกับดูแลงานสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนิน ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อ พ.ศ. 2531 และทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ น้ำหนัก 77 กิโลกรัม ประดิษฐานเหนือยอดมณฑป เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาทรงตัดหวายลูกนิมิต เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2549
การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ สร้างขึ้นครอบพระอุโบสถหลังเดิม โดยใช้เทคนิควิศวกรรมสมัยใหม่ โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อพุทธโสธร และพระพุทธรูปทั้ง 18 องค์
ศิลปะภายในพระอุโบสถหลวงพ่อพุทธโสธร ประกอบด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยรอบนับตั้งแต่พื้นพระอุโบสถ เสา ผนัง และเพดานจะบรรจุเรื่องราวให้เป็นแดนแห่งทิพย์ เป็นเรื่องราวของสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก ดวงดาว และจักรวาล โดยตำแหน่งของดวงดาวบนเพดาน กำหนดตำแหน่งตรงกับวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539 ณ เวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรทองคำ
ข้อมูลเพิ่มเติมจากวิกิพีเดีย
ขากลับก็ใช้เส้นทางเดิมโดยที่รถสองแถวจะจอดรอผู้โดยสารอยู่แล้ว จริงๆมีรถสองแถวที่ไปที่อื่นแต่กลัวจะเที่ยวจนเพลินแล้วกลับเย็นเกินไป เลยจบการเดินทางเพียงเท่านี้กับการขึ้นรถไฟเที่ยวกลับเวลา 14.05น. ถึงหัวลำโพง 15.50น.
เบ็ดเสร็จแล้วค่าโดยสารทั้งสิ้น
รถเมล์ = 6.50 บาท
รถไฟ = 13 บาท
รถสองแถว = 8 บาท
รวมไปกลับ = 55 บาท
(อันนี้ไม่รวมค่ากินมหาศาลนะจ๊ะ😆😆)