[SR] รีวิว Redmi Note 7 By Xiaomi ที่จะทำให้คุณข้ามข้อเสียไปได้ (เพราะราคา…)

สวัสดีครับ เจอกับผม เต้ อีกแล้วนะครับ วันนี้ผมก็จะมารีวิว Redmi Note 7 ที่ได้เปิดตัวมาซักพักนึงแล้วนะครับ วันที่ผมเขียนรีวิวก็วันที 30 มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่เปิดวางจำหน่ายตามช็อปกันแล้ว แต่หลายคนก็ได้สั่งซื้อจาก Lazada กันมาตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา และได้เครื่องในวันเดียวกันไปแล้วก็มีครับ

ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ อาจจะกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะซื้อดีมั้ย ผมเลยจะมารีวิวการใช้งาน Redmi Note 7 เต็มๆ 10 วัน ว่าผมเจออะไรมาบ้างนะครับ และรีวิวนี้ก็เช่นเคยครับถ้า ผมพลาดประเด็นไหนหรือข้อมูลบางอย่างไป ก็ขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับ และผมก็จะรีวิวในส่วนที่บางคนบอกให้ลองด้วยนะครับ

สำหรับวีดีโอ เป็นดูพรีวิวไปก่อนนะครับ ^^;

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ก่อนหน้าไม่นานเราจะเคยได้ยิน Xiaomi Redmi Note 6 Pro ที่เพิ่งออกมาได้ไม่นานแต่ ทำไมรุ่นใหม่นี้ถึงชื่อ Redmi Note 7 เฉยๆ แทนที่จะเป็น Xiaomi Redmi Note 7 เพราะตอนนี้ Redmi เป็นแบรนด์ย่อยของ Xiaomi ไปแล้ว แต่ Redmi ก็ยังมีลงท้ายเสมอว่า By Xiaomi นั่นเองครับ Redmi จะเน้นมือถือราคาถูกจนถึงราคาระดับกลางๆ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะเกิน 8000 บาท โดยประมาณนะครับ ส่วน Xiaomi ก็ทำตลาดราคากลางถึงสูงไปครับ

เราไปดู Redmi Note 7 กันเลยดีกว่าครับ

ปกติ กล่องตระกูล Redmi จะเป็นสีส้ม แต่มาคราวนี้ ต่างจากเดิมก็จะเป็นสีขาวขอบส้มด้านล่าง ถ้าผมจำไม่ผิดถ้าเป็นโมเดลจีนที่จะเป็นกล่องสีขาวล้วน ไม่มีสีส้มเลยนะครับ ด้านข้างจะไม่มีคำว่า Global Version สังเกตจุดนี้กันด้วยนะครับ สำหรับบางคนที่ไม่อยากได้เครื่องโมเดลจีน

ก่อนจะไปเริ่มกัน ผมขอพูดถึงอีกรุ่นหนึ่งก่อน คือ Redmi Note 7 Pro ที่สเปกสูงกว่า เผื่อบางคนอาจจะรอคอยตัวนี้เข้าไทย แต่สรุปก็มีข่าวออกมาอย่างเป็นทางการแล้วครับ ว่า Redmi Note 7 Pro จะไม่เข้าไทยแน่นอนครับ แต่ถ้าให้ผม “คาดเดา” ว่ารุ่นไหนจะมาแทน Mi 8 Lite หรือ ถมช่องว่างราคาช่วงนี้ ก็น่าจะเป็น Mi 9 SE ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ

เริ่มกันที่ สเปกตัวเครื่องกันเลยครับ

หน้าจอขนาด 6.3 นิ้วแบบติ่งหยดน้ำ ความละเอียด FHD+

ตัวบอดี้เป็นกระจก Gorilla Glass 5 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

CPU : Qualcomm Snapdragon 660 AIE

กล้องหน้า 13 MP

กล้องคู่ความละเอียด 48 MP + 5 MP

RAM : 3 / 4 GB

ROM : 32 / 64 / 128 GB (รองรับ microSD Card)

แบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว (Quick Charge 4.0) ผ่านพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C

รันบนระบบปฏิบัติการ MIUI 10 (Android Pie 9.0)

มีให้เลือกด้วยกันถึง 3 สี ได้แก่ สีดำ, สีน้ำเงิน และสีแดง

รองรับ IR สำหรับใช้เป็นรีโมตคอนโทรลและช่องเสียบรูหูฟัง 3.5 mm

ด้วยราคาขายขนาดนี้ แน่นอนว่า บอดี้ด้านข้างจะเป็นพลาสติกนั้นเองครับ แต่สิ่งที่ราคาขนาดนี้ยี่ห้ออื่นให้ไม่ได้ก็คือกระจก Gorrila Glass 5 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่ทนต่อแรงกระแทกได้ดี อย่างที่เราเห็นคลิปโฆษณาว่ามันทนแรงกระแทกได้ แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ “มันก็ยังเป็นรอยได้นะครับ” เค้าไม่ได้บอกว่าจะไม่เป็นรอย แค่ทนแรงกระแทกได้ดีแค่นั้นนะครับ อย่าเข้าใจผิด เพราะยังไงมันก็แค่ Gorrila Glass 5 ซึ่งพอแกะเครื่องมาวันที่ 2 ผมก็ทำตกระยะ 20 เซนติเมตร จากขาตั้งกล้อง บนพื้นผิวที่มีเม็ดทรายมา สรุปคือรอยมาเลยครับ T T ถึงมันจะแค่คิดเดียวก็ตาม หลังจากวันที่เป็นรอยผมถึงไปติดฟิล์มเลยครับ 555+ (แล้วทำไมไม่ติดตั้งแต่แรก)

ตามที่งานเปิดตัวนำเสนอมาก็คือ มุมทั้งสี่มุมของตัวเครื่อง ออกแบบมาให้แข็งแรงมากขึ้น ทนต่อแรงกระแทกได้ดีกว่า และเค้าได้นำเสนออีกอย่างคือ ในแต่ละจุด ภายในตัวเครื่อง ได้มีการซีลยางเอาไว้เพื่อกันละอองน้ำและกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จริงๆ สื่อต่างประเทศก็ตั้งข้อสงสัยว่าซีลมาแบบนี้ สามารถกันน้ำได้มั้ย แต่ตามสเปกก็ไม่ได้บอกว่ากันน้ำ เพราะฉะนั้นผมว่า การที่เค้าซีลไว้ อย่างน้อยก็ช่วยกันละอองน้ำได้ หรือลดโอกาสที่น้ำหรือฝุ่นจะเข้าไปง่ายๆ มากกว่าครับ

มันคงเป็นเหตุผลหนึ่งรึเปล่าที่ทำให้ Redmi Note 7 ได้การประกันจาก Xiaomi ถึง 18 เดือน!!! หรือปีครึ่งกันเลยทีเดียว มันเลยเป็นเหตุผลรึเปล่าที่เค้าต้องซีลตัวเครื่องมา เพื่อไม่ให้ความชื้นหรือฝุ่นเข้าไปในตัวเครื่องง่ายจนอาจจะเป็นสาเหตุให้เครื่องพัง??? แต่ด้วยราคาขนาดนี้ ได้ขนาดนี้ ผมบอกเลยว่าเกินคุ้มมากๆ ครับ

ในกล่อง Redmi Note 7
เปิดกล่องมา ก่อนอื่นเราก็จะเจอกับกล่องใส่เคสและเข็มจิ้มถาดซิม และคู่มือ ซึ่งเคสที่แถมมาก็จะเป็นเคสยาง TPU แบบใส และแน่นอนว่าช่องชาร์จถึงจะเป็น Type C แล้ว แต่ยังมีช่อง 3.5 เค้าเลยไม่แถมหัวแปลง Type C เป็น 3.5 มาให้ครับ ผมได้ลองเอาหัวแปลงของ Mi 8 มาลองใช้ สรุปคือใช้ไม่ได้ครับ เพราะหัวแปลง Type C เป็น 3.5 ไม่มีชิพเสียงอยู่ เลยทำให้เสียบกับเครื่องที่มี 3.5 แล้วเสียงถึงไม่ออก

และเครื่องที่ผมได้มารีวิวจะเป็นสีน้ำเงิน Neptune Blue สเปก RAM 4GB, ROM 64GB ครับ และยังมีอีกสองสีคือสีแดง และสีดำ ตัวเครื่องจะมี 3 ความจุได้แก่

RAM 3GB, ROM 32GB ราคา 4999 บาท*

RAM 4GB, ROM 64GB ราคา 6599 บาท**

RAM 4GB, ROM 128GB ราคา 6799 บาท*

* = มีขายที่ Lazada

* = มีขายที่ Ais Shop

หัวชาร์จที่แถมมาในกล่องเป็นแบบ 5V 2A ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ Xiaomi อยู่แล้วครับที่เค้าจะแถมหัวชาร์จแบบนี้ให้ ทั้งที่ตัวเครื่องรองรับ Quick Charge 4.0 เพราะด้วยราคาที่ถูกขนาดนี้ ผมมองว่าไปซื้อหัวชาร์จ Quick Charge 3.0 จากออนไลน์ก็ได้ครับ ราคาอันละไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้นครับ รับรองเลยว่าคุ้มครับกับการชาร์จด่วน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh ถ้าไม่ใช้ Quick Charge นี่ ใช้เวลาชาร์จนานแน่นอนครับ 555+

ความรู้สึกแรกที่ผมได้จับ Redmi Note 7 ผมรู้สึกว่าตัวเครื่องค่อนข้างจะหนาไปซักหน่อยสำหรับผม และยิ่งพอใส่เคสแล้วจะรู้สึกได้เลยครับว่ามันหนา แต่น้ำหนักตัวเครื่องทำออกมาได้ดีจนผมไม่รู้สึกว่านี่คือมือถือที่เป็นบอดี้โลหะ อาจจะหนักที่แบตเตอรี่ก็ได้ครับ 555+ แต่กล้องไม่ได้นูนออกมามาก โดยรวมถือว่าโอเคครับ

ด้านหน้า เป็นจอ IPS ขนาด 6.3 นิ้ว Full HD+ 1080x2340 พิกเซล ความละเอียดหน้าจอ 409 PPI เป็นจอติ่งที่เค้าเรียกว่า Dot Drop หรือถ้าเรียกง่ายๆ ก็คงเป็นติ่งรูปตัว U อะครับ 555+ ตัวนี้จุดเด่นที่เค้าพูดมาในงานอีกอย่างคือหน้าจอสามารถแสดงสีสันและความสว่างได้มากขึ้นไปอีกนิดหน่อยจากรุ่นเก่าอย่า Xiaomi Redmi Note 6 Pro จึงส่งผลให้หน้าจอ Redmi Note 7 สู้แสงได้ดีขึ้น จากที่ผมลองใช้งานมา มันสามารถมองเห็นได้ในที่แสงจ้าได้ดีกว่าจริง และสีสันก็ทำได้ดีกว่า Xiaomi Redmi Note 6 Pro อย่างเห็นได้ชัดครับ
ส่วนใครที่สงสัยว่าทัชเพี้ยนหรือทัชช้ามั้ย บอกเลยครับว่าไม่ครับ ใช้งานได้ปกติ และเท่าที่ดูจากผู้ใช้ที่ซื้อไปบ้างแล้วก็ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ครับ ผมอยากจะให้ข้อสังเกตนิดนึงครับ สำหรับคนที่ใช้ iPhone มาก่อน แล้วมาเล่น Android จะรู้สึกได้ทันทีครับว่าการตอบสนองของ iOS และ Android จะต่างกันแบบเห็นได้ชัดครับ เพราะฉะนั้น เท่าที่ผมสังเกตมา ส่วนหนึ่งก็จะเคยใช้ iOS มาก่อน ซึ่งตัวผมเองก็เคยใช้มาก่อน ก็จะรู้สึกครับว่ามันตอบสนองช้ากว่า ด้วย Hardware และ Software ด้วยครับ อย่าคิดมากนะครับ 555+

ส่วนตัวผม ทำงานที่เกี่ยวข้องกับรูปภาพอยู่แล้ว ผมรู้สึกว่าโหมดสีที่ตั้งค่ามาตอนแกะกล่องมาผมมองว่าจอมันอมฟ้าเกินไป ผมเลยใช้สีโหมดมาตรฐาน มันเลยให้สีขาวที่อมเหลืองนิดหน่อย ซึ่งมันสบายตามากครับ ผมแนะนำเลยว่าให้ปรับสีเป็นโหมดพื้นฐานครับ สีมันจะดูสมจริงมาก ไม่อมฟ้าเหมือนโหมดสีที่ตั้งมาให้ตอนแรกครับ

ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นมาตรฐานการออกแบบของ Xiaomi ช่วงหลังรึเปล่านะครับ แต่สังเกตได้ว่าช่องลำโพงสนทนานั้นจะยาวกว่ารุ่นเก่าๆ มากๆ เลยครับ ส่งผลทำให้เสียงสนทนาดังชัดเจนดีมาก เมื่อเทียบกับ Mi 8 ของผมที่ช่องมันเล็กและรูจะตันแล้วครับ 555+

ลองสังเกตที่รูปดีๆ ครับ เหนือสัญลักษณ์รูปสัญญาณมือถืออันแรก ตรงขอบจอ จะมีช่องสำหรับเซ็นเซอร์แสงและปิดหน้าจอขณะสนทนา ปัญหาที่ผมเจอคือบางทีผมคุยโทรศัพท์แล้วเอาไหล่ซ้ายดันโทรศัพท์แล้วคุย เวลามือเราไม่ว่าง ปัญหาคือจอมันไม่ค่อยดับครับ บางทีแก้มเราก็ไปทัชโดนอย่างอื่นบ้าง ซึ่งผมมองว่ามันเป็นปัญหาที่การวางตำแหน่งของเซ็นเซอร์มากกว่าครับ Mix 3 หรือ Mi 9 ที่ฝังเซ็นเซอร์ไว้ในช่องลำโพงสนทนา จะไม่เจอปัญหาเหล่านี้ครับ

กล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่หลายๆ คนบอกว่ามันยังทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันหัวข้อกล้องหน้ากันอีกทีครับ ^^;

ชื่อสินค้า:   Redmi Note 7
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้ามาใช้รีวิวฟรี โดยต้องคืนสินค้าให้เจ้าของสินค้า
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่