ณ ศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในบางกอก บนชั้น 4
อดีตนายพลตำรวจกำลังนั่งจิบกาแฟแบรนด์เมืองนอกในร้าน
ภายในร้านมีคนนั่งดื่มอยู่เพียงสองสามโต๊ะ
ประสาทสัมผัสและสมองสั่งการว่า
มีคนเดินมาหาและตรงเข้ามายืนตรงหน้า
" นาย นายไม่น่าสั่งให้คนฆ่าผมเลยนะ "
เสียงคนข้างหน้าบอกอดีตนายพลตำรวจ
" เฮ่ย ไอ้แพะ กูไม่ได้ฆ่านะ
พวกจ่าผ่องกับพวกอุ้มไปฆ่าเองนะ "
เสียงอดีตนายพลตำรวจตอบโต้
" ไม่จริงนะ นาย ผมได้ยินก่อนตายว่า
นายสั่งให้เก็บเพราะผมรู้มากไปแล้ว "
เสียงไอ้แพะสวนกลับทันที
" เออ กูขอโทษก็แล้วกัน
แต่กูก็ทำบุญไปให้ทุก ๆ ปีแล้ว
น่าจะจบ ๆ กันได้แล้ว
มันผ่านมาร่วม 30 ปีแล้ว "
อดีตนายพลตำรวจตอบโต้
" แต่ไม่คุ้มกับที่ผมทำให้นายเลย
นายระวังตัวให้ดี ขวงอีกหลายตัวรอนายอยู่ "
ไอ้แพะตอบแล้วเดินจากไป
อดีตนายพลตำรวจมองตามไอ้แพะ
ขวงที่เดินหายไปในม่านควัน
พลางรำลึกถึงครั้งหนึ่งในอดีตที่บ้านทุ่งหาดใหญ่
ที่ตนเคยเป็นสารวัตรมือปราบที่โด่งดัง
เพราะจับสายโจรและโจรยิงทิ้งจำนวนมาก
ส่วนใหญ่มาจากไอ้แพะเป็นคนชี้เป้า/หาข่าวให้
และบอกที่หลบซ่อน/สืบหาจนเจอที่พักพิงพวกโจร
ก่อนที่จะส่งศาลให้ปล่อยเข้าคุกไป
หรือทำวิสามัญฆาตกรรมโดยพาไปยิงทิ้งตามป่ายาง/ป่ารกร้าง
ที่หลัก ๆ คือ เส้นทางไปสนามบินนอกเมืองราว 8 กิโลเมตร
สมัยยังเป็นถนนสองเลนมีต้นสนทะเล 2 ข้างทาง
ที่คนจากหลายหน่วยงานมาร่วมปลูกไว้ 2 ข้างทาง
ถ้ดจากแนวสนก็เป็นป่ารกร้างของพวกซื้อที่ดินเก็งกำไร
ถ้าศพที่ถูกยิงทิ้งมักจะส่งวัดควนลัง
พ่อท่านแปลงเผากันจนเบื่อ เพราะใกล้วัดท่านมากที่สุด
อีกที่หนึ่ง คือ ป่ายางแถวทางไปสถานีถ่ายทอดโทรทัศน์
ที่ตอนนี้เจริญมากมีมหาวิทยาลัยบ้านนอกไปตั้งอยู่
ในสมัยนั้นเป็นเพียงถนนสองเลน
นาน ๆ จึงจะเห็นบ้านเรือน/ชาวบ้านเดินทางผ่าน
จำไม่ได้เหมือนกันว่าสายโจร กับ คนไม่พึงประสงค์
ถูกจับยิงทิ้งไปจำนวนมากเท่าใด
เพราะบ้านเมืองยุคนั้นปกครองด้วยเผด็จการทหาร
ต้องการความร่มเย็นและสงบสุข
รวมทั้งกลัวภัยคุกคามจากพวกคอมมิวนิสต์
หลายคนตายเพราะต้องสงสัยเป็นแนวร่วมคอม(มิวนิสต์)
บางคนตายเพราะไม่ยอมจ่ายค่าสินบนและค่าปิดปาก
ก็เลยถูกปิดปากให้สงบเงียบไปที่ใต้ต้นยางพาราลึกราว 1-2 เมตร
มหาจรูญเจ้าอาวาสวัดบ้านในไร่ที่สนิทกันเล่าให้ฟังว่า
เผาผีมากมายจนเลิกกลัวผีไปเลยตอนจำพรรษาที่วัดโคกเน่า
เพื่อเตรียมสอบเปรียญธรรมห้าประโยค
มีตำนานว่า ครั้งหนึ่ง น้ำท่วมบ้านทุ่งหาดใหญ่อย่างหนัก
เลยทำพิธีศพไม่ได้ ต้องทิ้งศพไว้บนที่ดอน (โคก) ที่วัดนี้
จนศพเน่าไปเลยเพราะสมัยนั้นยังไม่มียาฉีดศพ
แต่ลางคนบอกเดิมคือ โคกมะนาว
มีต้นมะนาวขึ้นเองตามธรรมชาติ/คนปลูกหลายต้น
ต้นส้มแถวบ้านบางพื้นที่ก็เรียกว่า ต้นมะนาว
ชาวใต้เรียกสั้น ๆ ว่า นาว หรือ วัดโคกนาว
ที่มีตำนาน
ผีดุยายสปีด เพราะใกล้กับวัดนี้
จนโด่งดังไปทั่วประเทศกับชื่อฝรั่งแต่ผีไทย
ที่มาจากเลียนแบบภาพยนต์ เร็วกว่านรก
หรือบางคนว่ามาจาก สปีดแข่งนรก
ที่พวกแกงค์เสตอร์ขับรถเครื่อง(Bike)ประลองความเร็วกัน
แต่ยายสปีดชอบวิ่งไล่รถเครื่อง
กับชอบโบกขอซ้อนท้ายรถเครื่องคนที่ขับผ่านซอยนี้
ส่วนมากคนที่ขับรถเครื่องผ่าน
มักจะเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยฝั่งตรงข้าม
เพราะเป็นเส้นทางลัดตัดเข้าเมือง
ยังจำได้วันที่ตบหน้าวัยรุ่นที่ไว้ผมยาวหลายคน
ที่จับพวกมันได้บริเวณวงเวียนน้ำพุ
สถานที่เป็นจุดนัดพบชาวบ้านทุ่งหาดใหญ่
ตนเองสั่งให้พลตำรวจจับกล้อนผมวัยรุ่นไว้ผมยาวให้ดูทุเรศ
เพื่อให้พวกมันไปตัดผมสั้นให้เรียบร้อย
ในยุคนั้นเริ่มนิยมแฟชั่นฮิปปี้ ไว้ผมยาวกัน
หญิงก็ไม่ใช่ รู้แต่ว่าชาย แต่งตัวสกปรก
ถ้าทำตอนนี้คงได้ขึ้นโรงขึ้นศาลแน่
แต่ตอนนั้น L'etat est moi. รัฐคือข้า
สบายใจมากทำอะไรไม่มีใครกล้าคัดค้าน
แถมชาวบ้านชอบอีกเพราะไร้โจรภัย
ส่วนพวกโจรกับสายโจรต่างหนีออกจากบ้านทุ่งหาดใหญ่
หรือยอมมาเป็นบริวารรับใช้พวกตำรวจ
รวมทั้งไอ้แพะ สายข่าวโจรฝีมือดี
ที่ในอดีตที่มารับใช้อดีตนายพลตำรวจอย่างใกล้ชิด
ถึงขนาดโรงพักให้จดหมายน้อยไว้ติดตัวไอ้แพะ
ให้พกพาปืนประจำตัวได้เลย
โดยระบุว่า ช่วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติราชการ
(สมัยนั้นพกพาได้ภายในเขตอำเภอ
ถ้าออกนอกพื้นที่มักจะยอม ๆ กันแบบรู้ ๆ กัน)
จดหมายน้อยอนุญาตให้พกพาปืนได้
โรงพักออกแข่งกับพวกอำเภอบ้านทุ่งหาดใหญ่
ที่นิยมออกใบอนุญาตพกปืนแบบนี้
ให้พวกเถ้าแก่ หรือ อาสาสมัครรักษาดินแดน
แต่ของอำเภอศักดิ์ศรีดีกว่าพวกตนที่เป็นตำรวจบ้านนอก
วันที่มีคำสั่งย้ายตนไปประจำบางกอก
นายที่เสนอเรื่องย้ายให้ตนก็แนะนำว่า
ไอ้แพะ ไม่ควรรู้เรื่องอีกต่อไป
เพราะอันตรายจะมาถึงถ้าบ้านเมืองมีประชาธิปไตย
เลยกระซิบจ่าผ่องกับพวกหลอกไอ้แพะไปตามโจรนอกพื้นที่
แล้วเก็บมันที่ป่ายางทางไปสถานีถ่ายทอดโทรทัศน์
จบเรื่องไปสำหรับนกสองหัว กับ นกรู้
กลายเป็นนกไม่รู้ นกไม่มีหัว ตายสนิทปิดตำนาน
ที่ บางกอก
บ้านเมืองเริ่มมีประชาธิปไตย
มีการเลือกตั้ง มีการประท้วง มีการเดินขบวน
แม้ว่าตนเองจะทำหน้าที่เป็นนายตำรวจ
แต่ต้องปะทะกับเจอหน้าพวกนิสิตนักศึกษา กรรมกร ชาวนา เป็นประจำ
ในเรื่องการเดินขบวน การประท้วง ต่าง ๆ นานา
เป็นเรื่องอิดหน้าระอาใจมากในตอนนั้น
จะทำแบบที่เคยทำที่บ้านนอก/บ้านทุ่งหาดใหญ่
ก็ทำไม่ได้แล้วเพราะสื่อมวลชนจับตาจ้องมองอยู่
เพราะมีเกียรติประวัติ/ตำนานโด่งดังมากมาก่อนแล้ว
เลยต้องอดกลั้นปล่อยเลยตามเลย
วันดีเดือด มีการปลุกระดมทางวิทยุ
ให้มีการฆ่าคอมฯ (ฝ่ายซ้าย) ไม่บาป
เหมือนฆ่าปลาถวายพระ(อลัชชี/ปาราชิก)
สะใจยิ่งนักเลยไปร่วมออกรายการวิทยุ
โจมตีพวกแกวพวกยวนพวกนักศึกษา/ชาวบ้าน
ที่อยู่ด้านในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย
ที่จัดตั้งขึ้นโดยแกนนำเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยปิดภายหลัง
รวมทั้งตนเองได้นำทัพสมัครพรรคพวก
ที่เชื่อมั่นในกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อ
ว่าด้านในมีพวกฝ่ายซ้าย พวกยวน พวกคอมฯ อยู่
มีการขุดอุโมงค์สะสมอาวุธพร้อมต่อสู้
และมีทางออกไปที่แม่น้ำเจ้าพญา
ทำให้วันนั้น มีการฆ่าเพื่อระงับความซ่า
สะใจมากที่เห็นคนตายถูกย่ำยีบีฑาแบบไม่ใช่คน
แถมได้ออกอากาศประกาศวีรกรรมของตน
แต่พอยุคเปลี่ยนผ่านอีกหลายปีต่อมา
วีรกรรมของพวกตนกลายเป็นวีรเวร
เรื่องราวถูกขุดคุ้ยมีแต่คนสาปแช่ง
ไม่มีใครกล้าบากหน้า/ออกหน้ามายอมรับเรื่องนี้
ความเก่งกาจกลายเป็นความขี้ขลาด
เพราะความกลัวของชาวบ้านในวันนั้น ทำให้พวกตนมีวันนี้
แต่สำหรับช่วงเวลานี้กลายเป็นเรื่องขายขี้หน้าประชาชี
แต่วันข้างหน้าในอนาคตไม่รู้จะเป็นเช่นใด
เวรกรรมมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครรับรอง/ยืนยัน
เพราะเมื่อวานมีจริง ให้คนพาไปดูก็ไม่ได้
พรุ่งนี้ก็มีจริง แต่ให้คนพาไปดูก็ไม่ได้เช่นกัน
**ขวง**
อดีตนายพลตำรวจกำลังนั่งจิบกาแฟแบรนด์เมืองนอกในร้าน
ภายในร้านมีคนนั่งดื่มอยู่เพียงสองสามโต๊ะ
ประสาทสัมผัสและสมองสั่งการว่า
มีคนเดินมาหาและตรงเข้ามายืนตรงหน้า
" นาย นายไม่น่าสั่งให้คนฆ่าผมเลยนะ "
เสียงคนข้างหน้าบอกอดีตนายพลตำรวจ
" เฮ่ย ไอ้แพะ กูไม่ได้ฆ่านะ
พวกจ่าผ่องกับพวกอุ้มไปฆ่าเองนะ "
เสียงอดีตนายพลตำรวจตอบโต้
" ไม่จริงนะ นาย ผมได้ยินก่อนตายว่า
นายสั่งให้เก็บเพราะผมรู้มากไปแล้ว "
เสียงไอ้แพะสวนกลับทันที
" เออ กูขอโทษก็แล้วกัน
แต่กูก็ทำบุญไปให้ทุก ๆ ปีแล้ว
น่าจะจบ ๆ กันได้แล้ว
มันผ่านมาร่วม 30 ปีแล้ว "
อดีตนายพลตำรวจตอบโต้
" แต่ไม่คุ้มกับที่ผมทำให้นายเลย
นายระวังตัวให้ดี ขวงอีกหลายตัวรอนายอยู่ "
ไอ้แพะตอบแล้วเดินจากไป
อดีตนายพลตำรวจมองตามไอ้แพะ
ขวงที่เดินหายไปในม่านควัน
พลางรำลึกถึงครั้งหนึ่งในอดีตที่บ้านทุ่งหาดใหญ่
ที่ตนเคยเป็นสารวัตรมือปราบที่โด่งดัง
เพราะจับสายโจรและโจรยิงทิ้งจำนวนมาก
ส่วนใหญ่มาจากไอ้แพะเป็นคนชี้เป้า/หาข่าวให้
และบอกที่หลบซ่อน/สืบหาจนเจอที่พักพิงพวกโจร
ก่อนที่จะส่งศาลให้ปล่อยเข้าคุกไป
หรือทำวิสามัญฆาตกรรมโดยพาไปยิงทิ้งตามป่ายาง/ป่ารกร้าง
ที่หลัก ๆ คือ เส้นทางไปสนามบินนอกเมืองราว 8 กิโลเมตร
สมัยยังเป็นถนนสองเลนมีต้นสนทะเล 2 ข้างทาง
ที่คนจากหลายหน่วยงานมาร่วมปลูกไว้ 2 ข้างทาง
ถ้ดจากแนวสนก็เป็นป่ารกร้างของพวกซื้อที่ดินเก็งกำไร
ถ้าศพที่ถูกยิงทิ้งมักจะส่งวัดควนลัง
พ่อท่านแปลงเผากันจนเบื่อ เพราะใกล้วัดท่านมากที่สุด
อีกที่หนึ่ง คือ ป่ายางแถวทางไปสถานีถ่ายทอดโทรทัศน์
ที่ตอนนี้เจริญมากมีมหาวิทยาลัยบ้านนอกไปตั้งอยู่
ในสมัยนั้นเป็นเพียงถนนสองเลน
นาน ๆ จึงจะเห็นบ้านเรือน/ชาวบ้านเดินทางผ่าน
จำไม่ได้เหมือนกันว่าสายโจร กับ คนไม่พึงประสงค์
ถูกจับยิงทิ้งไปจำนวนมากเท่าใด
เพราะบ้านเมืองยุคนั้นปกครองด้วยเผด็จการทหาร
ต้องการความร่มเย็นและสงบสุข
รวมทั้งกลัวภัยคุกคามจากพวกคอมมิวนิสต์
หลายคนตายเพราะต้องสงสัยเป็นแนวร่วมคอม(มิวนิสต์)
บางคนตายเพราะไม่ยอมจ่ายค่าสินบนและค่าปิดปาก
ก็เลยถูกปิดปากให้สงบเงียบไปที่ใต้ต้นยางพาราลึกราว 1-2 เมตร
มหาจรูญเจ้าอาวาสวัดบ้านในไร่ที่สนิทกันเล่าให้ฟังว่า
เผาผีมากมายจนเลิกกลัวผีไปเลยตอนจำพรรษาที่วัดโคกเน่า
เพื่อเตรียมสอบเปรียญธรรมห้าประโยค
มีตำนานว่า ครั้งหนึ่ง น้ำท่วมบ้านทุ่งหาดใหญ่อย่างหนัก
เลยทำพิธีศพไม่ได้ ต้องทิ้งศพไว้บนที่ดอน (โคก) ที่วัดนี้
จนศพเน่าไปเลยเพราะสมัยนั้นยังไม่มียาฉีดศพ
แต่ลางคนบอกเดิมคือ โคกมะนาว
มีต้นมะนาวขึ้นเองตามธรรมชาติ/คนปลูกหลายต้น
ต้นส้มแถวบ้านบางพื้นที่ก็เรียกว่า ต้นมะนาว
ชาวใต้เรียกสั้น ๆ ว่า นาว หรือ วัดโคกนาว
ที่มีตำนาน ผีดุยายสปีด เพราะใกล้กับวัดนี้
จนโด่งดังไปทั่วประเทศกับชื่อฝรั่งแต่ผีไทย
ที่มาจากเลียนแบบภาพยนต์ เร็วกว่านรก
หรือบางคนว่ามาจาก สปีดแข่งนรก
ที่พวกแกงค์เสตอร์ขับรถเครื่อง(Bike)ประลองความเร็วกัน
แต่ยายสปีดชอบวิ่งไล่รถเครื่อง
กับชอบโบกขอซ้อนท้ายรถเครื่องคนที่ขับผ่านซอยนี้
ส่วนมากคนที่ขับรถเครื่องผ่าน
มักจะเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยฝั่งตรงข้าม
เพราะเป็นเส้นทางลัดตัดเข้าเมือง
ที่จับพวกมันได้บริเวณวงเวียนน้ำพุ
สถานที่เป็นจุดนัดพบชาวบ้านทุ่งหาดใหญ่
ตนเองสั่งให้พลตำรวจจับกล้อนผมวัยรุ่นไว้ผมยาวให้ดูทุเรศ
เพื่อให้พวกมันไปตัดผมสั้นให้เรียบร้อย
ในยุคนั้นเริ่มนิยมแฟชั่นฮิปปี้ ไว้ผมยาวกัน
หญิงก็ไม่ใช่ รู้แต่ว่าชาย แต่งตัวสกปรก
ถ้าทำตอนนี้คงได้ขึ้นโรงขึ้นศาลแน่
แต่ตอนนั้น L'etat est moi. รัฐคือข้า
สบายใจมากทำอะไรไม่มีใครกล้าคัดค้าน
แถมชาวบ้านชอบอีกเพราะไร้โจรภัย
ส่วนพวกโจรกับสายโจรต่างหนีออกจากบ้านทุ่งหาดใหญ่
หรือยอมมาเป็นบริวารรับใช้พวกตำรวจ
รวมทั้งไอ้แพะ สายข่าวโจรฝีมือดี
ที่ในอดีตที่มารับใช้อดีตนายพลตำรวจอย่างใกล้ชิด
ถึงขนาดโรงพักให้จดหมายน้อยไว้ติดตัวไอ้แพะ
ให้พกพาปืนประจำตัวได้เลย
โดยระบุว่า ช่วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติราชการ
(สมัยนั้นพกพาได้ภายในเขตอำเภอ
ถ้าออกนอกพื้นที่มักจะยอม ๆ กันแบบรู้ ๆ กัน)
จดหมายน้อยอนุญาตให้พกพาปืนได้
โรงพักออกแข่งกับพวกอำเภอบ้านทุ่งหาดใหญ่
ที่นิยมออกใบอนุญาตพกปืนแบบนี้
ให้พวกเถ้าแก่ หรือ อาสาสมัครรักษาดินแดน
แต่ของอำเภอศักดิ์ศรีดีกว่าพวกตนที่เป็นตำรวจบ้านนอก
วันที่มีคำสั่งย้ายตนไปประจำบางกอก
นายที่เสนอเรื่องย้ายให้ตนก็แนะนำว่า
ไอ้แพะ ไม่ควรรู้เรื่องอีกต่อไป
เพราะอันตรายจะมาถึงถ้าบ้านเมืองมีประชาธิปไตย
เลยกระซิบจ่าผ่องกับพวกหลอกไอ้แพะไปตามโจรนอกพื้นที่
แล้วเก็บมันที่ป่ายางทางไปสถานีถ่ายทอดโทรทัศน์
จบเรื่องไปสำหรับนกสองหัว กับ นกรู้
กลายเป็นนกไม่รู้ นกไม่มีหัว ตายสนิทปิดตำนาน
ที่ บางกอก
บ้านเมืองเริ่มมีประชาธิปไตย
มีการเลือกตั้ง มีการประท้วง มีการเดินขบวน
แม้ว่าตนเองจะทำหน้าที่เป็นนายตำรวจ
แต่ต้องปะทะกับเจอหน้าพวกนิสิตนักศึกษา กรรมกร ชาวนา เป็นประจำ
ในเรื่องการเดินขบวน การประท้วง ต่าง ๆ นานา
เป็นเรื่องอิดหน้าระอาใจมากในตอนนั้น
จะทำแบบที่เคยทำที่บ้านนอก/บ้านทุ่งหาดใหญ่
ก็ทำไม่ได้แล้วเพราะสื่อมวลชนจับตาจ้องมองอยู่
เพราะมีเกียรติประวัติ/ตำนานโด่งดังมากมาก่อนแล้ว
เลยต้องอดกลั้นปล่อยเลยตามเลย
วันดีเดือด มีการปลุกระดมทางวิทยุ
ให้มีการฆ่าคอมฯ (ฝ่ายซ้าย) ไม่บาป
เหมือนฆ่าปลาถวายพระ(อลัชชี/ปาราชิก)
สะใจยิ่งนักเลยไปร่วมออกรายการวิทยุ
โจมตีพวกแกวพวกยวนพวกนักศึกษา/ชาวบ้าน
ที่อยู่ด้านในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย
ที่จัดตั้งขึ้นโดยแกนนำเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยปิดภายหลัง
รวมทั้งตนเองได้นำทัพสมัครพรรคพวก
ที่เชื่อมั่นในกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อ
ว่าด้านในมีพวกฝ่ายซ้าย พวกยวน พวกคอมฯ อยู่
มีการขุดอุโมงค์สะสมอาวุธพร้อมต่อสู้
และมีทางออกไปที่แม่น้ำเจ้าพญา
ทำให้วันนั้น มีการฆ่าเพื่อระงับความซ่า
สะใจมากที่เห็นคนตายถูกย่ำยีบีฑาแบบไม่ใช่คน
แถมได้ออกอากาศประกาศวีรกรรมของตน
แต่พอยุคเปลี่ยนผ่านอีกหลายปีต่อมา
วีรกรรมของพวกตนกลายเป็นวีรเวร
เรื่องราวถูกขุดคุ้ยมีแต่คนสาปแช่ง
ไม่มีใครกล้าบากหน้า/ออกหน้ามายอมรับเรื่องนี้
ความเก่งกาจกลายเป็นความขี้ขลาด
เพราะความกลัวของชาวบ้านในวันนั้น ทำให้พวกตนมีวันนี้
แต่สำหรับช่วงเวลานี้กลายเป็นเรื่องขายขี้หน้าประชาชี
แต่วันข้างหน้าในอนาคตไม่รู้จะเป็นเช่นใด
เวรกรรมมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครรับรอง/ยืนยัน
เพราะเมื่อวานมีจริง ให้คนพาไปดูก็ไม่ได้
พรุ่งนี้ก็มีจริง แต่ให้คนพาไปดูก็ไม่ได้เช่นกัน