...คัดมาบางส่วนจากบทความของ อ.วีระ ธีระภัทรานนท์ ในงานเสวนาหัวข้อ "อนาคตประเทศไทยหลังเลือกตั้ง 24 มีนา"
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ จัดโดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
และโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มธ.
..." วีระ ธีระภัทรานนท์ : เลือกตั้งมีข้อดี กกต. พลาดมีเหตุผล สังคมแบ่งฝ่ายจนน่ากลัว "...
วีระ ธีระภัทรานนท์ นักจัดรายการวิทยุ นักเขียนชื่อดังเป็นองค์ปัจฉิมกฐาในเวทีอนาคตไทยหลังเลือกตั้ง ชวนดูด้านดีของการเลือกตั้ง ที่แม้อาจเปลี่ยนผ่านอย่างจำใจแต่ก็ยังเห็นการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ ชี้ให้เห็นรอยแยกสังคมที่สองฝั่งมีฐานมวลชนแทบเท่ากันในหลักสิบกว่าล้าน เปรียบอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่คนละปีก แจกใบเหลือง ส้ม แดง 250 ส.ว. นายกฯ คนนอกคือหมากเปลี่ยนเกม
29 มี.ค. 2562 วีระ ธีระภัทรานนท์ นักจัดรายการวิทยุ นักเขียน คอลัมนิสต์ ได้กล่าวปัจฉิมกฐา ในงานเสวนาหัวข้อ "อนาคตประเทศไทยหลังเลือกตั้ง 24 มีนา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ จัดโดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มธ. มีใจความดังนี้...
..." ฟังอาจารย์บางท่านตำหนิติเตียน กกต. มองแต่ด้านเลว ผมว่าทุกอย่างมีคำตอบหมด
บัตรที่เขย่ง 9 ใบผมว่าไม่ใช่ประเด็น คนไปใช้สิทธิมากกว่าบัตร 9 ใบ ถ้าอ่านเอกสาร กกต. อย่างพินิจพิจารณาจะพบว่าคนไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าบัตรที่ กกต. ปล่อยไป 9 ใบ
ส่วนที่เป็นบัตรเขย่งหมายความว่าเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่ง เกิดการลงจำนวนที่หน่วยผิด อีกอันหนึ่งคือไปแล้วขี้เกียจรอ เซ็นชื่อเสร็จแล้วกลับบ้าน ไม่อยากให้คนอื่นมาใช้สิทธิแทนตัวเอง
ประเด็นที่สอง คิดว่าเป็นเพราะเรามีอคติ เราคิดว่ามันมีบัตรงอกสี่ล้านใบ เป็นไปไม่ได้หรอก เขาจะโง่ได้ขนาดนั้นได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
ตอนที่อิทธิพร (บุญประคอง ประธาน กกต.) รุ่นน้องผมที่สวนกุหลาบและ มธ. เขามีศักดิ์ศรี เขาไม่เอาชื่อเสียงมาเสียกับเรื่องพวกนี้หรอก
คำอธิบายที่น่าเชื่อถือและเป็นไปได้คือ ตอนที่อิทธิพรมาพูดตอนสามทุ่ม ซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์ ตอนนั้นทำรายการสดที่ช่อง 9 อสมท. เขาอาจจะพูดด้วยความตื่นเต้น ไม่เข้าใจ ว่าตัวเลขบัตรที่เขาพูดตามที่ได้รับรายงานที่น่าจะราวร้อยละ 73-80 ของจำนวนโหวต หมายความว่าบัตรที่ไม่ได้อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ราว 2,400,000 ใบ ประกอบด้วยบัตรเลือกตั้งนอกเขต 17 มี.ค. และบัตรนอกราชอาณาจักร บวกกับที่ยังไม่ได้นับอีกล้านกว่า ก็คือที่บัตรงอกมาสี่ล้านใบ ผมก็รอคำตอบอยู่ว่ามาใช้เสียงร้อยละ 65 จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าคนมาใช้เสียงแค่ร้อยละ 65 การเลือกตั้งไม่ใช่อย่างที่เป็นแน่นอน
เมื่อเขามาแถลงเมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 62) แน่นอนว่าเขาตั้งใจจะแถลงวันศุกร์ทุกเขต ทุกหน่วย คะแนนแต่ละพรรคเป็นเท่าไหร่ ก็ไปเปิดอ่านกันเอาอยู่ในเว็บ กกต. นั่นแหละ 203 หน้า ทุกจังหวัด ทุกเขต ทุกหน่วยเลือกตั้ง แต่ละคนได้คนมาลงให้เท่าไหร่ มันอยู่ตรงนั้นหมด ต้องเริ่มจากข้อเท็จจริงตรงนี้ก่อนแล้วเราถึงจะพูดในทางวิจารณ์กันต่อไปได้
ผมเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องการอ่านหนังสือพิมพ์ และก็จะจับประเด็นที่ยังไม่ได้รับการอธิบาย
ข้อดีของการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้เราจะก่นด่าระบบการเลือกตั้ง ระบบจัดสรรปันส่วนอะไรต่อมิอะไร แต่มันเกิดพรรค อนค. ได้ ก็ต้องบอกว่านี่คือกติกา
ทำไม พท. ได้ ส.ส. น้อย เพราะว่าเขาได้ ส.ส. เขตเยอะ จำนวนที่เขาได้คือเจ็ดล้านกว่าเสียง ถ้าคำนวณเป็น เขาก็จะได้ ส.ส. แค่ 111 คนตามจำนวน ส.ส. พึงมี ฉะนั้นเมื่อเขาได้ 137 แล้ว เขาก็จะไม่ได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์แม้แต่คนเดียว
ถ้าเราเข้าใจระบบนี้ก็จะไม่แปลกใจ พท. เขาแข็งใน ส.ส. เขต ก็ต้องแลกด้วยการไม่ได้มาในระบบปาร์ตี้ลิสต์
ฉะนั้นการแตกพรรคเป็นยุทธวิธีเพื่อเก็บคะแนน แต่ยุทธวิธีนี้ไม่สำเร็จเพราะมีกรณี ทษช. ก็ต้องบอกว่าคุณ (พท.) ก็รู้เท่าเขา ทำไมธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) เขารู้แล้วเขาทำได้อีกแบบหนึ่ง เขาได้ ส.ส. เขต 30 คนเท่านั้น แต่เขาได้บัญชีรายชื่อ 58 คน รวมกันเป็น 88 คน อันนี้คล้ายกับว่าเรื่องเดียวกัน ถ้าเรามองให้ครบก็จะเห็นว่ามันก็มีนัยของสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น
แต่ก็นั่นแหละ ด้วยจำนวนที่มันบอกให้รู้ว่าสังคมไทยมีปัญหาจริงๆ
ผมนั่งรวมตัวเลข 7 พรรคพันธมิตรซึ่งผมไม่เชื่อว่าเมื่อถึงวันที่ 9 พ.ค. จะยังเป็น 7 พันธมิตร ส.ส. รวมกันของพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชาชาติ เพื่อชาติ พลังปวงชนไทย เศรษฐกิจใหม่ มีจำนวนไปลงให้เจ็ดพรรคมีราว 16,485,000 คน อีกกลุ่มที่เหลือจะเป็นกลุ่มเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้ มีราว 17,560,000 คน
หมายความว่าความแตก ความไปด้วยกันไม่ได้มันลงลึกเป็นก้อนในขนาดเท่าๆ กันสองก้อน
อันนี้เป็นเรื่องที่สำหรับคนที่ติดตามการเมืองน่าจะตกใจมากกว่าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลด้วยซ้ำไป
เราเห็น 'house of divide' ที่เหมือนอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่ต้องอยู่คนละปีก คนละชั้น การแบ่งแยกได้ขนาดครึ่งๆ แบบนี้ถือว่าน่ากลัวมากถ้าถามผม
อันนี้จะเป็นเครื่องชี้ทางตัวเลขจริงๆ ให้คนที่เกี่ยวข้องต้องคิดแล้วว่าถ้าทั้งสองฝ่ายแข็งเกินไป กร้าวเกินไป ไม่ถอย ไม่ยืดหยุ่น จะเดินหน้ากันไปเต็มที่ก็เห็นๆ อยู่แล้ว ด้วยจำนวนที่เท่ากันมันก็น่ากลัว "...
ที่มา :
https://prachatai.com/journal/2019/03/81780
..." วีระ ธีระภัทรานนท์ : เลือกตั้งมีข้อดี กกต. พลาดมีเหตุผล สังคมแบ่งฝ่ายจนน่ากลัว "...
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ จัดโดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
และโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มธ.
..." วีระ ธีระภัทรานนท์ : เลือกตั้งมีข้อดี กกต. พลาดมีเหตุผล สังคมแบ่งฝ่ายจนน่ากลัว "...
วีระ ธีระภัทรานนท์ นักจัดรายการวิทยุ นักเขียนชื่อดังเป็นองค์ปัจฉิมกฐาในเวทีอนาคตไทยหลังเลือกตั้ง ชวนดูด้านดีของการเลือกตั้ง ที่แม้อาจเปลี่ยนผ่านอย่างจำใจแต่ก็ยังเห็นการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ ชี้ให้เห็นรอยแยกสังคมที่สองฝั่งมีฐานมวลชนแทบเท่ากันในหลักสิบกว่าล้าน เปรียบอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่คนละปีก แจกใบเหลือง ส้ม แดง 250 ส.ว. นายกฯ คนนอกคือหมากเปลี่ยนเกม
29 มี.ค. 2562 วีระ ธีระภัทรานนท์ นักจัดรายการวิทยุ นักเขียน คอลัมนิสต์ ได้กล่าวปัจฉิมกฐา ในงานเสวนาหัวข้อ "อนาคตประเทศไทยหลังเลือกตั้ง 24 มีนา" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ จัดโดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มธ. มีใจความดังนี้...
..." ฟังอาจารย์บางท่านตำหนิติเตียน กกต. มองแต่ด้านเลว ผมว่าทุกอย่างมีคำตอบหมด
บัตรที่เขย่ง 9 ใบผมว่าไม่ใช่ประเด็น คนไปใช้สิทธิมากกว่าบัตร 9 ใบ ถ้าอ่านเอกสาร กกต. อย่างพินิจพิจารณาจะพบว่าคนไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าบัตรที่ กกต. ปล่อยไป 9 ใบ
ส่วนที่เป็นบัตรเขย่งหมายความว่าเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่ง เกิดการลงจำนวนที่หน่วยผิด อีกอันหนึ่งคือไปแล้วขี้เกียจรอ เซ็นชื่อเสร็จแล้วกลับบ้าน ไม่อยากให้คนอื่นมาใช้สิทธิแทนตัวเอง
ประเด็นที่สอง คิดว่าเป็นเพราะเรามีอคติ เราคิดว่ามันมีบัตรงอกสี่ล้านใบ เป็นไปไม่ได้หรอก เขาจะโง่ได้ขนาดนั้นได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
ตอนที่อิทธิพร (บุญประคอง ประธาน กกต.) รุ่นน้องผมที่สวนกุหลาบและ มธ. เขามีศักดิ์ศรี เขาไม่เอาชื่อเสียงมาเสียกับเรื่องพวกนี้หรอก
คำอธิบายที่น่าเชื่อถือและเป็นไปได้คือ ตอนที่อิทธิพรมาพูดตอนสามทุ่ม ซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์ ตอนนั้นทำรายการสดที่ช่อง 9 อสมท. เขาอาจจะพูดด้วยความตื่นเต้น ไม่เข้าใจ ว่าตัวเลขบัตรที่เขาพูดตามที่ได้รับรายงานที่น่าจะราวร้อยละ 73-80 ของจำนวนโหวต หมายความว่าบัตรที่ไม่ได้อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ราว 2,400,000 ใบ ประกอบด้วยบัตรเลือกตั้งนอกเขต 17 มี.ค. และบัตรนอกราชอาณาจักร บวกกับที่ยังไม่ได้นับอีกล้านกว่า ก็คือที่บัตรงอกมาสี่ล้านใบ ผมก็รอคำตอบอยู่ว่ามาใช้เสียงร้อยละ 65 จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าคนมาใช้เสียงแค่ร้อยละ 65 การเลือกตั้งไม่ใช่อย่างที่เป็นแน่นอน
เมื่อเขามาแถลงเมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 62) แน่นอนว่าเขาตั้งใจจะแถลงวันศุกร์ทุกเขต ทุกหน่วย คะแนนแต่ละพรรคเป็นเท่าไหร่ ก็ไปเปิดอ่านกันเอาอยู่ในเว็บ กกต. นั่นแหละ 203 หน้า ทุกจังหวัด ทุกเขต ทุกหน่วยเลือกตั้ง แต่ละคนได้คนมาลงให้เท่าไหร่ มันอยู่ตรงนั้นหมด ต้องเริ่มจากข้อเท็จจริงตรงนี้ก่อนแล้วเราถึงจะพูดในทางวิจารณ์กันต่อไปได้
ผมเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องการอ่านหนังสือพิมพ์ และก็จะจับประเด็นที่ยังไม่ได้รับการอธิบาย
ข้อดีของการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้เราจะก่นด่าระบบการเลือกตั้ง ระบบจัดสรรปันส่วนอะไรต่อมิอะไร แต่มันเกิดพรรค อนค. ได้ ก็ต้องบอกว่านี่คือกติกา
ทำไม พท. ได้ ส.ส. น้อย เพราะว่าเขาได้ ส.ส. เขตเยอะ จำนวนที่เขาได้คือเจ็ดล้านกว่าเสียง ถ้าคำนวณเป็น เขาก็จะได้ ส.ส. แค่ 111 คนตามจำนวน ส.ส. พึงมี ฉะนั้นเมื่อเขาได้ 137 แล้ว เขาก็จะไม่ได้ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์แม้แต่คนเดียว
ถ้าเราเข้าใจระบบนี้ก็จะไม่แปลกใจ พท. เขาแข็งใน ส.ส. เขต ก็ต้องแลกด้วยการไม่ได้มาในระบบปาร์ตี้ลิสต์
ฉะนั้นการแตกพรรคเป็นยุทธวิธีเพื่อเก็บคะแนน แต่ยุทธวิธีนี้ไม่สำเร็จเพราะมีกรณี ทษช. ก็ต้องบอกว่าคุณ (พท.) ก็รู้เท่าเขา ทำไมธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) เขารู้แล้วเขาทำได้อีกแบบหนึ่ง เขาได้ ส.ส. เขต 30 คนเท่านั้น แต่เขาได้บัญชีรายชื่อ 58 คน รวมกันเป็น 88 คน อันนี้คล้ายกับว่าเรื่องเดียวกัน ถ้าเรามองให้ครบก็จะเห็นว่ามันก็มีนัยของสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น
แต่ก็นั่นแหละ ด้วยจำนวนที่มันบอกให้รู้ว่าสังคมไทยมีปัญหาจริงๆ
ผมนั่งรวมตัวเลข 7 พรรคพันธมิตรซึ่งผมไม่เชื่อว่าเมื่อถึงวันที่ 9 พ.ค. จะยังเป็น 7 พันธมิตร ส.ส. รวมกันของพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชาชาติ เพื่อชาติ พลังปวงชนไทย เศรษฐกิจใหม่ มีจำนวนไปลงให้เจ็ดพรรคมีราว 16,485,000 คน อีกกลุ่มที่เหลือจะเป็นกลุ่มเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้ มีราว 17,560,000 คน
หมายความว่าความแตก ความไปด้วยกันไม่ได้มันลงลึกเป็นก้อนในขนาดเท่าๆ กันสองก้อน
อันนี้เป็นเรื่องที่สำหรับคนที่ติดตามการเมืองน่าจะตกใจมากกว่าเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลด้วยซ้ำไป
เราเห็น 'house of divide' ที่เหมือนอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่ต้องอยู่คนละปีก คนละชั้น การแบ่งแยกได้ขนาดครึ่งๆ แบบนี้ถือว่าน่ากลัวมากถ้าถามผม
อันนี้จะเป็นเครื่องชี้ทางตัวเลขจริงๆ ให้คนที่เกี่ยวข้องต้องคิดแล้วว่าถ้าทั้งสองฝ่ายแข็งเกินไป กร้าวเกินไป ไม่ถอย ไม่ยืดหยุ่น จะเดินหน้ากันไปเต็มที่ก็เห็นๆ อยู่แล้ว ด้วยจำนวนที่เท่ากันมันก็น่ากลัว "...
ที่มา : https://prachatai.com/journal/2019/03/81780