"แอตแลนติส !!" สถาพรพูดซ้ำชื่อนั้น "น้องแน่ใจนะ ว่าอ่านไม่ผิด ?"
"ไม่ผิดแน่นอนค่ะ ชื่อนี้สะกดง่ายมาก ถ้าคุณพี่เคยเรียนภาษาสุเมเรียนอย่างที่น้องเคยเรียน มันต้องอ่านอย่างนี้เลยค่ะ อ่านเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้" เอวาชี้แจง
"หมายความว่าที่เราเห็นกันอยู่นี่ คือภาษาสุเมเรียนจริงๆ หรือจ๊ะ ?"
"อืม...น้องเข้าใจว่า เป็นภาษาสุเมเรียนแบบโบราณค่ะ คือเก่าแก่กว่าที่น้องเคยเรียนเคยอ่าน เพราะอักษรหลายตัวก็ดูแปลกๆ แต่มันก็มีเค้า และหลายตัวก็เขียนเหมือนกัน" เอวาพยายามอธิบายตามที่เธอเข้าใจ แล้วอ่านซ้ำอีกครั้ง จากนั้นจึงชี้ไปตามทิศทางที่ป้ายนั้นบอก "เขาเขียนบอกว่า ทางนี้ จะนำไปสู่ทางเข้ามหานครแอตแลนติส"
"นำไปสู่ทางเข้า ก็แปลว่า นี่ยังไม่ใช่ทางตรง ต้องไปหาทางเข้าอีกทีหนึ่ง" สถาพรตีความสิ่งที่ป้ายนั้นบอก
"น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ"
"แล้ว น้อง เคยรู้จักมหานครชื่อนี้มาก่อนไหม ?"
"เหมือนเคยได้ยินท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังค่ะ ตอนที่น้องยังเป็นเด็ก" เอวาพยักหน้า แล้วก็ทำหน้าเศร้าหลังจากพูดถึงบิดา "อยากกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ กับพี่ยาเฟต์อะ เราจะมีโอกาสกลับไปไหมคะคุณพี่ ?"
"ต้องตรวจดูก่อนจ้ะ ว่ายานของเราเสียหายมากน้อยแค่ไหน จะไปจากที่นี่ได้ไหม"
"แล้วตกลง ตอนนี้ เราเอาไงกันต่อดีคะ จะเดินไปต่อตามทางที่ป้ายเขียนบอกไหม หรือจะกลับไปที่ยานก่อน ?"
สถาพรเกิดอาการลังเล จึงถามเธอกลับ "แล้วน้องคิดว่าไงจ๊ะ อยากไปต่อไหม หรืออยากกลับไปที่ยาน หิวหรือเปล่า ?" พูดจบแล้วเอามือจับที่ไหล่ของเธอและจ้องมองเธอด้วยความห่วงใย
"นิดหน่อยค่ะ ในยานมีอาหารบ้างไหมคะ ?"
"มีจ้ะ! มีห้องเสบียงเก็บอาหารอยู่นะ ทั้งอาหารกระป๋อง และเนื้อสด ปลาสดแช่แข็ง"
"คุณพี่รอบคอบจังเลยค่ะ แบบนี้เรื่องอาหาร พวกเราก็ไม่ต้องกังวล"
"มีห้องครัวให้น้องทำอาหารด้วยหละ ยานของเราแม้ไม่ใหญ่เท่ายานของวันชนะ แต่ก็ไม่เล็กหรอกนะ"
"ดีใจจัง มีห้องครัวด้วย!" เอวาพูดแล้วยิ้ม และยิ้มของเธอ ทำให้สถาพรรู้สึกผ่อนคลายเป็นอันมาก
"ตกลงน้องจะเอาไงจ๊ะ พี่ให้น้องตัดสินใจเลือกละกัน จะกลับไปที่ยานก่อน หรือจะเดินไปต่อ เพื่อสำรวจอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับ ?"
"อืม..ไปต่อก็ได้ค่ะ น้องยังไม่ค่อยหิวมากนัก ไปสำรวจข้างหน้าอีกสักครู่แล้วค่อยกลับไปที่ยานก็แล้วกันค่ะ"
"โอเคจ้ะ งั้นไปกัน!" ด็อกเตอร์หนุ่มพยักหน้า แล้วหันไปบอกสามหนุ่มอาข่า "ไป บรรจง อาบือ อาเจอะ เดินเที่ยวกันอีกนิดละกัน"
ทั้งห้าคน เดินลอดซุ้มประตูหินนั้นแล้วตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ มีแต่เสียงคลื่นทะเลซัดสาดเป็นระยะๆ และเสียงนกซึ่งฟังดูคล้ายนกนางนวลบินร้องอยู่เหนือทะเล
ครั้นเดินไปได้ราวสามร้อยเมตร ทุกคนก็มองเห็นสิ่งก่อสร้างอีกอย่างหนึ่ง เป็นเสาสองเสาซึ่งดูแล้วมีความสูงและมีขนาดใหญ่โตกว่าซุ้มประตูที่ผ่านมาเสียอีก และมีรูปปั้นของอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลาง
"อะไรอีกล่ะนั่น ซุ้มประตูอีกแล้วหรือ ?" สถาพรเพ่งมอง แต่ก็ยังเห็นไม่ชัด
"คงต้องเข้าไปดูใกล้ๆครับลูกพี่" บรรจงว่า
"โอเค ไป ! อีกนิดเดียว..."
คนทั้งห้าก้าวเดินใกล้เข้าไปๆ จนอยู่ในระยะห่างจากสิ่งก่อสร้างนั้นเพียงร้อยเมตร และทุกคนก็ยืนมองอย่างตื่นเต้น โดยเฉพาะสถาพร!
เพราะว่า ระหว่างเสาหินซึ่งใหญ่โตกว่าเสาที่ซุ้มประตูซึ่งเดินลอดออกมาถึงสามสี่เท่า และสูงลิบลิ่ว มีรูปปั้นของคนๆ หนึ่งยืนตระหง่านจังก้าอยู่ และกางแขนทั้งสองออกไป สองมือยันค้ำเสาทั้งสองไว้ !!
"เฮ้ยย!! นั่นมัน...
เฮอร์คิวลิส นี่นา !!!"
"คุณพี่ รู้จักเขาด้วยหรือคะ ?" เอวาหันมาถามยิ้มๆ
"รู้...รู้จ้ะ!" เขาพยักหน้าตอบรัวๆ แล้วก็นึกแปลกใจในการถามของภรรยา "น้องเหมือนว่าจะรู้จักเขาด้วย ใช่ไหมเนี่ย ?"
"ค่ะ! เขาเป็นตำนาน ท่านพ่อก็เคยเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง"
"แล้ว ที่ฐานของรูปปั้น มีอักษรแกะสลักไว้ด้วย นั่น!" สถาพรชี้ไปยังตำแหน่งฐานรูปปั้นซึ่งต่ำกว่าเท้าของเฮอร์คิวลิสเล็กน้อย "น้องลองอ่านสิจ๊ะ"
เอวาเดินเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อดูให้ชัดๆ จากนั้นจึงอ่านออกมาดังๆ ช้าๆ
"เสาศิลาแห่งเฮอร์คิวลิส หนทางไปสู่มหานครแอตแลนติส !!!"
สถาพรขนลุกซู่ !!
"มิน่าล่ะ!" เขาอุทาน และดีดนิ้วมือเปาะ
"อะไรหรือคะท่านพี่ เอ๊ยคุณพี่ ?" เอวาถามด้วยความสงสัย
"น้อง...ตอนนี้ เราอยู่ในกาลเวลาแห่งอดีตแล้ว และเป็นอดีตที่ยาวนานกว่าที่น้องเคยอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น น้องเรียกพี่อย่างเดิมก็ได้ ฟังแล้วรู้สึกว่ามันคลาสสิกดี" พูดจบแล้วก็อมยิ้ม
"อะไรคือคลาสสิกคะ ?" เอวาทำหน้างงๆ
"อ่า...จริงด้วยสิ น้องไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ ก็เลยไม่เข้าใจคำนี้...มันประมาณว่า รู้สึกประทับใจมากๆ และรู้สึกด้วยว่ามันมีค่า"
"หรือคะ ? งั้นก็ได้ค่ะ น้องขอกลับมาเรียกคุณพี่ว่า 'ท่านพี่' เหมือนเมื่อก่อนก็แล้วกัน แล้วที่เมื่อตะกี้นี้ พี่บอกว่า 'มิน่าล่ะ' นั้น มันเรื่องอะไรคะ"
"ก็รูปปั้นเฮอร์คิวลิส กับเสาหินทั้งสองต้นนี่น่ะสิน้อง"
"ทำไมหรือคะ ?" เอวายังมึนงง
"คืออย่างนี้จ้ะ..." สถาพรเริ่มอธิบาย "คนในโลกปัจจุบัน...หมายถึง ในโลกที่พวกเราเพิ่งจากมา เขาหาที่ตั้งของ 'เสาหินของเฮอร์คิวลิส' กันมานาน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่ ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆ นานา"
"แล้วพวกคนเหล่านั้น พวกเขาไม่เห็นรูปปั้นเฮอร์คิวลิสนี่หรอกหรือคะ ?"
"ไม่เห็นจ้ะ ไม่มีทางเห็นได้หรอก"
"ทำไมอ้ะ ???"
"เพราะว่า มันจมน้ำจมดินไปแล้วน่ะสิจ๊ะ!" ด็อกเตอร์หนุ่มเฉลย "ที่นี่..ต่อมา จะจมลงไปใต้ทะเลหมดเลยจ้ะ"
"ท่านพี่ รู้ได้ไงคะ ?" เอวาถามด้วยความรู้สึกทึ่งและสงสัย
"มีบันทึกของคนโบราณเขียนบอกไว้น่ะจ้ะ"
"อ้อ...ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะท่านพี่" เธอพยักหน้า แล้วกล่าวต่อไป "น่าเสียดายนะคะ ที่ต่อไปในอนาคตข้างหน้า รูปปั้นนี้จะหายไป" แหงนหน้ามองดูใบหน้าของเฮอร์คิวลิสอีกครั้ง แล้วมองไปยังหนทางไกลข้างหน้าซึ่งเฮอร์คิวลิสเหมือนกำลังจ้องมองอยู่
"มหานครแอตแลนติส อยู่ข้างหน้าโน้น...ท่านพี่ดูสิคะ" เอวาพูดพลางชี้มือไปยังทางยาวไกลข้างหน้า
"เห็นแล้วจ้ะ ยังอีกไกลเหมือนกัน มองเห็นบ้านเรือนเล็กนิดเดียวเอง" สถาพรจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยชวน "เราเดินกันมาไกลแล้ว ตอนนี้ กลับไปที่ยานกันเถอะนะ ทุกๆ คน"
"ค่ะ ท่านพี่" เอวาพยักหน้า "จะได้กลับขึ้นไปบนยาน แล้วเตรียมทานอาหารกัน น้องอยากเข้าไปในห้องครัวบนยานแล้วหละค่ะ"
"โอเค งั้นไปกันเลยจ้ะ"
คนทั้งห้าจึงหันหลังให้กับรูปปั้นเฮอร์คิวลิสและเสาหิน เดินกลับไปตามทิศทางที่เดินมาเพื่อกลับไปหายาน SAVIOR FALCON
แต่ทว่า...พอเดินใกล้เข้าไปจนมองเห็นยานจอดอยู่ข้างหน้าไกลลิบๆ ทุกคนก็ต้องตกใจไปตามๆ กัน!
เพราะตอนนี้ รอบๆ ยาน "เหยี่ยวกู้ภัย" นั้น ถูกล้อมไว้โดยคนกลุ่มหนึ่ง กะจากสายตาแล้วประมาณร้อยกว่าคน !!!
"เวร !!" สถาพรอุทาน "ยุ่งแล้วละสิทีนี้ !! อาวุธอะไรก็ไม่ได้เอามา!!"
"เดี๋ยวน้องจะลองพูดคุยกับพวกเขาดูค่ะ! อาจจะคุยกันได้ หวังว่าพวกเขาคงจะเป็นมิตรนะคะท่านพี่ ไปกันต่อเถอะค่ะ!"
"เอา! ลองดูจ้ะน้อง...ขออย่าให้มีเรื่องกันเลยนะ สาธุ!"
แล้วทั้งห้าคน ก็เดินเข้าไปพร้อมกัน...
พอเข้าไปใกล้ เหลือระยะห่างเพียงร้อยกว่าเมตร ก็ถูกคนเหล่านั้นพบเห็น ! หลายคนส่งเสียงดังโหวกเหวกและชี้มือมายังทั้งห้าคน และเริ่มพากันเดินเข้ามาหาทันที !! สุดท้ายทั้งห้าคนก็ถูกล้อมวง
ทุกคนในกลุ่ม ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับคล้ายชาวกรีกโบราณ แต่สถาพรสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าของพวกเขาดูสะอาดสะอ้าน ถูกตัดเย็บอย่างดีเยี่ยม มีทั้งผ้าไหม ผ้าแพร และผ้าบางอย่างซึ่งดูเหมือนจะเป็นใยสังเคราะห์! รองเท้าก็มีทั้งที่เป็นรองเท้าแตะซึ่งทำด้วยหนังอย่างดี ของบางคนก็เป็นรองเท้าหุ้มส้น สีของเสื้อผ้าและเครื่องประดับก็ดูสดใส บางคนก็สวมเสื้อผ้ามีลักษณะสะท้อนแสง
ในความรู้สึกของสถาพร เขาคิดว่า ถ้าคนเหล่านี้ เป็นคนโบราณในยุคอารยธรรมเก่าแก่มากกว่าหมื่นปีจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์เอามากๆ เพราะพวกเขาดูแล้วมีความศิวิไลซ์มากยิ่งกว่าชนในสมัยหลังๆเสียอีก
หลังจากพวกเขาเข้ามาห้อมล้อมผู้มาจากอนาคตกาลทั้งห้าแล้ว ชายวัยราวห้าสิบเศษๆ คนหนึ่ง ผิวขาว ใบหน้าเข้ม ไว้หนวดเคราซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีการดูแลเอาใจใส่อย่างดีมิใช่ปล่อยให้รุ่มร่ามตามธรรมชาติ ท่าทางมีสง่าราศี เหมือนเป็นหัวหน้าหรือผู้นำชุมชน เดินถือคธาประดับพลอยสีน้ำเงินเม็ดใหญ่และผ่านการเจียระไนมาอย่างดีจนส่องประกายสะท้อนแสงวูบวาบออกมาจากกลุ่ม แล้วพูดภาษาที่อาคันตุกะทั้งห้าไม่สามารถเข้าใจได้ แม้แต่เอวา!
หญิงสาวผู้รอดจากเมืองคนบาป พยายามฟังชายคนนั้นพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้แม้สักคำเดียว เธอทำหน้ามึนงง ขมวดคิ้ว จนชายคนนั้นหยุดพูด จึงได้ช่อง ลองพูดภาษาสุเมเรียนออกไป
"ขออภัยค่ะ ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด ไม่เข้าใจภาษาที่ท่านพูด ท่านพูดภาษาสุเมเรียนได้ไหม ?"
ชายคนนั้นพร้อมทั้งคนอื่นๆ ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที หลายคนเริ่มพูดจากันในลักษณะซุบซิบ ต่างจากทีแรกซึ่งพูดกันด้วยเสียงดังเต็มที่
ชายคนนั้นยกมือขวาขึ้นเหมือนห้ามทุกคนพูดเสียงดังหรือบอกให้ทุกคนเงียบเสียง แล้วตอบเอวาด้วยภาษาเดียวกันด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ
"ข้าก็มีเชื้อสายของชาวสุเมเรีย เจ้าและเหล่าสหายของเจ้า มาจากดินแดนแคว้นใดกันหรือ แม่สาวน้อย ? "
"ดีจังเลยค่ะ ท่านพี่! เขาพูดภาษาของน้องได้!" เอวาแสดงท่าทางดีใจหันไปบอกกับสถาพร แล้วหันกลับไปตอบคำถาม "พวกข้า มาจากแดนไกลเจ้าค่ะ ไกลมากๆ ด้วย"
"ไกลมาก จนต้องใช้พาหนะบินลำนี้ จึงมาถึงที่นี่ได้ อย่างนั้นหรือ ?" ชายคนนั้นกล่าวพลางชี้มือไปยังยาน SAVIOR FALCON
"ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ"
"ใครเป็นเจ้าของยานพาหนะลำนี้ ?"
"ชายผู้นี้เจ้าค่ะ" เอวาตอบและคว้าแขนสถาพร
"เขาเป็นอะไรกับเจ้า ? "
"เป็นสามีเจ้าค่ะ"
"ให้เขาคุยกับข้า"
"ไม่ได้เจ้าค่ะ!" เอวาสั่นศีรษะ "เขาพูดภาษาสุเมเรียนไม่ได้ และภาษาอื่นก็เช่นเดียวกัน ท่านน้า โปรดพูดกับข้าต่อไปเถิดเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้าหนุ่มสามคนนั่นล่ะ ?" เขาชี้มายังสามหนุ่มอาข่า
"เหมือนกันเจ้าค่ะ มีข้าแต่เพียงผู้เดียวที่พูดกับท่านรู้เรื่อง"
"อืม....เช่นนั้นรึ ?" เขายกมือขึ้นลูบหนวดเครา แล้วบอกกับเอวา "ขอข้าปรึกษากับเหล่าบริวารของข้าสักครู่ ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับพวกเจ้าดี แต่เจ้าไม่ต้องวิตกกังวลอันใดดอก! เคราะห์ดีที่ยานบินของพวกเจ้ามาจอดถูกที่แล้ว ! ถ้าพวกเจ้าไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้าม พวกเจ้าคงลำบากกันแน่ๆ !!"
คำกล่าวนั้นสร้างความสงสัยและข้องใจแก่เอวาเป็นอันมาก แต่พอเธอกำลังจะอ้าปากซักถาม ชายผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนั้นก็หันไปพูดคุยกับคนบางคนในกลุ่มนานราวสามสี่นาที แล้วจึงหันกลับมาพูดกับเธออีกครั้ง
"ข้ามีคำถามสำคัญ พวกเจ้า มิได้เป็นผู้หลบหนีมาจากแอตแลนติสใต้ ใช่ไหม ?"
"ผู้หลบหนี จากแอตแลนติสใต้ ???" เอวาพูดทวนวลีนั้นแล้วทำหน้างงๆ แล้วรีบปฏิเสธ "พวกของข้ามิได้หลบหนีจากที่ใดมาทั้งนั้นเจ้าค่ะ"
"ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร หลงทางมาหรือ ?"
เอวาหันไปหาสถาพรและแปลสิ่งที่ชายคนนั้นถามให้เขาฟัง และหลังจากที่เขาแนะนำคำตอบให้แล้วจึงหันกลับไปตอบชายคนนั้นอีกครั้ง "อันที่จริง จะใช้คำว่า หลงทาง ก็ถูกเหมือนกันเจ้าค่ะ เพราะว่า ยานบินของพวกเราเกิดอุบัติเหตุอย่างคาดไม่ถึง ถูกฟ้าผ่าในขณะที่สามีของข้ากำลังจะนำยานลงจอด ณ บริเวณท้ายของยาน และถูกกระแสแห่งพลังงานอันวิปริตแปรปรวนชักนำมายังที่นี่"
คนเหล่านั้นฮือฮากันขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบของเอวา
ชายผู้นำพยักหน้าขึ้นๆ ลงๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะกล่าว "สรุปแล้วก็คือ พวกเจ้า มาถึงที่นี่ โดยมิได้ตั้งใจ!"
"ถูกต้องเจ้าค่ะ ท่านน้า" เอวารีบพยักหน้าตอบ
"เจ้าบอกว่า พวกเจ้า มาจากแดนที่ไกลมาก มากเพียงไหนกัน ? และดินแดนที่พวกเจ้าจากมา มีนามว่ากระไร ?"
เอวาหันไปปรึกษากับสถาพรอีกครั้ง แล้วจึงหันมาตอบ
"พวกเรา มาจากประเทศหนึ่งในทวีปทางตะวันออกไกลเจ้าค่ะ เราเรียกชื่อทวีปนั้นว่า เอเชีย ท่านน้าและทุกๆท่านอาจรู้จัก"
(ต่อครับ)
💫🕛💫🚀 แดนศิวิไลซ์ ( หลงกาล ภาค 2 ) ตอนที่ 2 🚀💫🕛💫
"ไม่ผิดแน่นอนค่ะ ชื่อนี้สะกดง่ายมาก ถ้าคุณพี่เคยเรียนภาษาสุเมเรียนอย่างที่น้องเคยเรียน มันต้องอ่านอย่างนี้เลยค่ะ อ่านเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้" เอวาชี้แจง
"หมายความว่าที่เราเห็นกันอยู่นี่ คือภาษาสุเมเรียนจริงๆ หรือจ๊ะ ?"
"อืม...น้องเข้าใจว่า เป็นภาษาสุเมเรียนแบบโบราณค่ะ คือเก่าแก่กว่าที่น้องเคยเรียนเคยอ่าน เพราะอักษรหลายตัวก็ดูแปลกๆ แต่มันก็มีเค้า และหลายตัวก็เขียนเหมือนกัน" เอวาพยายามอธิบายตามที่เธอเข้าใจ แล้วอ่านซ้ำอีกครั้ง จากนั้นจึงชี้ไปตามทิศทางที่ป้ายนั้นบอก "เขาเขียนบอกว่า ทางนี้ จะนำไปสู่ทางเข้ามหานครแอตแลนติส"
"นำไปสู่ทางเข้า ก็แปลว่า นี่ยังไม่ใช่ทางตรง ต้องไปหาทางเข้าอีกทีหนึ่ง" สถาพรตีความสิ่งที่ป้ายนั้นบอก
"น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ"
"แล้ว น้อง เคยรู้จักมหานครชื่อนี้มาก่อนไหม ?"
"เหมือนเคยได้ยินท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังค่ะ ตอนที่น้องยังเป็นเด็ก" เอวาพยักหน้า แล้วก็ทำหน้าเศร้าหลังจากพูดถึงบิดา "อยากกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ กับพี่ยาเฟต์อะ เราจะมีโอกาสกลับไปไหมคะคุณพี่ ?"
"ต้องตรวจดูก่อนจ้ะ ว่ายานของเราเสียหายมากน้อยแค่ไหน จะไปจากที่นี่ได้ไหม"
"แล้วตกลง ตอนนี้ เราเอาไงกันต่อดีคะ จะเดินไปต่อตามทางที่ป้ายเขียนบอกไหม หรือจะกลับไปที่ยานก่อน ?"
สถาพรเกิดอาการลังเล จึงถามเธอกลับ "แล้วน้องคิดว่าไงจ๊ะ อยากไปต่อไหม หรืออยากกลับไปที่ยาน หิวหรือเปล่า ?" พูดจบแล้วเอามือจับที่ไหล่ของเธอและจ้องมองเธอด้วยความห่วงใย
"นิดหน่อยค่ะ ในยานมีอาหารบ้างไหมคะ ?"
"มีจ้ะ! มีห้องเสบียงเก็บอาหารอยู่นะ ทั้งอาหารกระป๋อง และเนื้อสด ปลาสดแช่แข็ง"
"คุณพี่รอบคอบจังเลยค่ะ แบบนี้เรื่องอาหาร พวกเราก็ไม่ต้องกังวล"
"มีห้องครัวให้น้องทำอาหารด้วยหละ ยานของเราแม้ไม่ใหญ่เท่ายานของวันชนะ แต่ก็ไม่เล็กหรอกนะ"
"ดีใจจัง มีห้องครัวด้วย!" เอวาพูดแล้วยิ้ม และยิ้มของเธอ ทำให้สถาพรรู้สึกผ่อนคลายเป็นอันมาก
"ตกลงน้องจะเอาไงจ๊ะ พี่ให้น้องตัดสินใจเลือกละกัน จะกลับไปที่ยานก่อน หรือจะเดินไปต่อ เพื่อสำรวจอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับ ?"
"อืม..ไปต่อก็ได้ค่ะ น้องยังไม่ค่อยหิวมากนัก ไปสำรวจข้างหน้าอีกสักครู่แล้วค่อยกลับไปที่ยานก็แล้วกันค่ะ"
"โอเคจ้ะ งั้นไปกัน!" ด็อกเตอร์หนุ่มพยักหน้า แล้วหันไปบอกสามหนุ่มอาข่า "ไป บรรจง อาบือ อาเจอะ เดินเที่ยวกันอีกนิดละกัน"
ทั้งห้าคน เดินลอดซุ้มประตูหินนั้นแล้วตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ มีแต่เสียงคลื่นทะเลซัดสาดเป็นระยะๆ และเสียงนกซึ่งฟังดูคล้ายนกนางนวลบินร้องอยู่เหนือทะเล
ครั้นเดินไปได้ราวสามร้อยเมตร ทุกคนก็มองเห็นสิ่งก่อสร้างอีกอย่างหนึ่ง เป็นเสาสองเสาซึ่งดูแล้วมีความสูงและมีขนาดใหญ่โตกว่าซุ้มประตูที่ผ่านมาเสียอีก และมีรูปปั้นของอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลาง
"อะไรอีกล่ะนั่น ซุ้มประตูอีกแล้วหรือ ?" สถาพรเพ่งมอง แต่ก็ยังเห็นไม่ชัด
"คงต้องเข้าไปดูใกล้ๆครับลูกพี่" บรรจงว่า
"โอเค ไป ! อีกนิดเดียว..."
คนทั้งห้าก้าวเดินใกล้เข้าไปๆ จนอยู่ในระยะห่างจากสิ่งก่อสร้างนั้นเพียงร้อยเมตร และทุกคนก็ยืนมองอย่างตื่นเต้น โดยเฉพาะสถาพร!
เพราะว่า ระหว่างเสาหินซึ่งใหญ่โตกว่าเสาที่ซุ้มประตูซึ่งเดินลอดออกมาถึงสามสี่เท่า และสูงลิบลิ่ว มีรูปปั้นของคนๆ หนึ่งยืนตระหง่านจังก้าอยู่ และกางแขนทั้งสองออกไป สองมือยันค้ำเสาทั้งสองไว้ !!
"เฮ้ยย!! นั่นมัน...เฮอร์คิวลิส นี่นา !!!"
"คุณพี่ รู้จักเขาด้วยหรือคะ ?" เอวาหันมาถามยิ้มๆ
"รู้...รู้จ้ะ!" เขาพยักหน้าตอบรัวๆ แล้วก็นึกแปลกใจในการถามของภรรยา "น้องเหมือนว่าจะรู้จักเขาด้วย ใช่ไหมเนี่ย ?"
"ค่ะ! เขาเป็นตำนาน ท่านพ่อก็เคยเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง"
"แล้ว ที่ฐานของรูปปั้น มีอักษรแกะสลักไว้ด้วย นั่น!" สถาพรชี้ไปยังตำแหน่งฐานรูปปั้นซึ่งต่ำกว่าเท้าของเฮอร์คิวลิสเล็กน้อย "น้องลองอ่านสิจ๊ะ"
เอวาเดินเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อดูให้ชัดๆ จากนั้นจึงอ่านออกมาดังๆ ช้าๆ
"เสาศิลาแห่งเฮอร์คิวลิส หนทางไปสู่มหานครแอตแลนติส !!!"
สถาพรขนลุกซู่ !!
"มิน่าล่ะ!" เขาอุทาน และดีดนิ้วมือเปาะ
"อะไรหรือคะท่านพี่ เอ๊ยคุณพี่ ?" เอวาถามด้วยความสงสัย
"น้อง...ตอนนี้ เราอยู่ในกาลเวลาแห่งอดีตแล้ว และเป็นอดีตที่ยาวนานกว่าที่น้องเคยอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น น้องเรียกพี่อย่างเดิมก็ได้ ฟังแล้วรู้สึกว่ามันคลาสสิกดี" พูดจบแล้วก็อมยิ้ม
"อะไรคือคลาสสิกคะ ?" เอวาทำหน้างงๆ
"อ่า...จริงด้วยสิ น้องไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ ก็เลยไม่เข้าใจคำนี้...มันประมาณว่า รู้สึกประทับใจมากๆ และรู้สึกด้วยว่ามันมีค่า"
"หรือคะ ? งั้นก็ได้ค่ะ น้องขอกลับมาเรียกคุณพี่ว่า 'ท่านพี่' เหมือนเมื่อก่อนก็แล้วกัน แล้วที่เมื่อตะกี้นี้ พี่บอกว่า 'มิน่าล่ะ' นั้น มันเรื่องอะไรคะ"
"ก็รูปปั้นเฮอร์คิวลิส กับเสาหินทั้งสองต้นนี่น่ะสิน้อง"
"ทำไมหรือคะ ?" เอวายังมึนงง
"คืออย่างนี้จ้ะ..." สถาพรเริ่มอธิบาย "คนในโลกปัจจุบัน...หมายถึง ในโลกที่พวกเราเพิ่งจากมา เขาหาที่ตั้งของ 'เสาหินของเฮอร์คิวลิส' กันมานาน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่ ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆ นานา"
"แล้วพวกคนเหล่านั้น พวกเขาไม่เห็นรูปปั้นเฮอร์คิวลิสนี่หรอกหรือคะ ?"
"ไม่เห็นจ้ะ ไม่มีทางเห็นได้หรอก"
"ทำไมอ้ะ ???"
"เพราะว่า มันจมน้ำจมดินไปแล้วน่ะสิจ๊ะ!" ด็อกเตอร์หนุ่มเฉลย "ที่นี่..ต่อมา จะจมลงไปใต้ทะเลหมดเลยจ้ะ"
"ท่านพี่ รู้ได้ไงคะ ?" เอวาถามด้วยความรู้สึกทึ่งและสงสัย
"มีบันทึกของคนโบราณเขียนบอกไว้น่ะจ้ะ"
"อ้อ...ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะท่านพี่" เธอพยักหน้า แล้วกล่าวต่อไป "น่าเสียดายนะคะ ที่ต่อไปในอนาคตข้างหน้า รูปปั้นนี้จะหายไป" แหงนหน้ามองดูใบหน้าของเฮอร์คิวลิสอีกครั้ง แล้วมองไปยังหนทางไกลข้างหน้าซึ่งเฮอร์คิวลิสเหมือนกำลังจ้องมองอยู่
"มหานครแอตแลนติส อยู่ข้างหน้าโน้น...ท่านพี่ดูสิคะ" เอวาพูดพลางชี้มือไปยังทางยาวไกลข้างหน้า
"เห็นแล้วจ้ะ ยังอีกไกลเหมือนกัน มองเห็นบ้านเรือนเล็กนิดเดียวเอง" สถาพรจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยชวน "เราเดินกันมาไกลแล้ว ตอนนี้ กลับไปที่ยานกันเถอะนะ ทุกๆ คน"
"ค่ะ ท่านพี่" เอวาพยักหน้า "จะได้กลับขึ้นไปบนยาน แล้วเตรียมทานอาหารกัน น้องอยากเข้าไปในห้องครัวบนยานแล้วหละค่ะ"
"โอเค งั้นไปกันเลยจ้ะ"
คนทั้งห้าจึงหันหลังให้กับรูปปั้นเฮอร์คิวลิสและเสาหิน เดินกลับไปตามทิศทางที่เดินมาเพื่อกลับไปหายาน SAVIOR FALCON
แต่ทว่า...พอเดินใกล้เข้าไปจนมองเห็นยานจอดอยู่ข้างหน้าไกลลิบๆ ทุกคนก็ต้องตกใจไปตามๆ กัน!
เพราะตอนนี้ รอบๆ ยาน "เหยี่ยวกู้ภัย" นั้น ถูกล้อมไว้โดยคนกลุ่มหนึ่ง กะจากสายตาแล้วประมาณร้อยกว่าคน !!!
"เวร !!" สถาพรอุทาน "ยุ่งแล้วละสิทีนี้ !! อาวุธอะไรก็ไม่ได้เอามา!!"
"เดี๋ยวน้องจะลองพูดคุยกับพวกเขาดูค่ะ! อาจจะคุยกันได้ หวังว่าพวกเขาคงจะเป็นมิตรนะคะท่านพี่ ไปกันต่อเถอะค่ะ!"
"เอา! ลองดูจ้ะน้อง...ขออย่าให้มีเรื่องกันเลยนะ สาธุ!"
แล้วทั้งห้าคน ก็เดินเข้าไปพร้อมกัน...
พอเข้าไปใกล้ เหลือระยะห่างเพียงร้อยกว่าเมตร ก็ถูกคนเหล่านั้นพบเห็น ! หลายคนส่งเสียงดังโหวกเหวกและชี้มือมายังทั้งห้าคน และเริ่มพากันเดินเข้ามาหาทันที !! สุดท้ายทั้งห้าคนก็ถูกล้อมวง
ทุกคนในกลุ่ม ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับคล้ายชาวกรีกโบราณ แต่สถาพรสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าของพวกเขาดูสะอาดสะอ้าน ถูกตัดเย็บอย่างดีเยี่ยม มีทั้งผ้าไหม ผ้าแพร และผ้าบางอย่างซึ่งดูเหมือนจะเป็นใยสังเคราะห์! รองเท้าก็มีทั้งที่เป็นรองเท้าแตะซึ่งทำด้วยหนังอย่างดี ของบางคนก็เป็นรองเท้าหุ้มส้น สีของเสื้อผ้าและเครื่องประดับก็ดูสดใส บางคนก็สวมเสื้อผ้ามีลักษณะสะท้อนแสง
ในความรู้สึกของสถาพร เขาคิดว่า ถ้าคนเหล่านี้ เป็นคนโบราณในยุคอารยธรรมเก่าแก่มากกว่าหมื่นปีจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์เอามากๆ เพราะพวกเขาดูแล้วมีความศิวิไลซ์มากยิ่งกว่าชนในสมัยหลังๆเสียอีก
หลังจากพวกเขาเข้ามาห้อมล้อมผู้มาจากอนาคตกาลทั้งห้าแล้ว ชายวัยราวห้าสิบเศษๆ คนหนึ่ง ผิวขาว ใบหน้าเข้ม ไว้หนวดเคราซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีการดูแลเอาใจใส่อย่างดีมิใช่ปล่อยให้รุ่มร่ามตามธรรมชาติ ท่าทางมีสง่าราศี เหมือนเป็นหัวหน้าหรือผู้นำชุมชน เดินถือคธาประดับพลอยสีน้ำเงินเม็ดใหญ่และผ่านการเจียระไนมาอย่างดีจนส่องประกายสะท้อนแสงวูบวาบออกมาจากกลุ่ม แล้วพูดภาษาที่อาคันตุกะทั้งห้าไม่สามารถเข้าใจได้ แม้แต่เอวา!
หญิงสาวผู้รอดจากเมืองคนบาป พยายามฟังชายคนนั้นพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้แม้สักคำเดียว เธอทำหน้ามึนงง ขมวดคิ้ว จนชายคนนั้นหยุดพูด จึงได้ช่อง ลองพูดภาษาสุเมเรียนออกไป
"ขออภัยค่ะ ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด ไม่เข้าใจภาษาที่ท่านพูด ท่านพูดภาษาสุเมเรียนได้ไหม ?"
ชายคนนั้นพร้อมทั้งคนอื่นๆ ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที หลายคนเริ่มพูดจากันในลักษณะซุบซิบ ต่างจากทีแรกซึ่งพูดกันด้วยเสียงดังเต็มที่
ชายคนนั้นยกมือขวาขึ้นเหมือนห้ามทุกคนพูดเสียงดังหรือบอกให้ทุกคนเงียบเสียง แล้วตอบเอวาด้วยภาษาเดียวกันด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ
"ข้าก็มีเชื้อสายของชาวสุเมเรีย เจ้าและเหล่าสหายของเจ้า มาจากดินแดนแคว้นใดกันหรือ แม่สาวน้อย ? "
"ดีจังเลยค่ะ ท่านพี่! เขาพูดภาษาของน้องได้!" เอวาแสดงท่าทางดีใจหันไปบอกกับสถาพร แล้วหันกลับไปตอบคำถาม "พวกข้า มาจากแดนไกลเจ้าค่ะ ไกลมากๆ ด้วย"
"ไกลมาก จนต้องใช้พาหนะบินลำนี้ จึงมาถึงที่นี่ได้ อย่างนั้นหรือ ?" ชายคนนั้นกล่าวพลางชี้มือไปยังยาน SAVIOR FALCON
"ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ"
"ใครเป็นเจ้าของยานพาหนะลำนี้ ?"
"ชายผู้นี้เจ้าค่ะ" เอวาตอบและคว้าแขนสถาพร
"เขาเป็นอะไรกับเจ้า ? "
"เป็นสามีเจ้าค่ะ"
"ให้เขาคุยกับข้า"
"ไม่ได้เจ้าค่ะ!" เอวาสั่นศีรษะ "เขาพูดภาษาสุเมเรียนไม่ได้ และภาษาอื่นก็เช่นเดียวกัน ท่านน้า โปรดพูดกับข้าต่อไปเถิดเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้าหนุ่มสามคนนั่นล่ะ ?" เขาชี้มายังสามหนุ่มอาข่า
"เหมือนกันเจ้าค่ะ มีข้าแต่เพียงผู้เดียวที่พูดกับท่านรู้เรื่อง"
"อืม....เช่นนั้นรึ ?" เขายกมือขึ้นลูบหนวดเครา แล้วบอกกับเอวา "ขอข้าปรึกษากับเหล่าบริวารของข้าสักครู่ ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับพวกเจ้าดี แต่เจ้าไม่ต้องวิตกกังวลอันใดดอก! เคราะห์ดีที่ยานบินของพวกเจ้ามาจอดถูกที่แล้ว ! ถ้าพวกเจ้าไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้าม พวกเจ้าคงลำบากกันแน่ๆ !!"
คำกล่าวนั้นสร้างความสงสัยและข้องใจแก่เอวาเป็นอันมาก แต่พอเธอกำลังจะอ้าปากซักถาม ชายผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนั้นก็หันไปพูดคุยกับคนบางคนในกลุ่มนานราวสามสี่นาที แล้วจึงหันกลับมาพูดกับเธออีกครั้ง
"ข้ามีคำถามสำคัญ พวกเจ้า มิได้เป็นผู้หลบหนีมาจากแอตแลนติสใต้ ใช่ไหม ?"
"ผู้หลบหนี จากแอตแลนติสใต้ ???" เอวาพูดทวนวลีนั้นแล้วทำหน้างงๆ แล้วรีบปฏิเสธ "พวกของข้ามิได้หลบหนีจากที่ใดมาทั้งนั้นเจ้าค่ะ"
"ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร หลงทางมาหรือ ?"
เอวาหันไปหาสถาพรและแปลสิ่งที่ชายคนนั้นถามให้เขาฟัง และหลังจากที่เขาแนะนำคำตอบให้แล้วจึงหันกลับไปตอบชายคนนั้นอีกครั้ง "อันที่จริง จะใช้คำว่า หลงทาง ก็ถูกเหมือนกันเจ้าค่ะ เพราะว่า ยานบินของพวกเราเกิดอุบัติเหตุอย่างคาดไม่ถึง ถูกฟ้าผ่าในขณะที่สามีของข้ากำลังจะนำยานลงจอด ณ บริเวณท้ายของยาน และถูกกระแสแห่งพลังงานอันวิปริตแปรปรวนชักนำมายังที่นี่"
คนเหล่านั้นฮือฮากันขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบของเอวา
ชายผู้นำพยักหน้าขึ้นๆ ลงๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะกล่าว "สรุปแล้วก็คือ พวกเจ้า มาถึงที่นี่ โดยมิได้ตั้งใจ!"
"ถูกต้องเจ้าค่ะ ท่านน้า" เอวารีบพยักหน้าตอบ
"เจ้าบอกว่า พวกเจ้า มาจากแดนที่ไกลมาก มากเพียงไหนกัน ? และดินแดนที่พวกเจ้าจากมา มีนามว่ากระไร ?"
เอวาหันไปปรึกษากับสถาพรอีกครั้ง แล้วจึงหันมาตอบ "พวกเรา มาจากประเทศหนึ่งในทวีปทางตะวันออกไกลเจ้าค่ะ เราเรียกชื่อทวีปนั้นว่า เอเชีย ท่านน้าและทุกๆท่านอาจรู้จัก"
(ต่อครับ)