มาพบกันในวันที่อุณหภูมิระอุไปทั่วทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะถนนหนทาง อาคารสูง อาคารไม่สูง ต่างพบกับอากาศที่ร้อนเหลือจนเหงื่อไหลหลายปีป แต่ไม่ว่าอุณหภูมิจะร้อนแค่ไหน ประเทศไทยต้องไปต่อ (ไม่ใช่ห้องราชดำเนินนะ)
ตอนนี้ก็เป็นอีกตอนที่เสี่ยใช้ประสบการณ์ที่มีในการดูหนังซามูไรมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน จึงมีฉากเลือดสาด ขอให้คอยหลบดาบ ของมาซามูเนะให้ดีนะขอรับ
ถึงเวลาจะไม่คอยใคร แต่หัวใจของเสี่ยยังคอยคนอ่านความเดิมตอนที่แล้วอยู่ตรงนี้นะจะนายจ๋า
เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 52)
https://pantip.com/topic/38678957
บทที่ 53 โฉด ตัด โหด
สุบินพกความโกรธมาเต็มอก เพราะเขาถูกปรีชาเรียกเข้าไปสั่งสอนด้วยการตบหน้า เพื่อให้สุบินหลาบจำ แต่ความหวังดีที่จะให้บทเรียนสุบินกลับสร้างความเจ็บแค้นให้หนุ่มเลือดร้อนผู้นี้ เพราะเขาเปรียบเสมือนมือขวา ที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กองทัพหนู
แต่ความโกรธแค้นของเขาก็เก็บไว้ในใจเท่านั้น เพราะเมื่อคิดจะทำงานขายข่าวก็ต้องเก็บความรู้สึกของตนเองให้มากที่สุด แต่เมื่อความรู้สึกอัดอั้นภายในใจมันมากล้น สุบินก็มานั่งดื่มสุราเงียบๆ คนเดียว ทันใดนั้นสายตาของสุบินเหลือบไปเห็น เป้าหมายที่หลุดมือคือนายสมหมาย
สุบินจึงวางเงินที่ข้างแก้ว แล้วติดตามสมหมายไปอย่างห่างๆ เพราะเขาต้องการจะจัดการเป้าหมายที่เขาทำงานพลาดให้ได้ สุบินติดตามสมหมายไปถึงบ้านร้างแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าสุบินไม่เคยเกรงกลัวสถานที่แบบไหน เพราะสุบินก็มีฝีมือพอตัว และปืนสั้นแบบพกซ่อนก็มีกระสุนบรรจุอยู่หกนัด
เมื่อเข้าไปภายในบ้าน สุบินก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เพราะภายในบ้านกลับตกแต่งอย่างสวยงาม สุบินใช้ประสาทรับรู้ที่ไวเหนือคนปกติ ติดตามคนที่อยู่ในบ้าน แต่ที่เขารับรู้ มันมีคนมากกว่าสี่คน สุบินอุทานออกมา
“หรือมัน คือกับดัก”
สุบินจึงถอยหลังเพื่อจะออกจากบ้านหลังนี้ แต่ทันใดนั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“จะรีบไปไหนคุณสุบิน”
สุบินใช้มือล้วงเข้าไปในข้างเอวจับกระชับปืนในมือเพื่อเตรียมพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น แล้วหันมามองเจ้าของเสียง สุบินอุทานออกมา
“คุณเอกเดช นี่มันอะไรกัน”
เอกเดชเดินลงมาจากจากบันใด โดยมีลูกสมุนติดตาม รวมทั้งนายสมหมายด้วย
“พี่สุบิน ผมอยากแนะนำให้พี่รู้จักทีมงานของผม และเป็นทีมงานที่จะส่งเสริมให้พี่สุบิน เปลี่ยนสถานะจากหนูบิน ให้กลายเป็น หนูใหญ่แทน…ไอ้ปรีชา”
สุบินกรอกตาคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดจึงทราบได้ทันทีว่า กระชากปืนออกมาจ่อไปที่เอกเดช ตวาดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“อย่าคิดว่าฉันจะทำตามแผนของแก ไม่มีทาง พี่ปรีชาเป็นเหมือนพี่ชาย เหมือนพ่อของข้า ไม่มีทางที่ข้าจะทรยศพ่อของตัวเองอย่างเด็ดขาด ไม่มีทางโว้ย”
สมุนของเอกเดชสี่ รวมทั้งสมหมายกระชากปืนออกมาจ่อไปที่ร่างสุบินเช่นเดียวกัน สุบินยืนนิ่งแต่ความกลัวก็พุ่งซ่านไปทั่วทั้งตัว เอกเดชเดินเข้าหาสุบินอย่างไม่เกรงกลัว มือที่ล้วงกระเป๋าผายออก แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ
“พวกแกออกไปรอข้างนอกก่อน ข้าอยากจะคุยกับพี่สุบินอย่างเปิดอก ออกไป ได้แล้ว”
ทั้งสี่คนโค้งศีรษะลง แล้วเดินออกจากบ้านไปรอข้างนอก ในขณะสุบินยังถือปืนจ่อที่กลางหน้าผากของเอกเดชที่เดินมายืนต่อหน้า ใช้หน้าผากของตนชนไปที่ปลายกระบอกปืนในมือของสุบิน
“ถ้าพี่สุบินไม่อยากเป็นหัวหน้าของกองทัพหนู ครอบครองอาณาจักรแทนไอ้ปรีชา พี่ก็…ลั่นไกใส่ตรงนี้ ตรงกลางหน้าผากของผม นายเอกเดชคนนี้ ได้เลย”
สุบินกัดฟันแน่น นิ้วที่กำลังจะเหนี่ยวไกสั่น เขานึกถึงปรีชาที่ตบหน้าสั่งสอนจนหน้าหัน ความโกรธในตอนนั้นเกือบทำให้เขาชักปืนพกกระบอกเล็กยิงแสกหน้าปรีชาให้ตายทันที แต่ความเกรงกลัวในฝีมือและความโหดร้ายของปรีชาสั่งให้ต้องสงบใจไว้ ที่สำคัญการครอบครองกองทัพหนูนั่นหมายถึง การควบคุมจำนวนเงินมหาศาลอีกด้วย เอกเดชเห็นแววตาที่หวั่นไหว จึงเอ่ยต่อ
“พี่บิน ไม่อยาก ชำระแค้น คนที่มัน บังอาจมาทำร้ายจิตใจของพี่หรือครับ โอกาสอยู่ในมือของพี่แล้ว พี่จะไม่คว้าเอาไว้ หรือครับ”
ดวงตาที่เปี่ยมด้วยอำนาจที่เหนือกว่า ทำให้สุบินเกิดความหวั่นไหวมากขึ้น มากขึ้น เขาเริ่มนึกถึงความโกรธที่พุ่งจนเกือบระงับไม่อยู่ ตอนที่เขาอธิบายว่าปรีชากำลังถูกเอกเดชปั่นหัว แต่ปรีชาก็กลับด่าเขาว่า ไม่ยอมรับความผิด หาข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นผิด ในดวงตาของสุบินที่บอกให้เอกเดชทราบว่ากำลังโกรธ แน่นอนว่ามันคือโอกาสที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น
“ต่อให้เราทำเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าไอ้คนที่เป็นหัวหน้ามันคิดผิด ไอ้สิ่งที่ถูกของเรา มันก็กลายเป็นความผิด แต่ทุกอย่างแกไขได้ แต่พี่ ต้องใจกล้า กล้าที่จะเติบโต กล้าที่จะเป็นเจ้าของ กองทัพหนู ด้วยตนเอง”
สุบินถอนลมหายใจอย่างแรง ก่อนลดปืนลงข้างลำตัว แล้วเหน็บเข้าเอว เอกเดชหัวเราะเบาๆ แล้วตบบ่าสุบินอย่างเป็นกันเอง
“แกไม่รู้หรือไง ว่าพี่ปรีชามีฝีมือมากแค่ไหน แถมยังเป็นคนที่ระวังตัว แกจะมีปัญญาอะไรไปฆ่ามัน”
เอกเดชยิ้มกว้าง ก่อนกระซิบข้างหู ดวงตาของสุบินเป็นประกายวาววับ
“ถ้าพี่สุบินพร้อมจะทำตามคำแนะนำของผม ก็แจ้งผมมาที่เบอร์นี้ ต่อไปพี่ก็จะเป็นคนบริหารกองทัพหนู เป็นคนรับเงิน แล้วแจกจ่ายให้น้องๆ ส่วนเงินสนับสนุนที่เคยได้จาก จิ้งจอกขาว ต่อไปก็มารับที่ผม ดีไหมครับ และผมจะให้เพิ่มกับพี่ อีก 10% เฉพาะพี่คนเดียว”
สุบินเหลือบตามองเอกเดช พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เอ่ยออกมาทันที พร้อมคืนเบอร์โทรคืนใส่มือให้เจ้าของ
“ถ้างั้นคุณเอก จะรอผมโทรหาให้เสียเวลาทำไม พรุ่งนี้เราจัดการตามแผนของคุณเอกเดชได้เลย และต่อไปผมจะขอเป็นหน่วยข่าวให้คุณเอกเดช รับใช้คุณเอกเดชอย่างเต็มที่ ดีไหมครับ เจ้านาย”
เอกเดชหัวเราะเสียงดัง แล้วตบบ่าสุบินอย่างหนักแน่น เดินออกจากบ้านทันที โดยที่มีสายตาที่แฝงด้วยความร้ายกาจของสุบิน ก่อนคำรามออกมา
“พี่ปรีชา…ไว้ผม จะทำบุญไปให้นะครับ เพราะถ้าผมจะใหญ่ มันก็ต้องเหี้ยม เหี้ยมให้มากกว่า พี่ หึๆๆๆ”
สุบินเหยียดยิ้มก่อนเดินออกจากบ้าน เพื่อไปจัดการตามแผนที่เอกเดชวางไว้ และอีกแผนที่กำลังดำเนินอย่างต่อเนื่อง คือยึดจิ้งจอกขาวจาก มาริสามาเป็นของเอกเดช เพื่อขยายความแข็งแกร่งของสมิงทมิฬ
+++++++++++++++++
สิทธิชัย นั่งร่วมวงรับประทานอาหาร โดยดรุณีเป็นแม่ครัว ทั้งสี่กินข้าวด้วยกัน โดยไม่มีใครพูดอะไร เพราะสิทธิชัย ยังอดระแวงจอมไม่ได้ เช่นเดียวกับจอมที่ยังระแวงทั้งสอง การกินอาหารจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม ดรุณีจึงเอ่ยออกมาเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น
“ตอนที่ณีกินข้าวกับพี่จอม ณีเคยถามว่า คนที่รับมือยากที่สุดเท่าที่เคยสู้มา รู้ไหมว่าพี่จอมบอกว่าใคร”
สิทธิชัยเหลือบมองจอมก่อนจะเอ่ยออกมา พร้อมรอยยิ้มที่แฝงด้วยเลศนัย
“ไม่บอกก็รู้ ว่าคนที่รับมือยากที่สุดก็คือ…คนใกล้ตัวพี่จอมที่สุด…ใช่ไหม”
รอยยิ้มของจอมปรากฎขึ้นมันเหลือบตามองหน้าภรรยาด้วยสายตาวิบวับ ดรุณีหน้าแดงก่ำ ก่อนจะแก้เขิน
“ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
ก่อนก้มหน้ากินข้าวด้วยความเขิน จางหลี่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จึงเอ่ยออกมาบ้าง
“เลยไม่ได้รู้เลยว่า เป็นใครที่รับมือยากที่สุด ในความคิดของพี่จอม”
จอมเคี้ยวอาหารเสร็จจึงพูดออกมาบ้าง เหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ข้าพูดไปอย่างงั้นแหละ หาเรื่องคุยกับเมียไปเรื่อย ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น”
จางหลี่ใช้ตะเกียบคีบผักกระเฉดขึ้นมาใส่ถ้วยข้าว
“พูดแบบนี้เลยอยากรู้ซะแล้ว บอกหน่อยละกันพี่จอม”
จอมยิ้มก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่จริงจัง
“ก็พวกเอ็งทั้งคู่นั่นแหละ เอ็งก็เหมือนมีพลังแฝงไม่สิ้นสุด ส่วนไอ้สิทธิชัยก็ไวเหลือเกิน แถมยิงแม่น แล้วที่สำคัญ เอ็งทั้งคู่ มีจิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว อย่างที่ข้าไม่เคยเจอมาก่อน”
ทั้งสามมองดวงตากันด้วยแววตาที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน สิทธิชัยหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยออกมา
“หึๆๆ ไม่น่าเชื่อเลย ว่าไม่กี่วันก่อนเรายังไล่ฆ่ากันอยู่เลย ตอนนี้กลับมานั่งกินข้าวด้วยกัน เรื่องนี้คงจะไม่เกิดขึ้นถ้า อาซ้อไม่พาพวกเรามาเจอกัน”
สายตาของสิทธิชัยมองมายังดรุณีด้วยสายตาอ่อนโยน และให้เกียรติเหมือนญาติสนิทอีกคน ดรุณีหน้าแดงยิ่งขึ้น เมื่อเธอกลายเป็นอาซ้อไปเสียแล้ว จอมเหลียวมองหญิงสาวก่อนเอ่ยออกมา
“ข้ารู้สึกว่าเป็นคนจริงๆ ก็ตอนที่ได้อยู่กับณีนี่แหละ มันทำให้ข้ารู้จักความหวาดกลัวต่อการสูญเสีย รู้จักว่าอะไร สำคัญที่สุดในชีวิต และรู้จักคำว่า รัก”
จางหลี่นั้นรู้สึกถึงความรักที่ทั้งสองมีให้กัน เมื่อกินอาหารเสร็จ ดรุณีก็ขอรับหน้าที่นำชามไปล้าง โดยให้ทั้งสามไปนั่งคุยกันที่ระเบียงบ้าน พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่เบื้องหน้า แค่เวลายังไม่ถึง 2 ทุ่มแต่ก็มืดสนิทพระจันทร์จึงสว่างไสวเป็นพิเศษทั้งสามยืนสูบบุหรี่มองพระจันทร์ด้วยดวงตาที่แตกต่าง ก่อนที่จอมจะเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ข้าขอโทษที่เคยไล่ตามฆ่าเอ็งทั้งสอง”
สิทธิชัยยิ้มก่อนจะเอ่ยออกมา
“พี่จอมอย่าพูดอะไรแบบนั้น มีคำสุภาษิตที่ผมเคยได้ยินมาคือคำว่า ไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน บางครั้งการต่อสู้ก็ทำให้เรารู้จักกันมากยิ่งขึ้น”
จางหลี่จึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ผมเองก็เคยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหัวหน้าตอนอยู่ไทเป เราทั้งคู่ก็ต่อสู้กันอย่างน้อยก็สามครั้ง สุดท้ายก็กลายมาเป็นลูกน้องหัวหน้าจนได้”
“ลูกน้องลูกเนิ้งอะไร ฉันก็บอกแกตั้งหลายครั้ง ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ช่วยกันทำงานเท่านั้น นอกเวลาก็คือเพื่อน คือพี่น้องกัน”
จอมได้ยินคำว่าพี่น้อง ก็อดสูบบุหรี่เข้าไปอย่างแรงไม่ได้ สิทธิชัยจึงเอ่ยถามออกมา
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าบอกพวกเราได้นะ”
จอมถอนลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าเอง ก็ไม่เคยมีครอบครัวกับใคร เมื่อก่อนข้ามีเฮียกล้า เป็นเหมือนพี่ชาย เขาก็ตายไป เคยเหมือนมีน้องชาย ที่ชื่อไอ้โจ ก็มาตายไปเพราะถูกช้างเหยียบ แล้วก็ไอ้เอก มันก็กลายเป็นคนชั่วร้ายที่คิดฆ่าข้าเพื่อ…”
เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 53)
ตอนนี้ก็เป็นอีกตอนที่เสี่ยใช้ประสบการณ์ที่มีในการดูหนังซามูไรมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน จึงมีฉากเลือดสาด ขอให้คอยหลบดาบ ของมาซามูเนะให้ดีนะขอรับ
ถึงเวลาจะไม่คอยใคร แต่หัวใจของเสี่ยยังคอยคนอ่านความเดิมตอนที่แล้วอยู่ตรงนี้นะจะนายจ๋า
เหนือ ตะวัน (ตอนที่ 52)
https://pantip.com/topic/38678957
บทที่ 53 โฉด ตัด โหด
สุบินพกความโกรธมาเต็มอก เพราะเขาถูกปรีชาเรียกเข้าไปสั่งสอนด้วยการตบหน้า เพื่อให้สุบินหลาบจำ แต่ความหวังดีที่จะให้บทเรียนสุบินกลับสร้างความเจ็บแค้นให้หนุ่มเลือดร้อนผู้นี้ เพราะเขาเปรียบเสมือนมือขวา ที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กองทัพหนู
แต่ความโกรธแค้นของเขาก็เก็บไว้ในใจเท่านั้น เพราะเมื่อคิดจะทำงานขายข่าวก็ต้องเก็บความรู้สึกของตนเองให้มากที่สุด แต่เมื่อความรู้สึกอัดอั้นภายในใจมันมากล้น สุบินก็มานั่งดื่มสุราเงียบๆ คนเดียว ทันใดนั้นสายตาของสุบินเหลือบไปเห็น เป้าหมายที่หลุดมือคือนายสมหมาย
สุบินจึงวางเงินที่ข้างแก้ว แล้วติดตามสมหมายไปอย่างห่างๆ เพราะเขาต้องการจะจัดการเป้าหมายที่เขาทำงานพลาดให้ได้ สุบินติดตามสมหมายไปถึงบ้านร้างแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าสุบินไม่เคยเกรงกลัวสถานที่แบบไหน เพราะสุบินก็มีฝีมือพอตัว และปืนสั้นแบบพกซ่อนก็มีกระสุนบรรจุอยู่หกนัด
เมื่อเข้าไปภายในบ้าน สุบินก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เพราะภายในบ้านกลับตกแต่งอย่างสวยงาม สุบินใช้ประสาทรับรู้ที่ไวเหนือคนปกติ ติดตามคนที่อยู่ในบ้าน แต่ที่เขารับรู้ มันมีคนมากกว่าสี่คน สุบินอุทานออกมา
“หรือมัน คือกับดัก”
สุบินจึงถอยหลังเพื่อจะออกจากบ้านหลังนี้ แต่ทันใดนั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“จะรีบไปไหนคุณสุบิน”
สุบินใช้มือล้วงเข้าไปในข้างเอวจับกระชับปืนในมือเพื่อเตรียมพร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น แล้วหันมามองเจ้าของเสียง สุบินอุทานออกมา
“คุณเอกเดช นี่มันอะไรกัน”
เอกเดชเดินลงมาจากจากบันใด โดยมีลูกสมุนติดตาม รวมทั้งนายสมหมายด้วย
“พี่สุบิน ผมอยากแนะนำให้พี่รู้จักทีมงานของผม และเป็นทีมงานที่จะส่งเสริมให้พี่สุบิน เปลี่ยนสถานะจากหนูบิน ให้กลายเป็น หนูใหญ่แทน…ไอ้ปรีชา”
สุบินกรอกตาคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดจึงทราบได้ทันทีว่า กระชากปืนออกมาจ่อไปที่เอกเดช ตวาดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“อย่าคิดว่าฉันจะทำตามแผนของแก ไม่มีทาง พี่ปรีชาเป็นเหมือนพี่ชาย เหมือนพ่อของข้า ไม่มีทางที่ข้าจะทรยศพ่อของตัวเองอย่างเด็ดขาด ไม่มีทางโว้ย”
สมุนของเอกเดชสี่ รวมทั้งสมหมายกระชากปืนออกมาจ่อไปที่ร่างสุบินเช่นเดียวกัน สุบินยืนนิ่งแต่ความกลัวก็พุ่งซ่านไปทั่วทั้งตัว เอกเดชเดินเข้าหาสุบินอย่างไม่เกรงกลัว มือที่ล้วงกระเป๋าผายออก แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงที่ทรงอำนาจ
“พวกแกออกไปรอข้างนอกก่อน ข้าอยากจะคุยกับพี่สุบินอย่างเปิดอก ออกไป ได้แล้ว”
ทั้งสี่คนโค้งศีรษะลง แล้วเดินออกจากบ้านไปรอข้างนอก ในขณะสุบินยังถือปืนจ่อที่กลางหน้าผากของเอกเดชที่เดินมายืนต่อหน้า ใช้หน้าผากของตนชนไปที่ปลายกระบอกปืนในมือของสุบิน
“ถ้าพี่สุบินไม่อยากเป็นหัวหน้าของกองทัพหนู ครอบครองอาณาจักรแทนไอ้ปรีชา พี่ก็…ลั่นไกใส่ตรงนี้ ตรงกลางหน้าผากของผม นายเอกเดชคนนี้ ได้เลย”
สุบินกัดฟันแน่น นิ้วที่กำลังจะเหนี่ยวไกสั่น เขานึกถึงปรีชาที่ตบหน้าสั่งสอนจนหน้าหัน ความโกรธในตอนนั้นเกือบทำให้เขาชักปืนพกกระบอกเล็กยิงแสกหน้าปรีชาให้ตายทันที แต่ความเกรงกลัวในฝีมือและความโหดร้ายของปรีชาสั่งให้ต้องสงบใจไว้ ที่สำคัญการครอบครองกองทัพหนูนั่นหมายถึง การควบคุมจำนวนเงินมหาศาลอีกด้วย เอกเดชเห็นแววตาที่หวั่นไหว จึงเอ่ยต่อ
“พี่บิน ไม่อยาก ชำระแค้น คนที่มัน บังอาจมาทำร้ายจิตใจของพี่หรือครับ โอกาสอยู่ในมือของพี่แล้ว พี่จะไม่คว้าเอาไว้ หรือครับ”
ดวงตาที่เปี่ยมด้วยอำนาจที่เหนือกว่า ทำให้สุบินเกิดความหวั่นไหวมากขึ้น มากขึ้น เขาเริ่มนึกถึงความโกรธที่พุ่งจนเกือบระงับไม่อยู่ ตอนที่เขาอธิบายว่าปรีชากำลังถูกเอกเดชปั่นหัว แต่ปรีชาก็กลับด่าเขาว่า ไม่ยอมรับความผิด หาข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นผิด ในดวงตาของสุบินที่บอกให้เอกเดชทราบว่ากำลังโกรธ แน่นอนว่ามันคือโอกาสที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น
“ต่อให้เราทำเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าไอ้คนที่เป็นหัวหน้ามันคิดผิด ไอ้สิ่งที่ถูกของเรา มันก็กลายเป็นความผิด แต่ทุกอย่างแกไขได้ แต่พี่ ต้องใจกล้า กล้าที่จะเติบโต กล้าที่จะเป็นเจ้าของ กองทัพหนู ด้วยตนเอง”
สุบินถอนลมหายใจอย่างแรง ก่อนลดปืนลงข้างลำตัว แล้วเหน็บเข้าเอว เอกเดชหัวเราะเบาๆ แล้วตบบ่าสุบินอย่างเป็นกันเอง
“แกไม่รู้หรือไง ว่าพี่ปรีชามีฝีมือมากแค่ไหน แถมยังเป็นคนที่ระวังตัว แกจะมีปัญญาอะไรไปฆ่ามัน”
เอกเดชยิ้มกว้าง ก่อนกระซิบข้างหู ดวงตาของสุบินเป็นประกายวาววับ
“ถ้าพี่สุบินพร้อมจะทำตามคำแนะนำของผม ก็แจ้งผมมาที่เบอร์นี้ ต่อไปพี่ก็จะเป็นคนบริหารกองทัพหนู เป็นคนรับเงิน แล้วแจกจ่ายให้น้องๆ ส่วนเงินสนับสนุนที่เคยได้จาก จิ้งจอกขาว ต่อไปก็มารับที่ผม ดีไหมครับ และผมจะให้เพิ่มกับพี่ อีก 10% เฉพาะพี่คนเดียว”
สุบินเหลือบตามองเอกเดช พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เอ่ยออกมาทันที พร้อมคืนเบอร์โทรคืนใส่มือให้เจ้าของ
“ถ้างั้นคุณเอก จะรอผมโทรหาให้เสียเวลาทำไม พรุ่งนี้เราจัดการตามแผนของคุณเอกเดชได้เลย และต่อไปผมจะขอเป็นหน่วยข่าวให้คุณเอกเดช รับใช้คุณเอกเดชอย่างเต็มที่ ดีไหมครับ เจ้านาย”
เอกเดชหัวเราะเสียงดัง แล้วตบบ่าสุบินอย่างหนักแน่น เดินออกจากบ้านทันที โดยที่มีสายตาที่แฝงด้วยความร้ายกาจของสุบิน ก่อนคำรามออกมา
“พี่ปรีชา…ไว้ผม จะทำบุญไปให้นะครับ เพราะถ้าผมจะใหญ่ มันก็ต้องเหี้ยม เหี้ยมให้มากกว่า พี่ หึๆๆๆ”
สุบินเหยียดยิ้มก่อนเดินออกจากบ้าน เพื่อไปจัดการตามแผนที่เอกเดชวางไว้ และอีกแผนที่กำลังดำเนินอย่างต่อเนื่อง คือยึดจิ้งจอกขาวจาก มาริสามาเป็นของเอกเดช เพื่อขยายความแข็งแกร่งของสมิงทมิฬ
+++++++++++++++++
สิทธิชัย นั่งร่วมวงรับประทานอาหาร โดยดรุณีเป็นแม่ครัว ทั้งสี่กินข้าวด้วยกัน โดยไม่มีใครพูดอะไร เพราะสิทธิชัย ยังอดระแวงจอมไม่ได้ เช่นเดียวกับจอมที่ยังระแวงทั้งสอง การกินอาหารจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม ดรุณีจึงเอ่ยออกมาเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น
“ตอนที่ณีกินข้าวกับพี่จอม ณีเคยถามว่า คนที่รับมือยากที่สุดเท่าที่เคยสู้มา รู้ไหมว่าพี่จอมบอกว่าใคร”
สิทธิชัยเหลือบมองจอมก่อนจะเอ่ยออกมา พร้อมรอยยิ้มที่แฝงด้วยเลศนัย
“ไม่บอกก็รู้ ว่าคนที่รับมือยากที่สุดก็คือ…คนใกล้ตัวพี่จอมที่สุด…ใช่ไหม”
รอยยิ้มของจอมปรากฎขึ้นมันเหลือบตามองหน้าภรรยาด้วยสายตาวิบวับ ดรุณีหน้าแดงก่ำ ก่อนจะแก้เขิน
“ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย…ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
ก่อนก้มหน้ากินข้าวด้วยความเขิน จางหลี่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จึงเอ่ยออกมาบ้าง
“เลยไม่ได้รู้เลยว่า เป็นใครที่รับมือยากที่สุด ในความคิดของพี่จอม”
จอมเคี้ยวอาหารเสร็จจึงพูดออกมาบ้าง เหมือนไม่รู้สึกอะไร
“ข้าพูดไปอย่างงั้นแหละ หาเรื่องคุยกับเมียไปเรื่อย ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น”
จางหลี่ใช้ตะเกียบคีบผักกระเฉดขึ้นมาใส่ถ้วยข้าว
“พูดแบบนี้เลยอยากรู้ซะแล้ว บอกหน่อยละกันพี่จอม”
จอมยิ้มก่อนเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่จริงจัง
“ก็พวกเอ็งทั้งคู่นั่นแหละ เอ็งก็เหมือนมีพลังแฝงไม่สิ้นสุด ส่วนไอ้สิทธิชัยก็ไวเหลือเกิน แถมยิงแม่น แล้วที่สำคัญ เอ็งทั้งคู่ มีจิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว อย่างที่ข้าไม่เคยเจอมาก่อน”
ทั้งสามมองดวงตากันด้วยแววตาที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน สิทธิชัยหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยออกมา
“หึๆๆ ไม่น่าเชื่อเลย ว่าไม่กี่วันก่อนเรายังไล่ฆ่ากันอยู่เลย ตอนนี้กลับมานั่งกินข้าวด้วยกัน เรื่องนี้คงจะไม่เกิดขึ้นถ้า อาซ้อไม่พาพวกเรามาเจอกัน”
สายตาของสิทธิชัยมองมายังดรุณีด้วยสายตาอ่อนโยน และให้เกียรติเหมือนญาติสนิทอีกคน ดรุณีหน้าแดงยิ่งขึ้น เมื่อเธอกลายเป็นอาซ้อไปเสียแล้ว จอมเหลียวมองหญิงสาวก่อนเอ่ยออกมา
“ข้ารู้สึกว่าเป็นคนจริงๆ ก็ตอนที่ได้อยู่กับณีนี่แหละ มันทำให้ข้ารู้จักความหวาดกลัวต่อการสูญเสีย รู้จักว่าอะไร สำคัญที่สุดในชีวิต และรู้จักคำว่า รัก”
จางหลี่นั้นรู้สึกถึงความรักที่ทั้งสองมีให้กัน เมื่อกินอาหารเสร็จ ดรุณีก็ขอรับหน้าที่นำชามไปล้าง โดยให้ทั้งสามไปนั่งคุยกันที่ระเบียงบ้าน พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่เบื้องหน้า แค่เวลายังไม่ถึง 2 ทุ่มแต่ก็มืดสนิทพระจันทร์จึงสว่างไสวเป็นพิเศษทั้งสามยืนสูบบุหรี่มองพระจันทร์ด้วยดวงตาที่แตกต่าง ก่อนที่จอมจะเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ข้าขอโทษที่เคยไล่ตามฆ่าเอ็งทั้งสอง”
สิทธิชัยยิ้มก่อนจะเอ่ยออกมา
“พี่จอมอย่าพูดอะไรแบบนั้น มีคำสุภาษิตที่ผมเคยได้ยินมาคือคำว่า ไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน บางครั้งการต่อสู้ก็ทำให้เรารู้จักกันมากยิ่งขึ้น”
จางหลี่จึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“ผมเองก็เคยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหัวหน้าตอนอยู่ไทเป เราทั้งคู่ก็ต่อสู้กันอย่างน้อยก็สามครั้ง สุดท้ายก็กลายมาเป็นลูกน้องหัวหน้าจนได้”
“ลูกน้องลูกเนิ้งอะไร ฉันก็บอกแกตั้งหลายครั้ง ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ช่วยกันทำงานเท่านั้น นอกเวลาก็คือเพื่อน คือพี่น้องกัน”
จอมได้ยินคำว่าพี่น้อง ก็อดสูบบุหรี่เข้าไปอย่างแรงไม่ได้ สิทธิชัยจึงเอ่ยถามออกมา
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าบอกพวกเราได้นะ”
จอมถอนลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าเอง ก็ไม่เคยมีครอบครัวกับใคร เมื่อก่อนข้ามีเฮียกล้า เป็นเหมือนพี่ชาย เขาก็ตายไป เคยเหมือนมีน้องชาย ที่ชื่อไอ้โจ ก็มาตายไปเพราะถูกช้างเหยียบ แล้วก็ไอ้เอก มันก็กลายเป็นคนชั่วร้ายที่คิดฆ่าข้าเพื่อ…”