ผอ.สถาบันเด็กฯห่วงช่วงสงกรานต์เด็กจมน้ำเสียชีวิต เสนอบรรจุหลักสูตรความปลอดภัยทางน้ำ หลังพบเด็กอายุต่ำกว่า15ปีเสียชีวิตจากการจมน้ำเป็นอันดับ1
( 27 มี.ค.62)
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา แถลงสถานการณ์การจมน้ำของเด็กในช่วงปิดเทอมและแนวทางในการป้องกัน
โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว และ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า
ในแต่ละปีเด็กไทยอายุ 1-14 ปี จะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจำนวนกว่า 2,500 รายต่อปี หรือเฉลี่ย 200 รายต่อเดือน โดยในแต่ละปี พบว่าเดือนที่มีเด็กตายจากอุบัติเหตุสูงสุด คือเดือนเม.ย. เฉลี่ย 350 รายต่อเดือน รองลงมา คือ เดือนมี.ค. และพ.ค. ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของเด็ก รวม 3 เดือนอันตรายนี้ มีการเสียชีวิตของเด็กจากอุบัติเหตุจำนวนกว่า 1,000 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 30 ถึง ร้อยละ 35 ของการตายตลอดทั้งปี
ขณะที่ สถิติจากการจมน้ำในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ในปี 2561 อยู่ที่ 721 ราย ซึ่งถือว่าลดลงกว่าปีที่ผ่านมา โดย เด็กอายุ 4 – 12 ปี เป็นวัยที่มีความไวต่อการตายในช่วงปิดเทอมสูงกว่าเดือนอื่นของปีและช่วงที่อันตรายที่สุดคือ 12-23 เม.ย. ซึ่งสาเหตุการตายส่วนใหญ่จะพบในละแวกบ้าน บริเวณชุมชน ขณะที่เล่นกับเพื่อน สาเหตุสำคัญอันดับ1 พบว่าร้อยละ 56 ตาย จากการจมน้ำ ส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งน้ำละแวกชุมชนใกล้บ้านเด็ก เช่น บ่อขุด หรือสระน้ำใช้ ของชุมชน คูคลองต่างๆ , ร้อยละ 25 ตายจากการจราจร , ร้อยละ 8 ตายจากการตกที่สูงของแข็งชนกระแทก , ร้อยละ 7 ตายจากความรุนแรง และร้อยละ 3 ตายจากไฟฟ้า
ผู้อำนวยการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ระบุอีกว่า เด็กวัยเรียนระดับประถมอายุ 5 – 9 ปี มักตายในแหล่งน้ำไกลบ้าน ส่วนเด็กเล็กอายุ 1- 4 ปีมักจะจมน้ำบริเวณแหล่งน้ำใกล้บ้าน การป้องกันการตายในเด็กเล็กคือต้องเสริมความรู้สร้างความตระหนักให้แก่ผู้ดูแลเด็ก และการสร้างทักษะชีวิตเพื่อความปลอดภัยทางน้ำในเด็กตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 คือ รู้จักและหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้จุดเสี่ยง ลอยตัวในน้ำได้ 3 นาที ว่ายท่าอะไรก็ได้ 15 เมตร ในเด็กระดับประถม 1-3 ปีและ 25 เมตร ในเด็กที่โตกว่านั้น รวมถึงการช่วยเพื่อนอย่างถูกวิธี ด้วยการตะโกนโยน ยื่น และการใช้ชูชีพเสมอ เมื่อจำเป็นต้องเดินทางทางน้ำ หรือต้องทำกิจกรรมใกล้แหล่งน้ำที่เสี่ยง โดยควร นะนำเด็กตั้งแต่วัย 6 ขวบ
จากข้อมูลที่ผ่านมา พบว่า เด็ก ป.1- ป. 3 มี อัตราการว่ายน้ำ และ การรู้เรื่องเรื่องจุดเสี่ยงต่ำมาก โดย ผู้อำนวยการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ บรรจุหลักสูตรการสร้างความปลอดภัยทางน้ำในเด็ก ในการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันอัตราการตายในเด็ก ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงขอความร่วมมือเท่านั้นและไม่มีการทำอย่างต่อเนื่องทั้งที่คือเรื่องที่สำคัญ
ทั้งนี้ การสร้างพื้นที่เล่นของเด็กในชุมชน ก็ถือเป็นส่วนสำคัญ ในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กในการเล่น ซึ่งเป็นมติสมัชชาสุขภาพ ในการสร้างพื้นที่เล่นในชุมชน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ พัฒนาโครงสร้าง และพัฒนาบุคคลากรในการดูแลเด็ก
http://csip.org/wordpress/2019/03/27/ผอ-สถาบันเด็กฯห่วงช่วงส/
ผอ.สถาบันเด็กฯห่วงช่วงสงกรานต์เด็กจมน้ำเสียชีวิต เสนอบรรจุหลักสูตรความปลอดภัยทางน้ำ
( 27 มี.ค.62)
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา แถลงสถานการณ์การจมน้ำของเด็กในช่วงปิดเทอมและแนวทางในการป้องกัน
โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว และ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า
ในแต่ละปีเด็กไทยอายุ 1-14 ปี จะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจำนวนกว่า 2,500 รายต่อปี หรือเฉลี่ย 200 รายต่อเดือน โดยในแต่ละปี พบว่าเดือนที่มีเด็กตายจากอุบัติเหตุสูงสุด คือเดือนเม.ย. เฉลี่ย 350 รายต่อเดือน รองลงมา คือ เดือนมี.ค. และพ.ค. ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของเด็ก รวม 3 เดือนอันตรายนี้ มีการเสียชีวิตของเด็กจากอุบัติเหตุจำนวนกว่า 1,000 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 30 ถึง ร้อยละ 35 ของการตายตลอดทั้งปี
ขณะที่ สถิติจากการจมน้ำในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ในปี 2561 อยู่ที่ 721 ราย ซึ่งถือว่าลดลงกว่าปีที่ผ่านมา โดย เด็กอายุ 4 – 12 ปี เป็นวัยที่มีความไวต่อการตายในช่วงปิดเทอมสูงกว่าเดือนอื่นของปีและช่วงที่อันตรายที่สุดคือ 12-23 เม.ย. ซึ่งสาเหตุการตายส่วนใหญ่จะพบในละแวกบ้าน บริเวณชุมชน ขณะที่เล่นกับเพื่อน สาเหตุสำคัญอันดับ1 พบว่าร้อยละ 56 ตาย จากการจมน้ำ ส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งน้ำละแวกชุมชนใกล้บ้านเด็ก เช่น บ่อขุด หรือสระน้ำใช้ ของชุมชน คูคลองต่างๆ , ร้อยละ 25 ตายจากการจราจร , ร้อยละ 8 ตายจากการตกที่สูงของแข็งชนกระแทก , ร้อยละ 7 ตายจากความรุนแรง และร้อยละ 3 ตายจากไฟฟ้า
ผู้อำนวยการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ระบุอีกว่า เด็กวัยเรียนระดับประถมอายุ 5 – 9 ปี มักตายในแหล่งน้ำไกลบ้าน ส่วนเด็กเล็กอายุ 1- 4 ปีมักจะจมน้ำบริเวณแหล่งน้ำใกล้บ้าน การป้องกันการตายในเด็กเล็กคือต้องเสริมความรู้สร้างความตระหนักให้แก่ผู้ดูแลเด็ก และการสร้างทักษะชีวิตเพื่อความปลอดภัยทางน้ำในเด็กตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 คือ รู้จักและหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้จุดเสี่ยง ลอยตัวในน้ำได้ 3 นาที ว่ายท่าอะไรก็ได้ 15 เมตร ในเด็กระดับประถม 1-3 ปีและ 25 เมตร ในเด็กที่โตกว่านั้น รวมถึงการช่วยเพื่อนอย่างถูกวิธี ด้วยการตะโกนโยน ยื่น และการใช้ชูชีพเสมอ เมื่อจำเป็นต้องเดินทางทางน้ำ หรือต้องทำกิจกรรมใกล้แหล่งน้ำที่เสี่ยง โดยควร นะนำเด็กตั้งแต่วัย 6 ขวบ
จากข้อมูลที่ผ่านมา พบว่า เด็ก ป.1- ป. 3 มี อัตราการว่ายน้ำ และ การรู้เรื่องเรื่องจุดเสี่ยงต่ำมาก โดย ผู้อำนวยการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ บรรจุหลักสูตรการสร้างความปลอดภัยทางน้ำในเด็ก ในการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการ เพื่อป้องกันอัตราการตายในเด็ก ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงขอความร่วมมือเท่านั้นและไม่มีการทำอย่างต่อเนื่องทั้งที่คือเรื่องที่สำคัญ
ทั้งนี้ การสร้างพื้นที่เล่นของเด็กในชุมชน ก็ถือเป็นส่วนสำคัญ ในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กในการเล่น ซึ่งเป็นมติสมัชชาสุขภาพ ในการสร้างพื้นที่เล่นในชุมชน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ พัฒนาโครงสร้าง และพัฒนาบุคคลากรในการดูแลเด็ก
http://csip.org/wordpress/2019/03/27/ผอ-สถาบันเด็กฯห่วงช่วงส/