เนื้อหาในกระทู้นี้ ผู้เขียนเคยเขียนลงในกลุ่ม "วิเคราะห์ผลงานวิจารณ์ภาพถ่าย"
เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่บุคคลทั่วไปที่สนใจการถ่ายภาพ
จึงนำมาเผยแพร่ในที่นี้อีกรอบหนึ่ง
ข้อความต้นฉบับภาษาต่างประเทศโดย
Eric Kim

Never compare yourself with others
อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น
อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ควรเปรียบเทียบผลงานของตัวเองเมื่อปีที่แล้ว เดือนที่แล้ว
กับผลงานของเราตอนนี้ว่าเรายังมีความสุขกับการถ่ายภาพอยู่หรือไม่?
ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน?
ปัญหาของการเปรียบเทียบตัวเองกับช่างภาพคนอื่นๆก็คือ เราทุกคนมีลักษณะการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน
ช่างภาพบางคนไม่มีลูก ไม่มีภรรยา ไม่มีภาระที่ต้องห่วง ทำให้เดินทางท่องเที่ยวได้บ่อยและนาน
ขณะที่เราอาจจะอยู่แค่แถวๆบ้านและทำงานที่เราไม่ค่อยชอบนักสัปดาห์ละ 6 วัน มีครอบครัวให้ต้องดูแล
อย่างไรก็ตาม การอิจฉาช่างภาพคนอื่นและตัดพ้อว่าทำไมเราจึงไม่สามารถเป็นได้อย่างเขา
เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เราภ่ายภาพได้ดีขึ้น การคร่ำครวญไปกับสิ่งที่เราไม่มี
ไม่ได้ทำให้เรามีสิ่งนั้นขึ้นมา แต่กลับบั่นทอนและทำให้เราไม่มีความสุขกับสิ่งที่มี
การเปรียบเทียบนั้นเป็นพลังขับเคลื่อนที่ดีอย่างหนึ่ง
แต่ จงเปรียบเทียบผลงานของเราตอนนี้กับผลงานที่ผ่านมาของเรา
จงเปรียบเทียบผลงานตัวเองกับเพื่อนช่างภาพที่มีวิถีชีวิตคล้ายกับคุณ
เริ่มถ่ายภาพในเวลาใกล้เคียงกัน อย่าเปรียบเทียบในสิ่งที่มันสุดขั้ว นั่นจะเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
จงพยาายามถ่ายภาพให้ดีกว่าเมื่อวาน ให้ดีกว่าสัปดาห์ก่อน ให้ดีกว่าเดือนที่แล้ว ให้ดีกว่าปีที่ผ่านมา
ความก้าวหน้า คือการที่เรากำลังเติบโตในฐานะนักถ่ายภาพ จงเติบโตอย่างมีความสุขและมองโลกในแง่ดี

Aim to improve your photography by 1% everyday
มุ่งมั่นที่จะถ่ายภาพให้ดีขึ้น 1% ในทุกๆวัน
ในการถ่ายภาพ การกำหนดเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
นั่นเพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนโดยเฉพาะในการถ่ายภาพ เราไม่อาจมั่นใจได้ว่าทิศทางในการถ่ายภาพของเรานั้นจะมุ่งไปทางไหน
สิ่งที่ผมจะแนะนำคือ ลองมุ่งมั่นที่จะดีขึ้น 1% ในทุกๆวัน
1% อาจจะตีความได้ในหลายทิศทาง นี่คือตัวอย่างส่วนหนึ่ง
- ถ่ายภาพให้มากขึ้น 1% ในแต่ละวัน
- หาความรู้ในการถ่ายภาพเพิ่ม 1% ในแต่ละวัน
- ปรับปรุงพอร์ตถ่ายภาพของตัวเอง 1% ต่อวัน
- ดูตัวอย่างภาพที่ดีเพิ่มขึ้น 1% ในทุกๆวัน
- หาโลเคชั่นสำหรับถ่ายภาพ 1% ในแต่ละวัน
- เรียนรู้การจัดองค์ประกอบเพิ่มขึ้น 1% ในทุกวัน
- ติชมผลงานตัวเองเพิ่มขึ้น 1% ในทุกวัน
ด้วยการปรับปรุงตัวเองทีละน้อย เมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์ที่ออกมาจะคุ้มค่าอย่างยิ่ง

Aim to make complex photos, not complicated photos
สร้างภาพที่ซับซ้อนไม่ใช่ภาพที่สับสน
Complex photos : ภาพที่ท้าทายมุมมองและความสามารถในการรับรู้ความหมายผ่านภาพถ่ายของเรา
ทำให้เรารู้สึกมีส่วนร่วม สามารถทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวภายในภาพและ "เฟี้ยวฟ้าว "
Complicated photos: ภาพที่ทำให้สับสน บิดเบือน มึนงง จับจุดไม่ได้
คำว่า "ซับซ้อน" และ "สับสน" มักจะทำให้เราสับสน
เราต้องแสวงหาความ "ซับซ้อน" ซึ่งทำให้งานของเรามีชั้นเชิง
ไม่ใช่"สร้างความสับสน"
ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถถ่ายภาพหนึ่งภาพที่มีองค์ประกอบเรียบง่าย แต่ทำให้เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อมองได้
ภาพถ่ายที่มีความซับซ้อน คือภาพที่สามารถดึงดูดผู้ชม ชวนให้ตั้งคำถาม มีความลึกลับ และไม่ง่ายที่จะอธิบายความหมาย
เราจะถ่ายภาพที่มีความซับซ้อนได้อย่างไร?
ลองนึกถึงภาพที่มีความหลากหลายของทิศทางแสง ลองจินตนาการถึงภาพที่มีความหลากหลายทางอารมณ์ของผู้คน
หรือสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ที่แตกต่างกันในหนึ่งภาพ นั่นคือตัวอย่างของภาพที่มีความซับซ้อน
เราจะหลีกเลี่ยงภาพที่ก่อให้เกิดความสับสนได้อย่างไร?
จัดการฉากหลังของภาพไม่ให้รกรุงรัง มีจุดเด่นในภาพที่ชัดเจน
แก้ไขสิ่งที่ทำให้ความหมายของภาพมีทิศทางที่ทำให้สับสน
You are only as good as your last photo
ภาพที่คุณโชว์คือภาพที่ดีที่สุดของตัวเอง
มีคำที่กล่าวกันในวงการผู้กำกับภาพยนต์ว่า : หนังเรื่องล่าสุดของคุณคือตัวชี้วัดฝีมือตัวคุณเอง
คำกล่าวนี้ยังปรับใช้กับงานเขียน : งานเขียนของคุณดีในระดับไหน ก็ดูที่งานเขียนเล่มล่าสุด
เช่นเดียวกับงานดนตรี : เพลงที่ดีที่สุดของคุณ ควรเป็นเพลงล่าสุดที่คุณแต่ง
การถ่ายภาพก็เช่นกัน ภาพล่าสุดที่คุณโชว์ให้โลกดู ควรเป็นภาพที่ดีที่สุดของคุณเอง
ในขณะนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภาพที่ดีที่สุดของคุณ ควรเป็นภาพที่คุณกำลังจะถ่ายต่อไป
โดยประสบการณ์ พบได้ชมผลงานของช่างภาพอาชีพหลายๆคน ที่มีผลงานที่น่าตื่นตาตื่นใจ
และผมก็ได้มีโอกาสได้ชมภาพที่พวกเขาไม่ได้โชว์ให้สาธารณะชม
ซึ่งเป็นภาพที่ "งั้นๆ" ซึ้งภาพที่งั้นๆเหล่านั้น มีจำนวนมากกว่าภาพที่ดูแล้วติดตาติดใจ ในสัดส่วนที่มากมาย
ดังนั้นสิ่งที่คุณควรนึกถึงเมื่อจะแชร์ภาพไปยังที่ไหนซักที่ จงเลือกภาพที่ดีที่สุด
ภาพที่พัฒนาจากคราวที่แล้วที่คุณแชร์ เพราะนั่นคือตัวชี้วัดผลงาน ว่าคุณก้าวหน้าไปแค่ไหน
ISO VS IOS
International Organization for Standardization คือ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน
หากว่าด้วยการย่อคำจากชื่อเต็มของมัน มันควรจะเป็น
I- International
O- Organization
S - for Standardization
แล้วเหตุใดตัวย่อจึงเป็น ISO ที่เราคุ้นเคยกัน?
คำตอบคือ ชื่อของ International Organization for Standardization
หากอยู่ในภาษาอื่นๆ จะมีชื่อที่ต่างกันออกไป ทำให้ตัวย่อต่างกัน เช่น ในภาษาอังกฤษ จะต้องย่อเป็น IOS
(International Organization for Standardization )
ในภาษาฝรั่งเศษ จะย่อเป็น OIN (Organisation internationale de normalisation)
ผู้ก่อตั้งองค์กรนี้ จึงตัดสินใจใช้ตัวย่อเพียงตัวเดียวคือ ISO ซึ่งมีรากมาจากคำว่า isos ในภาษากรีก แปลว่า เท่ากัน
ดังนั้น ไม่ว่าจะในภาษาใด ตัวย่อของ International Organization for Standardization
จึงมีตัวเดียวคือ ISO ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ตัวย่อ แต่เป็นคำหนึ่งคำมากกว่า
Don’t just study photographers
อย่าจำกัดตัวเองอยู่แค่การถ่ายภาพ
หลายครั้ง ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการถ่ายภาพของเรา ไม่ได้มาจากช่างภาพ
แต่มาจากศิลปินในแขนงอื่น หลายครั้งแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพของเรา
มาจากนักวาดภาพ มาจากสถาปัตยกรรม จากกราฟฟิกดีไซเนอร์
มาจากบทกวี จากนักวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา สังคมวิทยา และอื่นๆ
หากเราขุดรูแล้วเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในรูที่เรียกว่า "การถ่ายภาพ"
นั่นจะทำให้เราพลาดความกว้างใหญ่ไพศาลของการสร้างสรรค์ที่อยู่ข้างนอกนั่น
ช่างภาพที่ยอดเยี่ยมหลายคน คือคนที่สามารถ "ผสมผสาน"
ความรู้ความเข้าใจในหลากหลายแขนงของศิลปะเข้าไว้ด้วยกัน แล้วถ่ายทอดมันออกมาผ่านภาพถ่าย
ศิลปะนั้นปรากฏได้ในหลายรูปแบบ อย่าจำกัดตัวเองอยู่ในศิลปะเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
แล้วเราจะมองเห็นแรงบันดาลใจจากทุกสิ่ง ทุกที่ และทุกเวลา
Don’t “chimp”
ในฐานะช่างภาพดิจิทัลเราทุกคนทำเช่นนี้เมื่อใดก็ตามที่เราถ่ายภาพเราจะมองหน้าจอ LCD
เพื่อตรวจดูว่าองค์ประกอบดูดีหรือไม่ว่าแสงสว่างดีหรือไม่? ว่าเราจะจับภาพจังหวะเด็ดๆได้หรือไม่?
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "Chimping" เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามองภาพของเราเองบนจอ LCD ทันที
หลังจากที่เราถ่ายภาพ เราชี้ไปที่ภาพที่เพิ่งถ่ายและเริ่มส่งเสียงออกมาว่า "อู้วๆๆๆ" (เช่นเดียวกับกลุ่มลิงชิมแปนซีหรือลิงกัง)
เมื่อเราเป็นมือใหม่ การ "Chimping" พอประมาณจะช่วยให้เราเรียนรู้ถึงพื้นฐานในการถ่ายภาพได้
แต่การทำเช่นนั้นมากเกินไปกลับจะเป็นอันตราย
ทำไมเป็นเช่นนั้น?
นั่นเพราะการที่เรามองไปที่จอ มันจะทำให้เราหลุดออกจากสิ่งที่เรียกว่า "โซนของการถ่ายภาพ"
เราจะหลุดเข้าไปอยู่ในโซนที่เรียกว่า "การรีวิวภาพ" ซึ่งควรจะทำที่บ้านเมื่อเราต้องการคัดเลือกภาพ
ไม่ใช่ขณะอยู่ในโซนของการถ่ายภาพ
และขณะที่เราเช็คหลังกล้องอยู่นั่นเอง จังหวะดีๆอาจจะผ่านหน้าเราไปเสียแล้ว
อย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น ใช้เวลาอยู่กับจอหลังกล้องให้น้อยที่สุด ด้วยการตั้งค่ากล้องขณะถ่ายภาพด้วยค่าที่ถูกต้อง
อันเกิดจากการฝึกฝนจนชำนาญ
ถ่ายภาพ 101 : ข้อคิดอีก 7 ประการ
Eric Kim
อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น
อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ควรเปรียบเทียบผลงานของตัวเองเมื่อปีที่แล้ว เดือนที่แล้ว
กับผลงานของเราตอนนี้ว่าเรายังมีความสุขกับการถ่ายภาพอยู่หรือไม่?
ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน?
ปัญหาของการเปรียบเทียบตัวเองกับช่างภาพคนอื่นๆก็คือ เราทุกคนมีลักษณะการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน
ช่างภาพบางคนไม่มีลูก ไม่มีภรรยา ไม่มีภาระที่ต้องห่วง ทำให้เดินทางท่องเที่ยวได้บ่อยและนาน
ขณะที่เราอาจจะอยู่แค่แถวๆบ้านและทำงานที่เราไม่ค่อยชอบนักสัปดาห์ละ 6 วัน มีครอบครัวให้ต้องดูแล
อย่างไรก็ตาม การอิจฉาช่างภาพคนอื่นและตัดพ้อว่าทำไมเราจึงไม่สามารถเป็นได้อย่างเขา
เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เราภ่ายภาพได้ดีขึ้น การคร่ำครวญไปกับสิ่งที่เราไม่มี
ไม่ได้ทำให้เรามีสิ่งนั้นขึ้นมา แต่กลับบั่นทอนและทำให้เราไม่มีความสุขกับสิ่งที่มี
การเปรียบเทียบนั้นเป็นพลังขับเคลื่อนที่ดีอย่างหนึ่ง
แต่ จงเปรียบเทียบผลงานของเราตอนนี้กับผลงานที่ผ่านมาของเรา
จงเปรียบเทียบผลงานตัวเองกับเพื่อนช่างภาพที่มีวิถีชีวิตคล้ายกับคุณ
เริ่มถ่ายภาพในเวลาใกล้เคียงกัน อย่าเปรียบเทียบในสิ่งที่มันสุดขั้ว นั่นจะเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
จงพยาายามถ่ายภาพให้ดีกว่าเมื่อวาน ให้ดีกว่าสัปดาห์ก่อน ให้ดีกว่าเดือนที่แล้ว ให้ดีกว่าปีที่ผ่านมา
ความก้าวหน้า คือการที่เรากำลังเติบโตในฐานะนักถ่ายภาพ จงเติบโตอย่างมีความสุขและมองโลกในแง่ดี
มุ่งมั่นที่จะถ่ายภาพให้ดีขึ้น 1% ในทุกๆวัน
ในการถ่ายภาพ การกำหนดเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
นั่นเพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนโดยเฉพาะในการถ่ายภาพ เราไม่อาจมั่นใจได้ว่าทิศทางในการถ่ายภาพของเรานั้นจะมุ่งไปทางไหน
สิ่งที่ผมจะแนะนำคือ ลองมุ่งมั่นที่จะดีขึ้น 1% ในทุกๆวัน
1% อาจจะตีความได้ในหลายทิศทาง นี่คือตัวอย่างส่วนหนึ่ง
- ถ่ายภาพให้มากขึ้น 1% ในแต่ละวัน
- หาความรู้ในการถ่ายภาพเพิ่ม 1% ในแต่ละวัน
- ปรับปรุงพอร์ตถ่ายภาพของตัวเอง 1% ต่อวัน
- ดูตัวอย่างภาพที่ดีเพิ่มขึ้น 1% ในทุกๆวัน
- หาโลเคชั่นสำหรับถ่ายภาพ 1% ในแต่ละวัน
- เรียนรู้การจัดองค์ประกอบเพิ่มขึ้น 1% ในทุกวัน
- ติชมผลงานตัวเองเพิ่มขึ้น 1% ในทุกวัน
ด้วยการปรับปรุงตัวเองทีละน้อย เมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์ที่ออกมาจะคุ้มค่าอย่างยิ่ง
สร้างภาพที่ซับซ้อนไม่ใช่ภาพที่สับสน
Complex photos : ภาพที่ท้าทายมุมมองและความสามารถในการรับรู้ความหมายผ่านภาพถ่ายของเรา
ทำให้เรารู้สึกมีส่วนร่วม สามารถทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวภายในภาพและ "เฟี้ยวฟ้าว "
Complicated photos: ภาพที่ทำให้สับสน บิดเบือน มึนงง จับจุดไม่ได้
คำว่า "ซับซ้อน" และ "สับสน" มักจะทำให้เราสับสน
เราต้องแสวงหาความ "ซับซ้อน" ซึ่งทำให้งานของเรามีชั้นเชิง
ไม่ใช่"สร้างความสับสน"
ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถถ่ายภาพหนึ่งภาพที่มีองค์ประกอบเรียบง่าย แต่ทำให้เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อมองได้
ภาพถ่ายที่มีความซับซ้อน คือภาพที่สามารถดึงดูดผู้ชม ชวนให้ตั้งคำถาม มีความลึกลับ และไม่ง่ายที่จะอธิบายความหมาย
เราจะถ่ายภาพที่มีความซับซ้อนได้อย่างไร?
ลองนึกถึงภาพที่มีความหลากหลายของทิศทางแสง ลองจินตนาการถึงภาพที่มีความหลากหลายทางอารมณ์ของผู้คน
หรือสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์ที่แตกต่างกันในหนึ่งภาพ นั่นคือตัวอย่างของภาพที่มีความซับซ้อน
เราจะหลีกเลี่ยงภาพที่ก่อให้เกิดความสับสนได้อย่างไร?
จัดการฉากหลังของภาพไม่ให้รกรุงรัง มีจุดเด่นในภาพที่ชัดเจน
มีคำที่กล่าวกันในวงการผู้กำกับภาพยนต์ว่า : หนังเรื่องล่าสุดของคุณคือตัวชี้วัดฝีมือตัวคุณเอง
คำกล่าวนี้ยังปรับใช้กับงานเขียน : งานเขียนของคุณดีในระดับไหน ก็ดูที่งานเขียนเล่มล่าสุด
เช่นเดียวกับงานดนตรี : เพลงที่ดีที่สุดของคุณ ควรเป็นเพลงล่าสุดที่คุณแต่ง
การถ่ายภาพก็เช่นกัน ภาพล่าสุดที่คุณโชว์ให้โลกดู ควรเป็นภาพที่ดีที่สุดของคุณเอง
ในขณะนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภาพที่ดีที่สุดของคุณ ควรเป็นภาพที่คุณกำลังจะถ่ายต่อไป
โดยประสบการณ์ พบได้ชมผลงานของช่างภาพอาชีพหลายๆคน ที่มีผลงานที่น่าตื่นตาตื่นใจ
และผมก็ได้มีโอกาสได้ชมภาพที่พวกเขาไม่ได้โชว์ให้สาธารณะชม
ซึ่งเป็นภาพที่ "งั้นๆ" ซึ้งภาพที่งั้นๆเหล่านั้น มีจำนวนมากกว่าภาพที่ดูแล้วติดตาติดใจ ในสัดส่วนที่มากมาย
ดังนั้นสิ่งที่คุณควรนึกถึงเมื่อจะแชร์ภาพไปยังที่ไหนซักที่ จงเลือกภาพที่ดีที่สุด
ภาพที่พัฒนาจากคราวที่แล้วที่คุณแชร์ เพราะนั่นคือตัวชี้วัดผลงาน ว่าคุณก้าวหน้าไปแค่ไหน
หากว่าด้วยการย่อคำจากชื่อเต็มของมัน มันควรจะเป็น
I- International
O- Organization
S - for Standardization
แล้วเหตุใดตัวย่อจึงเป็น ISO ที่เราคุ้นเคยกัน?
คำตอบคือ ชื่อของ International Organization for Standardization
หากอยู่ในภาษาอื่นๆ จะมีชื่อที่ต่างกันออกไป ทำให้ตัวย่อต่างกัน เช่น ในภาษาอังกฤษ จะต้องย่อเป็น IOS
(International Organization for Standardization )
ในภาษาฝรั่งเศษ จะย่อเป็น OIN (Organisation internationale de normalisation)
ผู้ก่อตั้งองค์กรนี้ จึงตัดสินใจใช้ตัวย่อเพียงตัวเดียวคือ ISO ซึ่งมีรากมาจากคำว่า isos ในภาษากรีก แปลว่า เท่ากัน
ดังนั้น ไม่ว่าจะในภาษาใด ตัวย่อของ International Organization for Standardization
จึงมีตัวเดียวคือ ISO ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ตัวย่อ แต่เป็นคำหนึ่งคำมากกว่า
หลายครั้ง ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการถ่ายภาพของเรา ไม่ได้มาจากช่างภาพ
แต่มาจากศิลปินในแขนงอื่น หลายครั้งแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพของเรา
มาจากนักวาดภาพ มาจากสถาปัตยกรรม จากกราฟฟิกดีไซเนอร์
มาจากบทกวี จากนักวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา สังคมวิทยา และอื่นๆ
หากเราขุดรูแล้วเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในรูที่เรียกว่า "การถ่ายภาพ"
นั่นจะทำให้เราพลาดความกว้างใหญ่ไพศาลของการสร้างสรรค์ที่อยู่ข้างนอกนั่น
ช่างภาพที่ยอดเยี่ยมหลายคน คือคนที่สามารถ "ผสมผสาน"
ความรู้ความเข้าใจในหลากหลายแขนงของศิลปะเข้าไว้ด้วยกัน แล้วถ่ายทอดมันออกมาผ่านภาพถ่าย
ศิลปะนั้นปรากฏได้ในหลายรูปแบบ อย่าจำกัดตัวเองอยู่ในศิลปะเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
แล้วเราจะมองเห็นแรงบันดาลใจจากทุกสิ่ง ทุกที่ และทุกเวลา
ในฐานะช่างภาพดิจิทัลเราทุกคนทำเช่นนี้เมื่อใดก็ตามที่เราถ่ายภาพเราจะมองหน้าจอ LCD
เพื่อตรวจดูว่าองค์ประกอบดูดีหรือไม่ว่าแสงสว่างดีหรือไม่? ว่าเราจะจับภาพจังหวะเด็ดๆได้หรือไม่?
เราเรียกสิ่งนี้ว่า "Chimping" เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามองภาพของเราเองบนจอ LCD ทันที
หลังจากที่เราถ่ายภาพ เราชี้ไปที่ภาพที่เพิ่งถ่ายและเริ่มส่งเสียงออกมาว่า "อู้วๆๆๆ" (เช่นเดียวกับกลุ่มลิงชิมแปนซีหรือลิงกัง)
เมื่อเราเป็นมือใหม่ การ "Chimping" พอประมาณจะช่วยให้เราเรียนรู้ถึงพื้นฐานในการถ่ายภาพได้
แต่การทำเช่นนั้นมากเกินไปกลับจะเป็นอันตราย
ทำไมเป็นเช่นนั้น?
นั่นเพราะการที่เรามองไปที่จอ มันจะทำให้เราหลุดออกจากสิ่งที่เรียกว่า "โซนของการถ่ายภาพ"
เราจะหลุดเข้าไปอยู่ในโซนที่เรียกว่า "การรีวิวภาพ" ซึ่งควรจะทำที่บ้านเมื่อเราต้องการคัดเลือกภาพ
ไม่ใช่ขณะอยู่ในโซนของการถ่ายภาพ
และขณะที่เราเช็คหลังกล้องอยู่นั่นเอง จังหวะดีๆอาจจะผ่านหน้าเราไปเสียแล้ว
อย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น ใช้เวลาอยู่กับจอหลังกล้องให้น้อยที่สุด ด้วยการตั้งค่ากล้องขณะถ่ายภาพด้วยค่าที่ถูกต้อง
อันเกิดจากการฝึกฝนจนชำนาญ