เมื่อผมเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า.....แนวทาง การรักษา และการยอมรับ

สวัสดีครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่อยากจะบอกว่า "ผมเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรง" ด้วยความที่นิสัยของผมเป็นคนสนุกสนาน เฮฮา ตลก แล้วทำไมจึงเป็นโรคนี้มาได้ มันไม่มีสูตรตายตัวครับ ว่าคนๆหนึ่งจะเป็นโรคซึมเศร้า แต่สาเหตุของผม มันเกิดจาก ความสัมพันธ์ ครับ ผมโดนบอกเลิกกับแฟน ซึ่งคบกันมาได้ 12 ปี เพียงเพราะว่า เค้าคบซ้อน แล้วเค้าเลือกคนใหม่เท่านั้น แน่นอนหล่ะชีวิตผมเปลี่ยนไป จากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมเกิดอาการเศร้าอย่างหนัก เก็บตัว และไม่สุงสิงกับใคร เกิดอาการนอนไม่หลับ 4 คืนติด จนรู้สึกว่าตัวผมเอง ทนไม่ไหวแล้ว คือร่างกายมันเกินต้านทานแล้ว และสงสัยกับร่างกายตัวผมเองว่า เราเป็นอะไรกันแน่ๆ และได้ลองหาข้อมูลอาการเบื้องต้น ปรากฏว่า เข้าข่ายเป็นภาวะซึมเศร้า เท่านั้นแหละ ด้วยความกล้วที่ร่างกายจะน็อคและกลัวตายด้วย ผมเลยตัดสินใจที่จะไปหาหมอทันที และแน่นอนผมเลือกโรงพยาบาลที่สะดวกที่สุด คือโรงพยาบาลเอกชน ในวันรุ่งขึ้น แต่ทว่า การหาหมอจิตเวชนั้น ต้องมีการทำนัดก่อนเบื้องต้น เพื่อดูว่า มีคิวการรักษาว่างไหม ปรากฏว่า คิวเต็มจ้า !!!!!!! แต่ด้วยสภาวะการณ์ของผมมันสื่อถึงภายนอกว่าไม่ไหว ถึงขั้นทรุดลงต่อหน้าพยาบาล พี่พยาบาลเลยปรึกษากับคุณหมอและคุณหมอก็อนุญาตให้เข้ารับการรักษาทันที

เมื่อเข้าไปในห้อง เจอหมอที่ยิ้มแย้ม ต้อนรับ และสุขุม แค่คุณหมอพูดมาคำเดียวว่า "มีอะไรให้หมอช่วยไหมครับ" เท่านั้นแหละครับ น้ำตาจากไหนมาไม่รู้ร้องไห้แบบหนักที่สุดในชีวิตมาเลย ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะคุยกันรู้เรื่องๆ คุณหมอก็ให้ประเมินอาการ ตามแบบสอบถามของกรมสุขภาพจิต ปรากฏว่า ผมพุ่งขึ้นไป ที่ 20 แน่นอนละ ภาวะขั้นรุนแรง ย้ำ ขั้นรุนแรง แต่ด้วยหมอได้บอกว่า การที่คนเราจะเป็นซึมเศร้ามาได้นั้น ต้องมีอาการอย่างว่า 2 อาทิตย์ ติดต่อกันขึ้นไป ถึงจะวินิจฉัยว่าเป็นซึมเศร้า ปมอเลยให้คำแนะนำว่า การนอนเป็นสิ่งสำคัญ หากเรานอนหลับจะเป็นช่วงที่จิตใจเราสงบ เราไม่ได้คิดอะไร หมอเลยจัดยาแก้เครียดและบรรเทาอาการให้นอนหลับ และยาต้านเศร้าแบบอ่อนๆมาทาน และนัดเพิ่มติดตามอาการอีก 1 อาทิตย์ หลังจากกลับมาบ้าน ผมก็หดหู่ ให้อารมณ์แบบ ลดงานรื่นเริงทุกชนิด จากคนที่มีกิจกรรมไฮเปอร์ ก็กลายเป็นคนที่เก็บตัว เก็บกด และการทานยาช่วงแรกเป็นอะไร ที่รู้สึกว่า ทำไมเราทานยาแล้วไม่ได้ผล ก็ปรึกษาหมอตลอด หมอก็บอกว่า "ช่วงแรกเป็นช่วงที่สมองเราผลิตสารความสุขไม่ทัน ความเครียด ความคิดลบต่างๆมันเข้ามาแทนที่ เพราะฉะนั้นการรักษามันต้องค่อยเป็นค่อยไป"  แต่ระหว่างทางที่ทานยา ก็ร้องไห้ตลอด ซึม ไม่พูดกับใคร จนเราอึดอัด และจมกับความคิด คือเปิดแต่เพลงเศร้าให้มันกระหน่ำประหนึ่งเหมือนเล่นเอ็มวีเลยทีเดียว แต่หารู้ไม่สิ่งที่ทำนั้น เป็นสิ่งต้องห้ามเลย โดยเฉพาะกับดักความคิด ซึ่งเราหลุดออกมาจากตรงนั้นไม่ได้ และหาวิธี หาทางออกมาไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ผู้ป่วยอย่างผมเผชิญอยู่ 

หลังจากครบ 1 อาทิตย์ ก็ไปตามนัด หมอก็ถามไถ่เหมือนเดิม แล้วให้ลองแบบทดสอบอีกครั้ง ปรากฏว่า มันพุ่งขึ้น 22 และแน่นอนว่า วินิจฉัยทันที ว่าเป็น "ผู้ป้วยซึมเศร้าขั้นรุนแรง" หมอเลยจัดยาซึมเศร้าหลายขนาน และแนวทางการรักษา คือ 6 เดือน อย่างต่ำ แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะผู้ป่วยด้วย และค่ารักษาแน่นอนละ 7000 กว่าบาทต่อ 1 อาทิตย์ ซึ่งถือว่าแพงมาก แต่ด้วยความที่เอาสะดวก และจำเป็นต้องรักษา ยอมครับ 

แต่ระยะทางสำหรับการรักษานั้น การเป็นแบบขั้นรุนแรง คือ เห็นภาพหลอน เสียงหลอน ซึ่งหมอบอกว่าถ้าได้ยิน อย่าไปฟังมันนะ แล้วก็ได้ยินจริงๆ เลวร้ายและน่ากลัวมากๆๆ สั่งให้ผมไปตายมั่งละ จะได้จบๆ หรือเห็นภาพหลอนคนเข้ามาทำร้าย ทำให้เกิดการระแวงหลายๆอย่าง ซึ่งเป็นเกือบเดือน กว่าอาการนี้จะหายไป และสิ่งที่น่าลำบากใจที่สุด คือคนรอบข้าง อย่างเพื่อน ครอบครัว เค้าจะรับได้ไหม ผมลองเปิดใจกับที่บ้าน สิ่งที่ผมได้รับคือ กำลังใจ แต่กำลังใจนั้นกลายเป็นสิ่งที่กดดันผมมากๆ คือคำว่า เห้ย สู้ดิวะ สู้ ใจเราสำคัญ สู้สิ หลายๆครั้ง แต่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมแย่กว่าเดิม เลยทำให้รู้ว่า คำพูดนี้เป็นแรงกดดัน ทั้งที่ผมสู้อยู่ ไม่ใช่ไม่สู้ เพระาฉะนั้น คำว่าสู้ๆ เป็นคำที่อันตรายสำหรับผู้ป่วยอย่างผม สิ่งที่ทำได้สำหรับคนรอบข้าง คือ แค่รับฟัง เท่านั้นครับ การรับฟัง ถือว่าเป็นการรักษาในรูปแบบหนึ่ง พอผมได้ระบาย จากเพื่อนที่รับฟังผม ผมรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก และรู้สึกดีมากๆ แม้ว่าตอนแรกกลัวว่า จะทำให้เกิดความรำคาญ หรือเปล่า แต่ไม่เลย เพื่อนบอกว่า ดีแล้วที่เมิง ระบายออกมา กรูอยากให้เมิงเหมือนเดิมนะ แต่ไม่ต้องรีบ ค่อยๆไป  

ระหว่างนี้ผมก็รักษามาได้ 6 เดือนแล้วครับ แล้วเพิ่งเปลี่ยน รพ มาเป็น รพ จุฬา คลีนิคนอกเวลา ด้วยความที่เริ่มสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว เลยลองสอบถาม รพ ว่า มีคิวว่างไหม ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่า คิวอาจจะยาวเป็น 3-4 เดือนเลยนะ รอไหวไหม ผมก็ตอบไปว่า ไหวครับ ระหว่างนี้ก็อาจจะรักษาที่เก่าก่อน สักพักเจ้าหน้าที่ก็ทำการเช็ค ปรากฏว่า มีคิวหลุด และได้คิวพอดี เลย 2 อาทิตย์ มาได้ไหม ผมรีบตอบตกลงทันที การรักษาตอนนี้ ค่าใช้จ่ายลดลงมากครับ ตัวยาเหมือนกัน และ หมอก็วินิจฉัยเหมือนกันว่าเป็นแบบรุนแรง ทานยาต่อไป แต่ค่อยสร้างๆเป้าหมายให้ชีวิตใหม่ ที่เราไม่เคยทำ แล้วคุณจะเป็นคนใหม่ และหมอที่ รพ จุฬา รับฟังทุกอย่าง จริงๆครับ

อาการที่สำคัญของการเป็นซึมเศร้า - นอนไม่หลับ หดหู่ เก็บตัว เศร้า ซึม ทำอะไรไม่มีชีวิตชีวา หรือแม้กระทั่งรายหนักๆคือทำร้ายตัวเอง ( โชคดีที่ผมยังไม่เป็น ) ติดต่อกัน 2 อาทิตย์ รีบหาหมอทันทีครับ อย่าอาย หมอใจดีมากๆๆ เวลาไปหาหมอ จะตอบอย่างภูมิใจว่า ติดต่อแผนกจิตเวช 
แต่ถ้าหากอาการเกิดขึ้น 4-5 วันไปเลยครับ อย่าให้เลยกว่านี้เลย

ค่าใช้จ่าย แน่นอนครับ เอกชนแพงเฉลี่ยอยู่ที่ 20000 up ต่อเดือน แต่ถ้ารัฐบาล เหลือแค่  4000 กว่าบาทต่อเดือนเท่านั้น 

อาการที่สำคัญอีกอย่างคือ การติดกับดักความคิดครับ ว่าเราจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงเกิดกับเรา เพราะอะไร มีแต่คำถามเต็มไปหมด และจมลงไป ถามว่าทำไมคิด ถ้าไม่คิดก็ได้นี่ ใช่ครับ ไม่คิดก็ได้ แต่ผู้ป่วยอย่างผม จะเปราะบางมาก อะไรมาสะกิดหน่อย ดาวน์ลงไปเลยครับ เหมือนคนตกหลุมแล้วหาทางปีนขึ้นมาไม่ได้ นี่แหละเป็นอะไรที่ ทรมานมากๆ หากคนรอบข้างมีผู้ป่วยแบบนี้ สิ่งที่ทำได้ รับฟังเค้าครับ รับฟังในสิ่งที่เค้าเจอ แล้วจะค่อยๆหาทางออกมาเอง 

กิจกรรมต่างๆ อะไรที่ไม่เคยทำ หาทำได้เลยครับ เป้าหมายใหม่ๆ มันจะทำให้เรามีภูมิมมากขึ้นและรู้สึกสนุกกับมันมากขึ้น บางที่รู้สึกขอบคุณการเป็นซึมเศร้าด้วยซ้ำว่า ทำให้ผมได้พบเจอเป้าหมายใหม่ๆในสิ่งที่อยากทำ 

การเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า เราไม่ได้ต้องการเรียกร้องความสนใจ แต่เราต้องการคนรับฟัง หากเรายอมรับมันและเปิดใจในสิง่ที่เราเป็น และหาคนรับฟังสักคน ภาวะนี้ก็จะหายไป แม้ตอนนี้ผมอยู่ระหว่างการรักษา แต่รู้สึกว่า ชีวิตดีกว่าแต่ก่อนมาก และเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกคนก้าวข้ามผ่านมันไปนะครับ
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่