สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
เคยเป็น ทั้ง คนที่พาลูกมา และ คนที่ต้องทน ลูกซนๆ ของผู้ร่วมงาน
<< บอกคนที่ไม่มีลูก ว่า ให้เห็นใจเพื่อนด้วย ปิดเทอม จะทิ้งให้ลูกอยู่บ้านคนเดียว ก็อันตราย แต่ถ้าเด็กมาแล้ว ซน รบกวนก็ตักเตือนไปได้
<< บอกคนที่พาลูกมา ว่า ที่ทำงาน ผู้ร่วมงานทำงานต้องการสมาธิ ขอให้เกรงใจ ไม่จำเป็นจริงๆ อย่ามาเลี้ยงลูกที่นี่เลย…
แต่ถ้าไม่มีหนทางอื่น จำเป็นจริงๆก็พามาได้ …แต่ต้องไม่รบกวนคนอื่น และงานต้องไม่เสีย ขอให้นึกถึงส่วนรวม ……อย่ามีปัญหา ถ้าเพื่อนดุ หรือห้ามลูก เวลาลูกซน…ให้เห็นใจคนทำงานคนอื่นด้วย……ที่มีปัญหาส่วนมากก็ เด็กอายุ 8-9 ขวบ นี่แหละ…แนะนำให้หากิจกรรมเสริม หรือให้ลูกเข้าคอร์ส สั้นๆ ……
ที่ทำงาน เคยให้ใช้ห้องประชุมเล็ก จัดเป็นที่ สอน ดนตรี วาดรูป และ มีสอน ว่ายน้ำ ด้วย ……เฉพาะช่วง ปิดเทอมใหญ่
คนที่ไม่มีลูก ก็ขอให้เห็นใจ……คนมีลูก ก็ต้องเกรงใจ และ งานต้องไม่เสีย ……ขอให้คิดถึง ส่วนรวมด้วย
<< บอกคนที่ไม่มีลูก ว่า ให้เห็นใจเพื่อนด้วย ปิดเทอม จะทิ้งให้ลูกอยู่บ้านคนเดียว ก็อันตราย แต่ถ้าเด็กมาแล้ว ซน รบกวนก็ตักเตือนไปได้
<< บอกคนที่พาลูกมา ว่า ที่ทำงาน ผู้ร่วมงานทำงานต้องการสมาธิ ขอให้เกรงใจ ไม่จำเป็นจริงๆ อย่ามาเลี้ยงลูกที่นี่เลย…
แต่ถ้าไม่มีหนทางอื่น จำเป็นจริงๆก็พามาได้ …แต่ต้องไม่รบกวนคนอื่น และงานต้องไม่เสีย ขอให้นึกถึงส่วนรวม ……อย่ามีปัญหา ถ้าเพื่อนดุ หรือห้ามลูก เวลาลูกซน…ให้เห็นใจคนทำงานคนอื่นด้วย……ที่มีปัญหาส่วนมากก็ เด็กอายุ 8-9 ขวบ นี่แหละ…แนะนำให้หากิจกรรมเสริม หรือให้ลูกเข้าคอร์ส สั้นๆ ……
ที่ทำงาน เคยให้ใช้ห้องประชุมเล็ก จัดเป็นที่ สอน ดนตรี วาดรูป และ มีสอน ว่ายน้ำ ด้วย ……เฉพาะช่วง ปิดเทอมใหญ่
คนที่ไม่มีลูก ก็ขอให้เห็นใจ……คนมีลูก ก็ต้องเกรงใจ และ งานต้องไม่เสีย ……ขอให้คิดถึง ส่วนรวมด้วย
ความคิดเห็นที่ 28
เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดว่า เด็กคือทรัพยากรที่มีค่าของประเทศ
รัฐสวัสดิการก็ไม่ช่วยตรงนี้ ภาระทั้งหลายก็มาตกที่พ่อแม่
เอาจริงๆ การให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงลูก ไม่ใช่ความพร้อมในการมีลูกค่ะ
การมีลูกที่พร้อมจริงๆ คือ พ่อแม่ต้องพร้อมเลี้ยงลูก จนกว่าลูกจะเข้าโรงเรียน
เอาจริงๆ เด็กไม่ควรเรียนอนุบาลด้วยซ้ำ เพราะหน้าที่ของเขาคือการเล่น และหน้าที่ของพ่อแม่คือการกระตุ้นพัฒนาการต่างๆ
จะมีสักกี่คน ที่สามารถหยุดงานได้ถึง 3-4 ปี เต็มที่ก็ 7 ปี ตอนที่ลูกเข้าการศึกษาภาคบังคับ
ครอบครัวหรือคนที่จะทำอย่างนั้นได้ ต้องมีเวลาที่มากพอ (ตัดเรื่องเงินทิ้งไปก่อน เลี้ยงเด็กใช้เวลาไม่ได้ใช้เงินค่ะ)
ดังนั้นหนึ่งปัจจัยที่ตามมาคือพ่อแม่ ถ้าไม่ได้มีกิจการเป็นของตัวเอง ยังเป็นลูกจ้างอยู่ เวลางานต้องยืดหยุ่น หรือสามารถทำงานที่ไหนก็ได้
ซึ่งในไทย บริษัทแบบนี้น้อยมาก แบบต้องนับนิ้วเอา หรือไม่ก็ต้องเป็นฟรีแลนซ์ไปเลย หรือลักษณะงานที่อยู่กับลูกได้
หรือไม่งั้นก็ต้องมีคนใดคนหนึ่งที่ลาออกมาเลี้ยงลูกเอง ซึ่งวิธีนี้ถ้าอีกคนไม่ได้มีรายได้ที่มากพอ การเงินในบ้านก็ฝืดอีก
มันก็เลยกลายเป็นการมีข้อจำกัดอีกมากมายอีกเช่นกัน ดังนั้นมันคือหน้าที่ของรัฐที่จะช่วยพ่อแม่สร้างเด็ก สร้างเด็กที่มีคุณภาพค่ะ
เรามองภาพใหญ่นะคะ ทุกอย่างมันเกี่ยวพันกันทั้งสิ้น สิ่งที่ประชาชนต้องอยู่และต้องเจอ
มันเป็นผลมาจากนโยบายและการทำงานของภาครัฐทั้งนั้น
อีกเรื่องเวลาเลิกเรียนของเด็กก็ไม่สัมพันธ์กับพ่อแม่แล้ว
ส่วนใหญ่เลิกเรียนกันบ่าย 3 โมง 4 โมง แต่ที่ทำงานที่เลิกเวลานี้มีไหม ถึงมีก็น้อยมากๆ
แล้วจากนั้นเด็กจะทำยังไง ก็คงไม่พ้นการเรียนพิเศษหรือให้ครูดูแล แต่ในความเป็นจริงๆ เด็กๆ เพลียแล้ว
เวลาที่เลิกเรียนควรจะต้องอยู่กับพ่อแม่ได้แล้ว ได้พักผ่อน ได้ทำกิจกรรมอื่นที่กระตุ้นเรื่องอื่น นอกเหนือจากการเรียน
เราเองเชื่อว่า สังคมไทยที่ยังไม่พัฒนา ดักดานอยู่แบบนี้ มันไม่ใช่สังคมที่ควรจะมีลูก หรือเลี้ยงเด็กเลยด้วยซ้ำ
พ่อแม่ทำงานหนัก เวลาให้ครอบครัวไม่มี สวัสดิการของรัฐก็ไม่มี ทั้งที่กระทรวงศึกษาธิการนี่ได้งบประมาณสูงสุดมาทุกปี
แต่ก็หมดไปกับการเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศทุกปีๆ หมดไปกับการพัฒนาวัตถุและสิ่งปลูกสร้าง
ไม่ได้เอางบประมาณมาใช้กับตัวเด็กๆ เลย แต่เวลาเด็กๆ ไปสร้างคุณงามความดี สร้างชื่อเสียง นี่ขอมีเอี่ยวด้วยทุกที
รัฐ ไม่ใช่แค่รัฐบาลนะคะ แต่ทางภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่รับผิดชอบ ต้องจริงจังกับเรื่องนี้ให้มากกว่านี้
การเลี้ยงเด็กคนนึง ไม่ใช่แค่ออกแต่นโยบาย ผักชีโรยหน้า หรือการสร้างครู มันเกี่ยวข้องทุกอย่างตั้งแต่ตัวพ่อแม่เอง
เวลาที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน การกระตุ้นพัฒนาการ พื้นที่ในการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม ปัจจัย 4 ทั้งหมด
อย่างที่บอก ประเทศไทยในตอนนี้ และที่ผ่านมา 50-60 ปี ไม่มีรัฐไหนจริงจังกับเรื่องการพัฒนาคนเลย
ไม่วายตอนนี้ว่าที่นายกฯทั้งหลาย พรรคการเมืองทั้งหลาย ก็ไม่มีทั้งเรื่องนี้และเรื่องสิ่งแวดล้อมที่กระทบโดยตรงกับเด็กๆ
รัฐสวัสดิการก็ไม่ช่วยตรงนี้ ภาระทั้งหลายก็มาตกที่พ่อแม่
เอาจริงๆ การให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงลูก ไม่ใช่ความพร้อมในการมีลูกค่ะ
การมีลูกที่พร้อมจริงๆ คือ พ่อแม่ต้องพร้อมเลี้ยงลูก จนกว่าลูกจะเข้าโรงเรียน
เอาจริงๆ เด็กไม่ควรเรียนอนุบาลด้วยซ้ำ เพราะหน้าที่ของเขาคือการเล่น และหน้าที่ของพ่อแม่คือการกระตุ้นพัฒนาการต่างๆ
จะมีสักกี่คน ที่สามารถหยุดงานได้ถึง 3-4 ปี เต็มที่ก็ 7 ปี ตอนที่ลูกเข้าการศึกษาภาคบังคับ
ครอบครัวหรือคนที่จะทำอย่างนั้นได้ ต้องมีเวลาที่มากพอ (ตัดเรื่องเงินทิ้งไปก่อน เลี้ยงเด็กใช้เวลาไม่ได้ใช้เงินค่ะ)
ดังนั้นหนึ่งปัจจัยที่ตามมาคือพ่อแม่ ถ้าไม่ได้มีกิจการเป็นของตัวเอง ยังเป็นลูกจ้างอยู่ เวลางานต้องยืดหยุ่น หรือสามารถทำงานที่ไหนก็ได้
ซึ่งในไทย บริษัทแบบนี้น้อยมาก แบบต้องนับนิ้วเอา หรือไม่ก็ต้องเป็นฟรีแลนซ์ไปเลย หรือลักษณะงานที่อยู่กับลูกได้
หรือไม่งั้นก็ต้องมีคนใดคนหนึ่งที่ลาออกมาเลี้ยงลูกเอง ซึ่งวิธีนี้ถ้าอีกคนไม่ได้มีรายได้ที่มากพอ การเงินในบ้านก็ฝืดอีก
มันก็เลยกลายเป็นการมีข้อจำกัดอีกมากมายอีกเช่นกัน ดังนั้นมันคือหน้าที่ของรัฐที่จะช่วยพ่อแม่สร้างเด็ก สร้างเด็กที่มีคุณภาพค่ะ
เรามองภาพใหญ่นะคะ ทุกอย่างมันเกี่ยวพันกันทั้งสิ้น สิ่งที่ประชาชนต้องอยู่และต้องเจอ
มันเป็นผลมาจากนโยบายและการทำงานของภาครัฐทั้งนั้น
อีกเรื่องเวลาเลิกเรียนของเด็กก็ไม่สัมพันธ์กับพ่อแม่แล้ว
ส่วนใหญ่เลิกเรียนกันบ่าย 3 โมง 4 โมง แต่ที่ทำงานที่เลิกเวลานี้มีไหม ถึงมีก็น้อยมากๆ
แล้วจากนั้นเด็กจะทำยังไง ก็คงไม่พ้นการเรียนพิเศษหรือให้ครูดูแล แต่ในความเป็นจริงๆ เด็กๆ เพลียแล้ว
เวลาที่เลิกเรียนควรจะต้องอยู่กับพ่อแม่ได้แล้ว ได้พักผ่อน ได้ทำกิจกรรมอื่นที่กระตุ้นเรื่องอื่น นอกเหนือจากการเรียน
เราเองเชื่อว่า สังคมไทยที่ยังไม่พัฒนา ดักดานอยู่แบบนี้ มันไม่ใช่สังคมที่ควรจะมีลูก หรือเลี้ยงเด็กเลยด้วยซ้ำ
พ่อแม่ทำงานหนัก เวลาให้ครอบครัวไม่มี สวัสดิการของรัฐก็ไม่มี ทั้งที่กระทรวงศึกษาธิการนี่ได้งบประมาณสูงสุดมาทุกปี
แต่ก็หมดไปกับการเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศทุกปีๆ หมดไปกับการพัฒนาวัตถุและสิ่งปลูกสร้าง
ไม่ได้เอางบประมาณมาใช้กับตัวเด็กๆ เลย แต่เวลาเด็กๆ ไปสร้างคุณงามความดี สร้างชื่อเสียง นี่ขอมีเอี่ยวด้วยทุกที
รัฐ ไม่ใช่แค่รัฐบาลนะคะ แต่ทางภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่รับผิดชอบ ต้องจริงจังกับเรื่องนี้ให้มากกว่านี้
การเลี้ยงเด็กคนนึง ไม่ใช่แค่ออกแต่นโยบาย ผักชีโรยหน้า หรือการสร้างครู มันเกี่ยวข้องทุกอย่างตั้งแต่ตัวพ่อแม่เอง
เวลาที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน การกระตุ้นพัฒนาการ พื้นที่ในการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม ปัจจัย 4 ทั้งหมด
อย่างที่บอก ประเทศไทยในตอนนี้ และที่ผ่านมา 50-60 ปี ไม่มีรัฐไหนจริงจังกับเรื่องการพัฒนาคนเลย
ไม่วายตอนนี้ว่าที่นายกฯทั้งหลาย พรรคการเมืองทั้งหลาย ก็ไม่มีทั้งเรื่องนี้และเรื่องสิ่งแวดล้อมที่กระทบโดยตรงกับเด็กๆ
ความคิดเห็นที่ 15
มักมีผู้ปกครองบางท่านบอกว่า ถ้ามีลูกจะเข้าใจ
ขอตอบนะครับว่า มีหลานครับ ให้ปู่ย่าเลี้ยงที่บ้าน เพราะเกรงใจคนอื่นที่ทำงานครับ
มุมส่วนตัวมองว่า หากไม่พร้อมก็ยังไม่ควรมีครับ หากคิดแค่ประโยชน์ส่วนตัวโดยอ้างเหตุผลต่างๆนานาเพื่อเบียดเบียนเพื่อนร่วมงานคงไม่ดีหรอกครับ
แต่ถ้าไม่มีศักยภาพหรือมีภาระไม่สามารถในการเลี้ยงดูจริงๆ ก็พามาเลี้ยงได้ครับ ขอแค่เลี้ยงดูเด็กๆให้เรียบร้อย เงียบๆและรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุดจะดีกว่าครับ ใจเขาใจเรานะครับ
ขอตอบนะครับว่า มีหลานครับ ให้ปู่ย่าเลี้ยงที่บ้าน เพราะเกรงใจคนอื่นที่ทำงานครับ
มุมส่วนตัวมองว่า หากไม่พร้อมก็ยังไม่ควรมีครับ หากคิดแค่ประโยชน์ส่วนตัวโดยอ้างเหตุผลต่างๆนานาเพื่อเบียดเบียนเพื่อนร่วมงานคงไม่ดีหรอกครับ
แต่ถ้าไม่มีศักยภาพหรือมีภาระไม่สามารถในการเลี้ยงดูจริงๆ ก็พามาเลี้ยงได้ครับ ขอแค่เลี้ยงดูเด็กๆให้เรียบร้อย เงียบๆและรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุดจะดีกว่าครับ ใจเขาใจเรานะครับ
ความคิดเห็นที่ 13
ตอบตามตรงทุกวันนี้โคตรรำคาญ xxx แหกปากเสียงดังไม่มีสมาธิ แล้วแทนที่พ่อแม่จะควบคุมดูแลให้ลูกหุบปาก กลับปล่อยให้แหกปาก เพื่อนร่วมงานก็คอยโอ๋ไปสิ ช่วงปิดเทอมเริ่มแยกไม่ออกว่านี่ออฟฟิตหรือเนสเซอรี่ บางคนก็รักเด็กเหลือเกิ๊น ทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กจนงานการไม่ทำ พอเราพูดหน่อยกลายเป็น คนไม่รักเด็กเกลียดเด็ก ส่วนตัวนี่เรารักเด็กนะ รักมากด้วยแต่คุณก็ต้องดูบริบทด้วยรึเปล่าถ้าคุณเอาลูกมาออฟฟิตด้วยนั้นหมายความว่าคุณต้องควบคุมลูกคุณได้ นี่ xxx ปล่อยวิ่งยังกับสนามเด็กเล่น เด็กไม่เกลียดแต่เกลียดพ่อแม่เด็กที่ผลักภาระให้เพื่อนร่วมงาน
แสดงความคิดเห็น
คิดยังไงกับการที่เพื่อนร่วมงานพาลูกมาเลี้ยง(มาเล่น)ที่ออฟฟิต?
ปล.กระทู้แรกค่ะ แท็คผิดต้องขออภัยค่ะ
ผปค = ผู้ปกครอง
แท็คมนุษย์เงินเดือนเพราะส่วนใหญ่น่าจะทำงานออฟฟิตค่ะ
แท็คเลี้ยงลูก สอนลูก เพราะอยากฟังความคิดเห็นของท่าน ผปค ด้วยค่ะ // ขอบคุณค่ะ