...หลังเลือกตั้ง " ยินดีได้ แต่ไม่ต้องรีบ "...
วันอาทิตย์ที่ 24 มี.ค. นอกเหนือจากการเป็นวันเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ยังเป็นอีกวันสำคัญที่จะทำให้คนหลายคนต้องจดจำไปทั้งชีวิต
เพราะจะ
เป็นวันที่คนจำนวนหนึ่งได้เดินเข้าสู่รัฐสภาอันทรงเกียรติ เป็นผู้แทนปวงชนที่จะเข้ามาทำหน้าที่อันสำคัญและใด้ใช้รัฐสภาแห่งใหม่เป็นชุดแรกจำนวน 500 คน ในขณะเดียวกันบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่วุฒิสมาชิกก็คงรอคอยด้วยใจจดใจจ่อ เพราะตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการประกาศผลรายชื่อของ สว ภายใน 3 วันหลังการประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไป
ความหมายตรงนี้ คนไม่เข้าใจไปตีความกันผิดๆ ว่า จะมี
การประกาศผลในวันที่ 27 มี.ค. ซึ่งต้องขออนุญาตทำความเข้าใจว่า ในอดีตที่ผ่านมารัฐธรรมนูญปี 2550 เคยกำหนดไว้ให้มีการประกาศผลใน 30 วัน
แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้การประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไปจะต้องทำให้ได้ใน 60 วัน นั่นหมายความว่าจะประกาศผลเมื่อเปิดประชุมสภาได้นั้น
จะต้องมี ส.ส. จำนวน 95% ขึ้นไป หากยังมีการรับรองผล ส.ส. ไม่ถึงจำนวนดังกล่าว การประกาศผลยังคงทำมิได้
หากภายใน 60 วันยังประกาศผลการเลือกตั้งไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น...
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ รายชื่อ ส.ว. ก็ยังคงจะไม่ถูกประกาศออกไป การเลือกตั้งครั้งนี้จะมี
แนวโน้มที่จะเกิดความยุ่งยากซับซ้อน เพราะหากเปิดประชุมรัฐสภาไม่ได้ การได้มาซึ่ง “
นายกรัฐมนตรี” เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลก็จะยังคงต้องรอคอยต่อไป
และหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในหกสิบวันหลังการประกาศผลหรือการรับรองการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทางรัฐบาลปัจจุบันจะมี
อำนาจตามกฎหมายในการนำความกราบบังคมทูลเพื่อขอยุบสภาฯ จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ส่วนกำหนดระยะเวลาจะเป็นเท่าใดเมื่อใดมิได้มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน
ความมุ่งหมายสำคัญของการเขียนบทบัญญัติในการรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ มีเหตุผลชัดเจน เพราะหากภายในระยะเวลา 60 วันภายหลังการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อสรรหานายกรัฐมนตรี ทางรัฐสภายังไม่สามารถหาข้อยุติได้ ชาติบ้านเมืองไม่สามารถรั้งรอให้นักการเมืองหรือผู้แทนปวงชนทั้งหลายเจรจาต่อรองเรื่องผลประโยชน์หรือเงื่อนไขต่างๆ ตามแต่จะมีขึ้นได้อีกต่อไป เพราะ
ผลประโยชน์ของประเทศย่อมต้องเดินหน้าต่อไปในวิถีทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศ
ในเรื่องนี้สิ่งที่หลายท่านอาจกังวลจะได้คลายกังวลได้ว่า ในการบริหารประเทศจะมีรัฐบาลชุดปัจจุบันทำหน้าที่ต่อไป โดยมิใช่รัฐบาลรักษาการ เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มมาตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2557 และจะยังคงมีอำนาจต่อไปบนเงื่อนไขเช่นเดียวเสมือนกับยังไม่มีการเลือกตั้งทั่วไป
และวุฒิสมาชิกที่เข้ามาในสภาวะที่ยังไม่มี ส.ว. ก็ยังคงปฎิบัติหน้าที่มิได้กระทั่งรัฐสภาชุดใหม่จะเกิดขึ้น
แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชุดปัจจุบัน จะยังคงทำหน้าที่สส และ ส.ว. ต่อไป กระทั่งมีการเปิดประชุมรัฐสภาได้เป็นครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป
เขียนมาถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจแล้วว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับที่มีหลายท่านโจมตีค่อนแคะวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางร้ายๆ นั้น โดยเนื้อแท้
ถ้าท่านได้เพ่งพินิจพิจารณาด้วยใจเป็นธรรม จะเข้าใจได้ว่า มีความต้องการเห็นระบบวิธีการทำงานในด้านต่างๆ ถูกขับเคลื่อนไปตามทำนองคอลงธรรม
ในการแข่งขันย่อมมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากการต่อสู้ทางการเมือง แต่
ผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง คือ สิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ความสำคัญเป็นเรื่องสูงสุด และมาตรการกลไกที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญมีไว้สำหรับเหตุผลดังกล่าว มิใช่เพื่อการสืบต่ออำนาจหรือเป็นสะพานให้กับผู้หนึ่งผู้ใดดังที่มีการกล่าวหากันเลย
ที่มา :
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/646850
...หลังเลือกตั้ง " ยินดีได้ แต่ไม่ต้องรีบ "...
วันอาทิตย์ที่ 24 มี.ค. นอกเหนือจากการเป็นวันเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ยังเป็นอีกวันสำคัญที่จะทำให้คนหลายคนต้องจดจำไปทั้งชีวิต
เพราะจะเป็นวันที่คนจำนวนหนึ่งได้เดินเข้าสู่รัฐสภาอันทรงเกียรติ เป็นผู้แทนปวงชนที่จะเข้ามาทำหน้าที่อันสำคัญและใด้ใช้รัฐสภาแห่งใหม่เป็นชุดแรกจำนวน 500 คน ในขณะเดียวกันบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่วุฒิสมาชิกก็คงรอคอยด้วยใจจดใจจ่อ เพราะตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการประกาศผลรายชื่อของ สว ภายใน 3 วันหลังการประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไป
ความหมายตรงนี้ คนไม่เข้าใจไปตีความกันผิดๆ ว่า จะมีการประกาศผลในวันที่ 27 มี.ค. ซึ่งต้องขออนุญาตทำความเข้าใจว่า ในอดีตที่ผ่านมารัฐธรรมนูญปี 2550 เคยกำหนดไว้ให้มีการประกาศผลใน 30 วัน
แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้การประกาศผลการเลือกตั้งทั่วไปจะต้องทำให้ได้ใน 60 วัน นั่นหมายความว่าจะประกาศผลเมื่อเปิดประชุมสภาได้นั้น จะต้องมี ส.ส. จำนวน 95% ขึ้นไป หากยังมีการรับรองผล ส.ส. ไม่ถึงจำนวนดังกล่าว การประกาศผลยังคงทำมิได้
หากภายใน 60 วันยังประกาศผลการเลือกตั้งไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น...
สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ รายชื่อ ส.ว. ก็ยังคงจะไม่ถูกประกาศออกไป การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีแนวโน้มที่จะเกิดความยุ่งยากซับซ้อน เพราะหากเปิดประชุมรัฐสภาไม่ได้ การได้มาซึ่ง “นายกรัฐมนตรี” เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลก็จะยังคงต้องรอคอยต่อไป
และหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในหกสิบวันหลังการประกาศผลหรือการรับรองการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทางรัฐบาลปัจจุบันจะมีอำนาจตามกฎหมายในการนำความกราบบังคมทูลเพื่อขอยุบสภาฯ จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ส่วนกำหนดระยะเวลาจะเป็นเท่าใดเมื่อใดมิได้มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน
ความมุ่งหมายสำคัญของการเขียนบทบัญญัติในการรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ มีเหตุผลชัดเจน เพราะหากภายในระยะเวลา 60 วันภายหลังการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อสรรหานายกรัฐมนตรี ทางรัฐสภายังไม่สามารถหาข้อยุติได้ ชาติบ้านเมืองไม่สามารถรั้งรอให้นักการเมืองหรือผู้แทนปวงชนทั้งหลายเจรจาต่อรองเรื่องผลประโยชน์หรือเงื่อนไขต่างๆ ตามแต่จะมีขึ้นได้อีกต่อไป เพราะผลประโยชน์ของประเทศย่อมต้องเดินหน้าต่อไปในวิถีทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศ
ในเรื่องนี้สิ่งที่หลายท่านอาจกังวลจะได้คลายกังวลได้ว่า ในการบริหารประเทศจะมีรัฐบาลชุดปัจจุบันทำหน้าที่ต่อไป โดยมิใช่รัฐบาลรักษาการ เพราะรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มมาตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2557 และจะยังคงมีอำนาจต่อไปบนเงื่อนไขเช่นเดียวเสมือนกับยังไม่มีการเลือกตั้งทั่วไป
และวุฒิสมาชิกที่เข้ามาในสภาวะที่ยังไม่มี ส.ว. ก็ยังคงปฎิบัติหน้าที่มิได้กระทั่งรัฐสภาชุดใหม่จะเกิดขึ้น
แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชุดปัจจุบัน จะยังคงทำหน้าที่สส และ ส.ว. ต่อไป กระทั่งมีการเปิดประชุมรัฐสภาได้เป็นครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป
เขียนมาถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านคงจะเข้าใจแล้วว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับที่มีหลายท่านโจมตีค่อนแคะวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางร้ายๆ นั้น โดยเนื้อแท้ถ้าท่านได้เพ่งพินิจพิจารณาด้วยใจเป็นธรรม จะเข้าใจได้ว่า มีความต้องการเห็นระบบวิธีการทำงานในด้านต่างๆ ถูกขับเคลื่อนไปตามทำนองคอลงธรรม
ในการแข่งขันย่อมมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์จากการต่อสู้ทางการเมือง แต่ผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง คือ สิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ความสำคัญเป็นเรื่องสูงสุด และมาตรการกลไกที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญมีไว้สำหรับเหตุผลดังกล่าว มิใช่เพื่อการสืบต่ออำนาจหรือเป็นสะพานให้กับผู้หนึ่งผู้ใดดังที่มีการกล่าวหากันเลย
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/646850