ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.share2trade.com/?mod=talk&file=view&id=462
คำว่า Blind Trust กำลังฟีดเต็มหน้าโซเชียลมีเดีย และสื่อกระแสหลักต่างๆ เต็มไปหมด หลังจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือ พ่อน้องฟ้า หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ลงนามสัญญาโยกย้ายสินทรัพย์มูลค่า 5 พันล้านบาท ให้ผู้จัดการกองทุนดูแล
ไม่ว่า นักวิชาการ และฝ่ายการเมืองต่างๆ จะมองเรื่องในมุมไหนก็ตาม สิ่งที่น่าทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกก็คือ ความหมายของ Blind Trust และความแตกต่างของตัวมันกับกองทุนทั่วไป
สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงการเงินหรือพอจะเล่นหุ้นมาบ้าง คงเข้าใจดีแล้วว่า "กองทุน" เป็นการนำเงินหรือสินทรัพย์จำนวนหนึ่ง อาจจะเป็นของหลายๆ คน หรือแค่คนเดียว หรือนิติบุคคลก็ได้ ไปบริหารจัดการต่างๆ โดยหวังให้เงินก้อนนี้เพิ่มพูนขึ้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มีกฎหมายกำกับดูแลอยู่ ส่วนรายละเอียดยิบย่อยว่าจะเอาเงินไปทำยังไงให้พอกพูนย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารกองทุนตัดสินใจ ส่วนคนที่ใส่เงินลงไปรอรับผลประโยชน์ตามตกลง และจะสามารถไถ่ถอนเงินคืนได้ตามกำหนดสัญญา บ้างครั้งเงินที่ได้คืนอาจน้อยกว่าเดิมถ้ากองทุนขาดทุน
มาถึง Blind Trust จริงๆ แล้วก็คือกองทุนประเภทหนึ่งนั่นเอง และมีการทำกันมานานแล้วทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย การแบ่งประเภทกองทุนพิจารณาได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามประเภทโครงการ
แบ่งตามนโยบายการลงทุน แบ่งตามการได้เงินมา (ในแต่ละประเภทยังแบ่งย่อยได้อีก) ซึ่งกองทุนประเภทที่มีชื่อว่า Private Fund แปลตรงตัวว่า "กองทุนส่วนบุคคล" สะดวกที่จะนำมาทำเป็น Blind Trust
สิ่งที่ Blind Trust แตกต่างจากกองทุนอื่นๆ เป็นเรื่องของเงื่อนไขที่จงใจกำหนดให้ เจ้าของผู้ใส่เงินหรือสินทรัพย์ ไม่รู้ว่าผู้จัดการกองทุนบริหารเงินหรือสินทรัพย์อย่างไร อีกทั้งไม่สามารถเข้าไปบงการใดๆ ได้จนกว่าจะสิ้นสุดกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ในแง่รายละเอียดต่างๆ และการเปิดเผยข้อมูลในร่างสัญญา รวมไปถึงการกำหนดว่าจะไม่ซื้อหุ้นในประเทศตนเอง ฯลฯ ตามที่เพิ่งเป็นข่าวเป็นเพียงการเพิ่มความเข้มข้นให้ Blind Trust ของพ่อน้องฟ้าที่ทำไว้กับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร
การใช้กองทุนประเภทนี้จุดมุ่งหมายเป็นไปเพื่อแสดงความโปร่งใสของเจ้าของสินทรัพย์ว่า ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนแอบแฝงกับหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ผู้จัดการกองทุนเข้าไปซื้อ จึงเหมาะที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะนำมาใช้
ส่วนสุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็นดาบสองคมที่ช่วยอำพรางข้อมูลทางการเงินดั่งที่ กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจของพรรคเก่าแก่ ตั้งข้อสังเกตไว้หรือไม่? คำตอบคงอยู่ในใจทุกคนแล้ว . . . .
Blind Trust คืออะไร ???
ไม่ว่า นักวิชาการ และฝ่ายการเมืองต่างๆ จะมองเรื่องในมุมไหนก็ตาม สิ่งที่น่าทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกก็คือ ความหมายของ Blind Trust และความแตกต่างของตัวมันกับกองทุนทั่วไป
สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงการเงินหรือพอจะเล่นหุ้นมาบ้าง คงเข้าใจดีแล้วว่า "กองทุน" เป็นการนำเงินหรือสินทรัพย์จำนวนหนึ่ง อาจจะเป็นของหลายๆ คน หรือแค่คนเดียว หรือนิติบุคคลก็ได้ ไปบริหารจัดการต่างๆ โดยหวังให้เงินก้อนนี้เพิ่มพูนขึ้น ซึ่งกระบวนการเหล่านี้มีกฎหมายกำกับดูแลอยู่ ส่วนรายละเอียดยิบย่อยว่าจะเอาเงินไปทำยังไงให้พอกพูนย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารกองทุนตัดสินใจ ส่วนคนที่ใส่เงินลงไปรอรับผลประโยชน์ตามตกลง และจะสามารถไถ่ถอนเงินคืนได้ตามกำหนดสัญญา บ้างครั้งเงินที่ได้คืนอาจน้อยกว่าเดิมถ้ากองทุนขาดทุน
มาถึง Blind Trust จริงๆ แล้วก็คือกองทุนประเภทหนึ่งนั่นเอง และมีการทำกันมานานแล้วทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย การแบ่งประเภทกองทุนพิจารณาได้หลายแบบ เช่น แบ่งตามประเภทโครงการ
แบ่งตามนโยบายการลงทุน แบ่งตามการได้เงินมา (ในแต่ละประเภทยังแบ่งย่อยได้อีก) ซึ่งกองทุนประเภทที่มีชื่อว่า Private Fund แปลตรงตัวว่า "กองทุนส่วนบุคคล" สะดวกที่จะนำมาทำเป็น Blind Trust
สิ่งที่ Blind Trust แตกต่างจากกองทุนอื่นๆ เป็นเรื่องของเงื่อนไขที่จงใจกำหนดให้ เจ้าของผู้ใส่เงินหรือสินทรัพย์ ไม่รู้ว่าผู้จัดการกองทุนบริหารเงินหรือสินทรัพย์อย่างไร อีกทั้งไม่สามารถเข้าไปบงการใดๆ ได้จนกว่าจะสิ้นสุดกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ในแง่รายละเอียดต่างๆ และการเปิดเผยข้อมูลในร่างสัญญา รวมไปถึงการกำหนดว่าจะไม่ซื้อหุ้นในประเทศตนเอง ฯลฯ ตามที่เพิ่งเป็นข่าวเป็นเพียงการเพิ่มความเข้มข้นให้ Blind Trust ของพ่อน้องฟ้าที่ทำไว้กับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร
การใช้กองทุนประเภทนี้จุดมุ่งหมายเป็นไปเพื่อแสดงความโปร่งใสของเจ้าของสินทรัพย์ว่า ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนแอบแฝงกับหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ผู้จัดการกองทุนเข้าไปซื้อ จึงเหมาะที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะนำมาใช้
ส่วนสุดท้ายแล้วอาจจะกลายเป็นดาบสองคมที่ช่วยอำพรางข้อมูลทางการเงินดั่งที่ กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจของพรรคเก่าแก่ ตั้งข้อสังเกตไว้หรือไม่? คำตอบคงอยู่ในใจทุกคนแล้ว . . . .