..." ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ "...
( เผยแพร่: 17 มี.ค. 2562 19:11 โดย: นพ นรนารถ )
ค่ำวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 คณะบุคคลหนึ่ง เข้านมัสการสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) ขณะนั้น ยังดำรงสมณศักดิ์พระพรหมคุณาภรณ์ ที่วัดญาณเวศกวัน เพื่อขอคำปรึกษาในเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนั้น ซึ่งประชาชนจำนวนมาก ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
สาระของการปุจฉาวิสัชนาในครั้งนั้นถูกบันทึกและจัดทำเป็นหนังสือ "
ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ "
(จุดบรรจบ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์) และบันทึกเสียงลงในแผ่นซีดีธรรมบรรยายชุดธรรมะสู่การเมือง
13 ปีผ่านไป ประเทศไทยเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านอีกครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม เป็นโอกาสให้นักการเมืองกำลังกลับมาเข้าสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง อำนาจที่พวกเขาได้มาแล้ว รักษาไว้ไม่ได้ เพราะแม้วิธีการที่ได้มาซึ่งอำนาจ จะถูกต้องตามกติกา แต่คนที่ใช้อำนาจ วิธีการใช้อำนาจไม่ชอบธรรม
เนื้อหาที่คัดลอกมานำเสนอนี้อยู่ในบทที่ 8 “ธรรมาธิปไตย” ของหนังสือ " ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ "
" ธรรมาธิปไตย "ไม่ใช่ระบบการปกครอง แต่เป็นคุณธรรมหรือคุณสมบัติในตัวคน แม้แต่สังฆะซึ่งเป็นสถาบันที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้นเอง ก็ไม่มีการปกครองที่เรียกว่าธรรมาธิปไตย คำว่า ธรรมาธิปไตย ไม่ใช่การปกครองที่ไหนทั้งนั้นแม้แต่ในคณะสงฆ์ แต่เป็นคุณสมบัติในตัวบุคคล
" ธรรมาธิปไตย " เป็นคำเก่าที่มีอยู่ก่อนแล้วในพระไตรปิฎก โดยมีความหมายของมันเองมาแต่เดิม ทีนี้ชื่อของมันเกิดมาคล้ายเข้ากับคำใหม่ที่เขาคิดบัญญัติขึ้นมาไม่นานนี้ว่า" ประชาธิปไตย "ซึ่งเป็นการบัญญัติเพื่อให้เป็นคำแปลของคำฝรั่งว่า"Democracy "
เมื่อเวลาผ่านมา คำว่า " ประชาธิปไตย " มีการใช้ดาษดื่นมาก จนกลายเป็นว่า คนรู้จักคำว่า " ประชาธิปไตย " มากกว่าคำว่า
" ธรรมาธิปไตย " พอเจอคำ " ธรรมาธิปไตย "ก็เลยชักจะมองความหมายของมันไปในเชิงที่จะให้เข้ากับหรือให้อนุวัตตามความหมายของคำว่า " ประชาธิปไตย "
ไปๆ มาๆ " ธรรมาธิปไตย "ก็เลยจะมีความหมายที่คลุมเครือหรือสับสน เพราะยกขึ้นมาพูดทีไร ก็มักมีเงาของคำว่า " ประชาธิปไตย " เข้ามาพาดผ่าน
"
ประชาธิปไตย "เป็นระบอบการปกครอง ซึ่งมีเรื่องของการจัดตั้งวางระบบ มีกระบวนการขั้นตอนระเบียบวิธีอะไรต่างๆ ในการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ระบบจัดตั้งที่ว่านี้ไม่มีในธรรมาธิปไตย เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปบอกให้พัฒนาประชาธิปไตยไปเป็นธรรมาธิปไตย ก็ย่อมมองไม่ชัด แล้วถ้าคนเข้าใจผิดว่าธรรมาธิปไตยเป็นระบอบเป็นระบบ ก็เลยจะยุ่งกันใหญ่ จึงต้องให้ชัดว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครอง
...ทีนี้ "
ธรรมาธิปไตย "คืออะไรล่ะ อันนี้ต้องดูที่การตัดสินใจของบุคคล...
" ธรรมาธิปไตย " เป็นเกณฑ์ตัดสินใจให้ได้ประชาธิปไตยที่ดี
ตรงนี้ดูให้ชัดนะ คือว่า
ในการปกครองทุกระบอบ มีองค์ประกอบสำคัญ คือ อำนาจตัดสินใจ
อันนี้เป็นตัวกำหนดเด็ดขาด การปกครองระบอบต่างๆ ทั้งหลายนั้น เมื่อมองไปให้ถึงที่สุดตัวกำหนดก็อยู่ที่อำนาจตัดสินใจ หมายความว่า อำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ไหน การปกครองก็คือระบอบนั้น จะเป็นระบอบการปกครองไหนก็ดูว่าอำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ใด
ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่บุคคลผู้เดียว ก็เป็น " เผด็จการ "
ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่คณะบุคคล ก็เป็น " คณาธิปไตย "
ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่ประชาชน ก็เป็น " ประชาธิปไตย "
ตอนนี้บ้านเมืองของเรานี้ ตกลงกันว่าให้เป็น " ประชาธิปไตย " อำนาจตัดสินใจก็จึงมาอยู่ที่ประชาชน
ปัจจุบัน เรามีระบอบประชาธิปไตยที่มีตัวแทน ประชาชนก็มอบอำนาจตัดสินใจนี้ให้แก่พวกตัวแทนที่พวกตนเลือกตั้งไปนั้น แล้วตัวแทนหรือผู้แทน (ส.ส.) เหล่านี้ ยังไปประชุมกันเลือกผู้นำหรือหัวหน้าผู้บริหารขึ้นมาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ก็เลยเท่ากับไปมอบอำนาจตัดสินใจให้กับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น
ดังนั้น
นายกรัฐมนตรีก็จึงเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ และทำการตัดสินใจในนามของประชาชน
ในเมื่ออำนาจตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการปกครองนั้น
มันก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งว่า บุคคลผู้ตัดสินใจจะใช้อำนาจตัดสินใจนั้น ด้วยเอาอะไรเป็นตัวกำหนด หรือเอาอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินใจ นี่เราดูตรงนี้นะ ไม่ว่าระบอบไหน จะเป็นระบอบเผด็จการหรือเป็นระบอบคณาธิปไตย หรือเป็นระบอบประชาธิปไตย ในเวลาที่ใช้อำนาจตัดสินใจ จะเอาอะไรเป็นเกณฑ์
ถ้าเอาตัวเอง เอาความยิ่งใหญ่ของตน เอาความทระนงตัว เอาทิฐิความเห็นความเชื่อยึดถือส่วนตัว เอาผลประโยชน์ของตน เป็นเกณฑ์ตัดสิน ก็เป็น "
อัตตาธิปไตย "
ถ้าตัดสินใจไปตามกระแสความนิยม เสียงเล่าลือ หรือแม้แต่ไม่เป็นตัวของตัวเอง คอยฟังว่าใครจะว่าอย่างไร อย่างที่ว่าแล้วแต่พวกมากลากไป หรือตามแรงกดดัน จะเอาใจเขา จะหาคะแนน หรือตอบแทนการเอื้อประโยชน์ ก็เป็น "
โลกาธิปไตย "
ถ้าเอาความจริงความถูกต้องดีงาม หลักการ กฎ กติกา เหตุผล ประโยชน์ที่แท้จริงของชีวิตและสังคม เป็นเกณฑ์ตัดสิน โดยใช้ปัญญาหาข้อมูลตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวาง ให้ถ่องแท้ ชัดเจน และพิจารณาอย่างดีที่สุด เต็มขีดแห่งสติปัญญาจะมองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็เป็น "
ธรรมาธิปไตย "
ฉะนั้น " ผู้เผด็จการ "...ก็เป็นได้ทั้ง " อัตตาธิปไตย "..." โลกาธิปไตย "...และ " ธรรมาธิปไตย "
" คณาธิปไตย "... ก็เป็นได้ทั้ง " อัตตาธิปไตย "..." โลกาธิปไตย "...และ " ธรรมาธิปไตย "
" ประชาธิปไตย " ก็เช่นเดียวกัน... ก็เป็นได้ทั้ง " อัตตาธิปไตย "..." โลกาธิปไตย "... และ " ธรรมาธิปไตย "
แต่ที่เราต้องการ ซึ่งดีที่สุด คือให้เป็น " ธรรมาธิปไตย "
ถ้า " ผู้เผด็จการ "ใช้เกณฑ์ตัดสินแบบ" ธรรมาธิปไตย " ก็เป็นเผด็จการที่ดี แต่เรากลัวว่าเขาจะตัดสินใจไม่รอบคอบ เพราะรู้ข้อมูลไม่ทั่วถึงหรือปัญญาอาจจะไม่พอ เป็นต้น
ถ้า" คณาธิปไตย "ที่ไหน เป็น " ธรรมาธิปไตย "มันก็ยังดี คือเป็นอย่างดีที่สุดของคณาธิปไตย แต่เราเห็นว่ามีจุดอ่อนอยู่มาก
ทีนี้เราหวังว่า ถ้าระบอบเป็น" ประชาธิปไตย " และคนใช้อำนาจตัดสินใจด้วยเกณฑ์" ธรรมาธิปไตย "ก็จะดีที่สุด จะเป็นอย่างนี้ได้ ก็ต้องให้ประชาชนทุกคนเป็นธรรมาธิปไตยเพราะประชาชนทุกคนมีอำนาจตัดสินใจ ตั้งแต่เลือกตั้งเลยทีเดียว ทุกคนต้องตัดสินใจเลือกด้วยเกณฑ์ธรรมาธิปไตย
ธรรมาธิปไตยของชาวบ้าน ถูกทดสอบครั้งสำคัญวันเลือกตั้ง พอถึงวันเลือกตั้ง เราตัดสินใจด้วยธรรมาธิปไตย
เลือกใครล่ะก็ใช้ปัญญาพิจารณาตรวจตราไล่ดูให้ชัดที่สุด ใครพรรคไหนเป็นคนดีมีธรรมมีปัญญาซื่อสัตย์สุจริตมุ่งทำประโยชน์แก่ส่วนรวมแน่นอน ก็ได้ตัวเลย บอกว่าคนนี้เป็นผู้แทนของเราได้ ผู้แทนเป็นอย่างไร ก็แสดงว่าผู้เลือกคงเป็นอย่างนั้น ถ้าผู้เลือกเป็นคนดี ก็คงได้ผู้แทนที่เป็นคนดี ถ้าผู้แทนชั่ว ก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่าผู้เลือกก็คงจะชั่วหรือมีคุณภาพต่ำ มองไปได้ถึงทั้งประเทศ คนชาติอื่นมองดูที่ ส.ส.ไทย แล้วบอกว่า คนไทยก็คืออย่างนี้
พูดสั้นๆ ว่า
" ธรรมาธิปไตย "จะต้องเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจของทุกกิจกรรมในระบอบประชาธิปไตย
เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นบททดสอบการใช้อำนาจตัดสินใจครั้งสำคัญยิ่งใหญ่ สำหรับประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ทีนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจใหญ่ที่สุด คือผู้บริหารสูงสุด ในกรณีนี้ก็คือนายกรัฐมนตรี เพราะได้รับมอบความไว้วางใจให้เป็นผู้ใช้อำนาจตัดสินใจนี้แทนประชาชน ในนามของประชาชน หรือในนามของประเทศชาติทั้งหมด เพราะฉะนั้น การใช้อำนาจตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีจึงสำคัญที่สุด
ถ้านายกรัฐมนตรีผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนประชาชนนี้ ใช้อำนาจตัดสินใจสูงสุดนั้น ด้วยเกณฑ์ " ธรรมาธิปไตย " ก็หวังได้ว่าเขาจะรักษาประเทศชาติไว้ด้วยดี และตัวเขาเองก็จะเป็นรัฐบุรุษ แต่ถ้านายกรัฐมนตรีใช้เกณฑ์" อัตตาธิปไตย " หรือ" โลกาธิปไตย "ในการตัดสินใจ แล้วไม่ช้าไม่นานนัก ประเทศชาติก็มีหวังปั่นป่วนวุ่นวาย และตัวเขาเองก็จะเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับรัฐบุรุษ
ตอนนี้ เรามีประชาธิปไตยที่ว่าเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุดหรือเลวน้อยที่สุดแล้ว ทำไมจึงต้องมาโอดครวญแต่ปัญหากันอยู่เรื่อย เรื่องก็คือว่า การใช้อำนาจตัดสินใจมันไปไม่ค่อยจะถึงธรรมาธิปไตยกันเลย หรือว่าธรรมาธิปไตยมันไม่ค่อยจะเด่นขึ้นมาให้เห็นชัดที่จะทำให้ชื่นใจมั่นใจ เมื่อไรๆ ก็ได้แต่นัวเนียตัดพ้อต่อว่า กระทั่งทะเลาะกันอยู่ ที่เรื่องอัตตาธิปไตยกับโลกาธิปไตยนั่นแหละ บางทีทำท่าจะเอาธรรมาธิปไตย แต่ก็อยู่แค่ธรรมชั้นสองที่เป็น กฎคนทำ อ้างกันอยู่นั่น ติดอยู่แค่นั้น ขึ้นไม่ค่อยถึงธรรมแท้ที่เป็น กฎแห่งธรรม ก็เลยเอาดีจริงไม่ได้
ระบอบประชาธิปไตยจะดีได้ คนต้องเป็นธรรมาธิปไตย เฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริหารสูงสุดที่ใช้อำนาจตัดสินใจในนามของประชาชน จะต้องทำการตัดสินใจด้วยเกณฑ์ธรรมาธิปไตย และประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจตัดสินใจ แต่ละคนต้องทำการตัดสินใจขั้นพื้นฐานของประชาธิปไตย ที่จะเลือกผู้แทนมารับมอบอำนาจตัดสินใจของตนไป ด้วยการเลือกตั้งที่ใช้เกณฑ์ธรรมาธิปไตย
ที่มา : https://mgronline.com/daily/detail/9620000026653
..." ธรรมาธิปไตย "จะต้องเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจของทุกกิจกรรมในระบอบประชาธิปไตย...
( เผยแพร่: 17 มี.ค. 2562 19:11 โดย: นพ นรนารถ )
ค่ำวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 คณะบุคคลหนึ่ง เข้านมัสการสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) ขณะนั้น ยังดำรงสมณศักดิ์พระพรหมคุณาภรณ์ ที่วัดญาณเวศกวัน เพื่อขอคำปรึกษาในเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนั้น ซึ่งประชาชนจำนวนมาก ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมขับไล่ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
สาระของการปุจฉาวิสัชนาในครั้งนั้นถูกบันทึกและจัดทำเป็นหนังสือ " ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ "
(จุดบรรจบ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์) และบันทึกเสียงลงในแผ่นซีดีธรรมบรรยายชุดธรรมะสู่การเมือง
13 ปีผ่านไป ประเทศไทยเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านอีกครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม เป็นโอกาสให้นักการเมืองกำลังกลับมาเข้าสู่อำนาจอีกครั้งหนึ่ง อำนาจที่พวกเขาได้มาแล้ว รักษาไว้ไม่ได้ เพราะแม้วิธีการที่ได้มาซึ่งอำนาจ จะถูกต้องตามกติกา แต่คนที่ใช้อำนาจ วิธีการใช้อำนาจไม่ชอบธรรม
เนื้อหาที่คัดลอกมานำเสนอนี้อยู่ในบทที่ 8 “ธรรมาธิปไตย” ของหนังสือ " ธรรมาธิปไตยไม่มา จึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ "
" ธรรมาธิปไตย "ไม่ใช่ระบบการปกครอง แต่เป็นคุณธรรมหรือคุณสมบัติในตัวคน แม้แต่สังฆะซึ่งเป็นสถาบันที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้นเอง ก็ไม่มีการปกครองที่เรียกว่าธรรมาธิปไตย คำว่า ธรรมาธิปไตย ไม่ใช่การปกครองที่ไหนทั้งนั้นแม้แต่ในคณะสงฆ์ แต่เป็นคุณสมบัติในตัวบุคคล
" ธรรมาธิปไตย " เป็นคำเก่าที่มีอยู่ก่อนแล้วในพระไตรปิฎก โดยมีความหมายของมันเองมาแต่เดิม ทีนี้ชื่อของมันเกิดมาคล้ายเข้ากับคำใหม่ที่เขาคิดบัญญัติขึ้นมาไม่นานนี้ว่า" ประชาธิปไตย "ซึ่งเป็นการบัญญัติเพื่อให้เป็นคำแปลของคำฝรั่งว่า"Democracy "
เมื่อเวลาผ่านมา คำว่า " ประชาธิปไตย " มีการใช้ดาษดื่นมาก จนกลายเป็นว่า คนรู้จักคำว่า " ประชาธิปไตย " มากกว่าคำว่า
" ธรรมาธิปไตย " พอเจอคำ " ธรรมาธิปไตย "ก็เลยชักจะมองความหมายของมันไปในเชิงที่จะให้เข้ากับหรือให้อนุวัตตามความหมายของคำว่า " ประชาธิปไตย "
ไปๆ มาๆ " ธรรมาธิปไตย "ก็เลยจะมีความหมายที่คลุมเครือหรือสับสน เพราะยกขึ้นมาพูดทีไร ก็มักมีเงาของคำว่า " ประชาธิปไตย " เข้ามาพาดผ่าน
" ประชาธิปไตย "เป็นระบอบการปกครอง ซึ่งมีเรื่องของการจัดตั้งวางระบบ มีกระบวนการขั้นตอนระเบียบวิธีอะไรต่างๆ ในการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ระบบจัดตั้งที่ว่านี้ไม่มีในธรรมาธิปไตย เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปบอกให้พัฒนาประชาธิปไตยไปเป็นธรรมาธิปไตย ก็ย่อมมองไม่ชัด แล้วถ้าคนเข้าใจผิดว่าธรรมาธิปไตยเป็นระบอบเป็นระบบ ก็เลยจะยุ่งกันใหญ่ จึงต้องให้ชัดว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครอง
...ทีนี้ " ธรรมาธิปไตย "คืออะไรล่ะ อันนี้ต้องดูที่การตัดสินใจของบุคคล...
" ธรรมาธิปไตย " เป็นเกณฑ์ตัดสินใจให้ได้ประชาธิปไตยที่ดี
ตรงนี้ดูให้ชัดนะ คือว่าในการปกครองทุกระบอบ มีองค์ประกอบสำคัญ คือ อำนาจตัดสินใจ
อันนี้เป็นตัวกำหนดเด็ดขาด การปกครองระบอบต่างๆ ทั้งหลายนั้น เมื่อมองไปให้ถึงที่สุดตัวกำหนดก็อยู่ที่อำนาจตัดสินใจ หมายความว่า อำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ไหน การปกครองก็คือระบอบนั้น จะเป็นระบอบการปกครองไหนก็ดูว่าอำนาจตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่ใด
ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่บุคคลผู้เดียว ก็เป็น " เผด็จการ "
ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่คณะบุคคล ก็เป็น " คณาธิปไตย "
ถ้าอำนาจตัดสินใจอยู่ที่ประชาชน ก็เป็น " ประชาธิปไตย "
ตอนนี้บ้านเมืองของเรานี้ ตกลงกันว่าให้เป็น " ประชาธิปไตย " อำนาจตัดสินใจก็จึงมาอยู่ที่ประชาชน
ปัจจุบัน เรามีระบอบประชาธิปไตยที่มีตัวแทน ประชาชนก็มอบอำนาจตัดสินใจนี้ให้แก่พวกตัวแทนที่พวกตนเลือกตั้งไปนั้น แล้วตัวแทนหรือผู้แทน (ส.ส.) เหล่านี้ ยังไปประชุมกันเลือกผู้นำหรือหัวหน้าผู้บริหารขึ้นมาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ก็เลยเท่ากับไปมอบอำนาจตัดสินใจให้กับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีก็จึงเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ และทำการตัดสินใจในนามของประชาชน
ในเมื่ออำนาจตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการปกครองนั้น มันก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งว่า บุคคลผู้ตัดสินใจจะใช้อำนาจตัดสินใจนั้น ด้วยเอาอะไรเป็นตัวกำหนด หรือเอาอะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินใจ นี่เราดูตรงนี้นะ ไม่ว่าระบอบไหน จะเป็นระบอบเผด็จการหรือเป็นระบอบคณาธิปไตย หรือเป็นระบอบประชาธิปไตย ในเวลาที่ใช้อำนาจตัดสินใจ จะเอาอะไรเป็นเกณฑ์
ถ้าเอาตัวเอง เอาความยิ่งใหญ่ของตน เอาความทระนงตัว เอาทิฐิความเห็นความเชื่อยึดถือส่วนตัว เอาผลประโยชน์ของตน เป็นเกณฑ์ตัดสิน ก็เป็น " อัตตาธิปไตย "
ถ้าตัดสินใจไปตามกระแสความนิยม เสียงเล่าลือ หรือแม้แต่ไม่เป็นตัวของตัวเอง คอยฟังว่าใครจะว่าอย่างไร อย่างที่ว่าแล้วแต่พวกมากลากไป หรือตามแรงกดดัน จะเอาใจเขา จะหาคะแนน หรือตอบแทนการเอื้อประโยชน์ ก็เป็น " โลกาธิปไตย "
ถ้าเอาความจริงความถูกต้องดีงาม หลักการ กฎ กติกา เหตุผล ประโยชน์ที่แท้จริงของชีวิตและสังคม เป็นเกณฑ์ตัดสิน โดยใช้ปัญญาหาข้อมูลตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวาง ให้ถ่องแท้ ชัดเจน และพิจารณาอย่างดีที่สุด เต็มขีดแห่งสติปัญญาจะมองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็เป็น " ธรรมาธิปไตย "
ฉะนั้น " ผู้เผด็จการ "...ก็เป็นได้ทั้ง " อัตตาธิปไตย "..." โลกาธิปไตย "...และ " ธรรมาธิปไตย "
" คณาธิปไตย "... ก็เป็นได้ทั้ง " อัตตาธิปไตย "..." โลกาธิปไตย "...และ " ธรรมาธิปไตย "
" ประชาธิปไตย " ก็เช่นเดียวกัน... ก็เป็นได้ทั้ง " อัตตาธิปไตย "..." โลกาธิปไตย "... และ " ธรรมาธิปไตย "
แต่ที่เราต้องการ ซึ่งดีที่สุด คือให้เป็น " ธรรมาธิปไตย "
ถ้า " ผู้เผด็จการ "ใช้เกณฑ์ตัดสินแบบ" ธรรมาธิปไตย " ก็เป็นเผด็จการที่ดี แต่เรากลัวว่าเขาจะตัดสินใจไม่รอบคอบ เพราะรู้ข้อมูลไม่ทั่วถึงหรือปัญญาอาจจะไม่พอ เป็นต้น
ถ้า" คณาธิปไตย "ที่ไหน เป็น " ธรรมาธิปไตย "มันก็ยังดี คือเป็นอย่างดีที่สุดของคณาธิปไตย แต่เราเห็นว่ามีจุดอ่อนอยู่มาก
ทีนี้เราหวังว่า ถ้าระบอบเป็น" ประชาธิปไตย " และคนใช้อำนาจตัดสินใจด้วยเกณฑ์" ธรรมาธิปไตย "ก็จะดีที่สุด จะเป็นอย่างนี้ได้ ก็ต้องให้ประชาชนทุกคนเป็นธรรมาธิปไตยเพราะประชาชนทุกคนมีอำนาจตัดสินใจ ตั้งแต่เลือกตั้งเลยทีเดียว ทุกคนต้องตัดสินใจเลือกด้วยเกณฑ์ธรรมาธิปไตย
ธรรมาธิปไตยของชาวบ้าน ถูกทดสอบครั้งสำคัญวันเลือกตั้ง พอถึงวันเลือกตั้ง เราตัดสินใจด้วยธรรมาธิปไตย
เลือกใครล่ะก็ใช้ปัญญาพิจารณาตรวจตราไล่ดูให้ชัดที่สุด ใครพรรคไหนเป็นคนดีมีธรรมมีปัญญาซื่อสัตย์สุจริตมุ่งทำประโยชน์แก่ส่วนรวมแน่นอน ก็ได้ตัวเลย บอกว่าคนนี้เป็นผู้แทนของเราได้ ผู้แทนเป็นอย่างไร ก็แสดงว่าผู้เลือกคงเป็นอย่างนั้น ถ้าผู้เลือกเป็นคนดี ก็คงได้ผู้แทนที่เป็นคนดี ถ้าผู้แทนชั่ว ก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่าผู้เลือกก็คงจะชั่วหรือมีคุณภาพต่ำ มองไปได้ถึงทั้งประเทศ คนชาติอื่นมองดูที่ ส.ส.ไทย แล้วบอกว่า คนไทยก็คืออย่างนี้
พูดสั้นๆ ว่า" ธรรมาธิปไตย "จะต้องเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจของทุกกิจกรรมในระบอบประชาธิปไตย
เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้ง ซึ่งเป็นบททดสอบการใช้อำนาจตัดสินใจครั้งสำคัญยิ่งใหญ่ สำหรับประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ทีนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจใหญ่ที่สุด คือผู้บริหารสูงสุด ในกรณีนี้ก็คือนายกรัฐมนตรี เพราะได้รับมอบความไว้วางใจให้เป็นผู้ใช้อำนาจตัดสินใจนี้แทนประชาชน ในนามของประชาชน หรือในนามของประเทศชาติทั้งหมด เพราะฉะนั้น การใช้อำนาจตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีจึงสำคัญที่สุด
ถ้านายกรัฐมนตรีผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจแทนประชาชนนี้ ใช้อำนาจตัดสินใจสูงสุดนั้น ด้วยเกณฑ์ " ธรรมาธิปไตย " ก็หวังได้ว่าเขาจะรักษาประเทศชาติไว้ด้วยดี และตัวเขาเองก็จะเป็นรัฐบุรุษ แต่ถ้านายกรัฐมนตรีใช้เกณฑ์" อัตตาธิปไตย " หรือ" โลกาธิปไตย "ในการตัดสินใจ แล้วไม่ช้าไม่นานนัก ประเทศชาติก็มีหวังปั่นป่วนวุ่นวาย และตัวเขาเองก็จะเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับรัฐบุรุษ
ตอนนี้ เรามีประชาธิปไตยที่ว่าเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุดหรือเลวน้อยที่สุดแล้ว ทำไมจึงต้องมาโอดครวญแต่ปัญหากันอยู่เรื่อย เรื่องก็คือว่า การใช้อำนาจตัดสินใจมันไปไม่ค่อยจะถึงธรรมาธิปไตยกันเลย หรือว่าธรรมาธิปไตยมันไม่ค่อยจะเด่นขึ้นมาให้เห็นชัดที่จะทำให้ชื่นใจมั่นใจ เมื่อไรๆ ก็ได้แต่นัวเนียตัดพ้อต่อว่า กระทั่งทะเลาะกันอยู่ ที่เรื่องอัตตาธิปไตยกับโลกาธิปไตยนั่นแหละ บางทีทำท่าจะเอาธรรมาธิปไตย แต่ก็อยู่แค่ธรรมชั้นสองที่เป็น กฎคนทำ อ้างกันอยู่นั่น ติดอยู่แค่นั้น ขึ้นไม่ค่อยถึงธรรมแท้ที่เป็น กฎแห่งธรรม ก็เลยเอาดีจริงไม่ได้
ระบอบประชาธิปไตยจะดีได้ คนต้องเป็นธรรมาธิปไตย เฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บริหารสูงสุดที่ใช้อำนาจตัดสินใจในนามของประชาชน จะต้องทำการตัดสินใจด้วยเกณฑ์ธรรมาธิปไตย และประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจตัดสินใจ แต่ละคนต้องทำการตัดสินใจขั้นพื้นฐานของประชาธิปไตย ที่จะเลือกผู้แทนมารับมอบอำนาจตัดสินใจของตนไป ด้วยการเลือกตั้งที่ใช้เกณฑ์ธรรมาธิปไตย
ที่มา : https://mgronline.com/daily/detail/9620000026653