สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีเรื่องที่สงสัยและอยากทราบในเหตุผลของธ.ว่าทำไมถึงไม่ยอมทำเรื่องหักเงินจากเงินเดือนของลูกหนี้คนที่ 1 ทั้งๆ ที่ลูกหนี้คนที่ 1 มีงานมีเงินเดือนมากกว่า ลูกหนี้คนที่ 2 และ 3
เราไม่รู้จะแทนตัวบุคคลยังไง เอาแบบนี้แล้วกัน
ธ.สีชมพู
ลูกหนี้คนที่ 1 คนที่มีปัญหา
ลูกหนี้คนที่ 2 พี่ที่ทำงาน
ลูกหนี้คนที่ 3 เราเอง
ก่อนอื่นเลยนะคะเราเมื่อช่วงปี 2554 เราทั้ง 3 คนทำงานอยู่งบ.เดียวกัน แล้วทางธ.ก็มีโครงการมานำเสนอคือ “โครงการกู้ยืมเงินเพื่อการบริโภค” (เราไม่คิดเลยค่ะว่าความหวังในวันนั้นจะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานในวันนี้) โดยการกู้ยืมครั้งนี้จะเป็นการกู้ยืมร่วมกันเป็นกลุ่ม 3 คน ผลัดกันค้ำ ซึ่งกันและกัน โดยระยะผ่อนทั้งหมด 96 งวด
ซึ่งตอนแรกทุกอย่างก็ดำเนินมาเป็นแบบปกติสุข แต่ความสุขทั้งหมดก็เริ่มหมดลง เมื่อลูกหนี้คนที่ 1 พ้นสภาพจากการทำงานในปี 2558 ซึ่งตอนนั้นเราคิดไว้แล้วว่าชีวิตคงเกิดความบรรลัยขึ้นมาก็คราวนี้ซึ่งก็เป็นจริงดังนั้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่าน2558-2561ก็จะได้รับการติดต่อจากจนท.ของธ.อยู่เป็นระยะและจดหมายจากทางธ.อยู่ตลอด (ซึ่งตอนนั้นเราก็ติดต่อกับทางลูกหนี้ร่วมคนที่ 1 อยู่ตลอดและบอกให้เค้าเข้าไปติดต่อกับทางธ. แต่ก็บ่ายเบี่ยงบ้างซึ่งแล้วแต่เหตุ 108 ที่จะอ้าง)
ซี่งตอนนั้นเราได้ปรึกษากับลูกหนี้คนที่ 2 ว่าจะทำยังไง ทางลูกหนี้คนที่ 2 แจ้งว่าให้เรื่องไปถึงศาลดีกว่าจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร(บอกตามตรงส่วนตัวเราเราไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง)
เราเคยเข้าไปคุยกับธ.มาครั้งนึง ทางธ.ก็แจ้งว่าถ้าลูกหนี้คนที่ 1 ไม่มาจ่ายทางธ.ก็ต้องส่งเรื่องไปศาล ตอนนั้นเราก็ให้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้คนที่ 1 ไปหลายอย่าง เบอร์โทร สถานที่ทำงาน และเราเคยถามกับจนท.ว่าทำไมไม่ทำเรื่องหักเงินเดือนแบบที่กยศ.ทำ แต่ทางจนท.แจ้งว่ามันไม่ใช่หน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องทำและไม่สามารถทำได้ต้องเป็นไปตามกระบวนการ
จนเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2561 ก็ได้รับหนังสือให้ไปศาล เพื่อไกล่เกลี่ย ซึ่งเราก็ไปตามนัด (วันที่25) ซึ่งในวันนั้นก็ได้มีการตกลงทำสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมา โดยยอดหนี้ล่าสุด 246,907 บาท(จาก 300,000) ซึ่งในวันนี้ที่ได้มาเจอหน้ากันอีกครั้ง ลูกหนี้คนที่ 1 แจ้งว่าไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้น้องทำงานอยู่ในหน่วยงานภาครัฐสามารถกู้ยืมเงินได้ แต่ต้องรอให้น้องมีอายุการทำงานครบ 6 เดือนก่อน ซึ่งอีกไม่นานก็ครบละได้กู้เงินมาปิดยอดตรงนี้ให้ (ให้สบายใจและอดทนรอ) แล้วก็แยกย้ายกลับ
ตุลาคม 2561เดือนแรกของการเริ่มชำระใหม่บอกเลยว่าเป็นเพราะเราทั้งนั้นเราต้องคอยตามคอยย้ำและเดินไปโอนเงินให้อีกต่างหาก (งวดแรกของเดือนกันยายน 2561)
พอมางวด 2 ของเดือนตุลาคมเราก็ทำแบบเดิมอีกคอยตามคอยทวงแต่ทุกครั้งที่ได้รับข้อความตอบกลับมาบอกตรงๆ ทำร้ายจิตใจและความรู้สึกมากจนเราปล่อยวาง (กลางเดือนพฤศจิกายน 2561)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2562ทางธ.ก็แจ้งมาว่าถ้าไม่ทำการชำระจะต้องส่งเรื่องไปขั้นตอนของการบังคับคดีเกี่ยวกับการอายัด ซึ่งตอนนั้นเราเครียดมากเราได้โทรไปแจ้งกับทางลูกหนี้คนที่ 1 ทางนั้นตอบกลับมาว่าก็ดีได้ทำเรื่องหักจากเงินเดือนจบเรื่องจบราวและจะได้ไม่เดือดร้อนถึงเราและ อีกคน (ทำไมฟังดูมันง่ายดายขนาดนั้น...ซึ่งเราคิดว่ามันไม่น่าจะใช่)
รายละเอียดคร่าวๆ ช่วงที่เราปล่อยวางกับลูกหนี้คนที่ 1 ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2561 จนมาถึงตอนนี้มีนาคม 2562 ทางลูกหนี้คนที่ 1 ก็ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระดังกล่าวได้ โดยให้เหตุผลที่ว่า ทุกวันนี้ทำงานเงินไม่ได้อยู่ในมือแต่เงินไปอยู่ที่เจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่(โดยได้ทำการยึดสมุดบัญชีธ.และATM ไว้) ถามว่าเชื่อไหมก็ 50/50 และทางลูกหนี้คนที่1ก็อยากให้ทางธ.ทำเรื่องหักเงินผ่านบัญชีเงินเดือนเหมือนที่เคยหักมา ซึ่งถ้าหักได้ก็สบายแล้วไม่มีอะไรต้องห่วง แล้วเราก็ได้ถามไปอีกครั้งว่า แล้วเรื่องที่จะให้น้องกู้ยืมเงินละทำไมถึงยังไม่ทำ ทางลูกหนี้คนที่ 1 ก็บอกว่าอายุการทำงานของน้องครบแล้วแต่มันจะต้องกู้ร่วมกัน 3 คนและสลับกันค้ำ แต่อีก 2 คนอายุงานยังไม่ถึง (เชื่อไหม....ตอบไม่ได้เลย)
วันที่ 6 มีนาคม 2562 เราได้ตัดสินใจโทรไปถามกับทางจนท.ของธ.(โทรแบบเปิดลำโพงฟังพร้อมกัน 2 คนเราและลูกหนี้คนที่ 2)อีกครั้งว่าทำไมถึงทำเรื่องหักจากระบบเงินเดือนของลูกหนี้คนที่ 1 ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีงานทำเงินเดือนมากกว่าเราลูกหนี้คนที่ 2 และ 3 ทางจนท.แจ้งว่าเนื่องจากลูกหนี้คนที่ 1 มีเงินค้างอยู่(ก็เงินยอดใหม่ตั้งแต่ตค.61-มี.ค.62 ซึ่งยอดตอนนี้ก็9พันกว่าบาทแล้ว) ต้องมาเคลียหนี้ก้อนนี้ก่อน ทะจำทำเรื่องส่งไปให้สถานที่ทำงานของลูกหนี้คนที่ 1 ได้ ซึ่งเราก็ถามว่ามันสามารถทำเรื่องหักเงินผ่านเงินเดือนได้จริงๆ ใช่ไหม ทางจนท.แจ้งว่าได้ เนื่องจากที่ทำงานใหม่ของลูกหนี้คนที่ 1 ก็มีโครงการแบบเดียวกันกับทางธ.ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
และหลังจากที่ได้ฟังรายละเอียดกับจนท.ของทางธ. เราก็ได้โทรไปแจ้งกับลูกหนี้คนที่ 1 ตามที่ได้รับฟังมาว่าทำไมถึงทำเรื่องหักจากเงินเดือนไม่ได้ เพราะมีหนี้ก้อนใหม่ค้างอยู่นั้นเอง (ซึ่งลูกหนี้คนที่ 1 แจ้งว่าแล้วทำไมไม่รวมยอดทั้งหมดแล้วหักจากเงินเดือนไปเลยจะกี่บาทก็หักไป....ฟังดูเหมือนง่ายตลอด)
ซึ่งตอนนี้เราได้ปรึกษากับทางลูกหนี้คนที่ 2 ว่าเราจะทำยังไงดีให้ทุกอย่างมันง่ายที่สุดสำหรับเราทั้ง 2 คนเราไม่อยากให้เรื่องไปถึงการบังคับคดี ถ้าเรื่องมันสามารถจะทำรายการหักผ่านจากบัญชีเงินเดือนได้
ทางเลือกที่ 1 เรา 3 คนต้องหาเงินมา คนละ 4,000 บาทเพื่อนำเงินมาปิดหนี้ก้อนนี้ก่อนแล้วให้ธ.ทำเรื่องหักผ่านบัญชีเงินเดือนของผู้กู้คนที่ 1 ต่อไป ซึ่งเราบอกตามตรงเรามองไม่เห็นทางเลยว่าลูกหนี้คนที่ 1 จะหาเงินมาได้ (นัดรอคำตอบสิ้นเดือน) แต่ลูกหนี้คนที่ 1 แจ้งว่าจะพยายามเคลียให้ก่อน 15 นี้ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน 18 ไร้วี่แวว
ทางเลือกที่ 2 เราและลูกหนี้คนที่ 2 หาเงินคนละ 6,000 บาทมาช่วยตรงนี้ โดยหวังใจมากกว่าจะกู้เงินกับทางที่ทำงานเพราะไม่มีดอกขอผ่อนเดือนละ 500-600 เดี๋ยวก็หมด แต่เมื่อไปทำเรื่องขอกู้ยืมกลับพบว่าเดี่ยวนี้ระเบียบเปลี่ยนใหม่จากเมื่อก่อนกู้ยืมได้ไม่มีดอกเบี้ยแต่ ณ ปัจจุบัน ร้อยละ 20 น้ำตาจะไหล หนี้เก่าก็มีจะก่อหนี้ใหม่เพิ่มไปเพื่อ แม้จะไม่มากแต่ถ้าหากเลือกได้ก็ไม่อยากทำ
ทางเลือกที่ 3 เราไม่รู้นะว่าการอายัดเงินเดือนทำไมลูกหนี้คนที่ 1 พูดให้เราฟังวันนั้นเหมือนง่าย ใครมีคำแนะนำช่วยไขข้องข้องใจด้วยค่ะ หรือเราจะรอให้ถึงขั้นนั้นไปเลย
และสิ่งที่กำลังกังวลถ้าเราปิดก้อนหนี้แล้วทางธ.ทำเรื่องขอหักเงินเดือนกับทางบ.ของลูกหนี้คนที่ 1 ไม่ผ่าน ชีวิตเราคงเหมือนตายทั้งเป็น
**ซึ่งใจเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าทางธ.ได้เห็นข้อความนี้ อยากให้ธ.ช่วยทำเรื่องทั้งหมดกับทางบ.ของลูกหนี้คนที่ 1 ให้ด้วย โดยที่เราไม่ต้องมากู้ยืมเงินตรงนี้ เราเป็นหนี้อยู่แล้วก็ไม่อยากมีหนี้เพิ่ม เราและลูกหนี้คนที่ 2 เป็นลูกหนี้ที่ดีผ่อนจ่ายทุกเดือนไม่เคยขาดและยอดหนี้ก็ใกล้จะหมดแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะหมดตรงนี้เราจะไม่มีหนี้อื่น เราก็ยังมีหนี้อื่นรออยู่เหมือนกันถ้ามีทางไหนที่ไม่ต้องเพิ่มยอดหนี้ของเราได้มันก็จะดีมาก แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นเราก็พร้อมรับผิดชอบ**
หรือถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีข้อแนะนำที่ดี เราก็อยากได้รับคำแนะนำค่ะ
ต้องขออภัยด้วยหากเนื้อหานี้มันมีผลกระทบกับใคร เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ อยากให้รู้ว่าไม่ตั้งใจแต่เราจนปัญญาจริงๆ เลยต้องมาขอความช่วยเหลือในนี้ค่ะ
ความหวังในวันนั้นหรือความทุกข์ในใจวันนี้
เราไม่รู้จะแทนตัวบุคคลยังไง เอาแบบนี้แล้วกัน
ธ.สีชมพู
ลูกหนี้คนที่ 1 คนที่มีปัญหา
ลูกหนี้คนที่ 2 พี่ที่ทำงาน
ลูกหนี้คนที่ 3 เราเอง
ก่อนอื่นเลยนะคะเราเมื่อช่วงปี 2554 เราทั้ง 3 คนทำงานอยู่งบ.เดียวกัน แล้วทางธ.ก็มีโครงการมานำเสนอคือ “โครงการกู้ยืมเงินเพื่อการบริโภค” (เราไม่คิดเลยค่ะว่าความหวังในวันนั้นจะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานในวันนี้) โดยการกู้ยืมครั้งนี้จะเป็นการกู้ยืมร่วมกันเป็นกลุ่ม 3 คน ผลัดกันค้ำ ซึ่งกันและกัน โดยระยะผ่อนทั้งหมด 96 งวด
ซึ่งตอนแรกทุกอย่างก็ดำเนินมาเป็นแบบปกติสุข แต่ความสุขทั้งหมดก็เริ่มหมดลง เมื่อลูกหนี้คนที่ 1 พ้นสภาพจากการทำงานในปี 2558 ซึ่งตอนนั้นเราคิดไว้แล้วว่าชีวิตคงเกิดความบรรลัยขึ้นมาก็คราวนี้ซึ่งก็เป็นจริงดังนั้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่าน2558-2561ก็จะได้รับการติดต่อจากจนท.ของธ.อยู่เป็นระยะและจดหมายจากทางธ.อยู่ตลอด (ซึ่งตอนนั้นเราก็ติดต่อกับทางลูกหนี้ร่วมคนที่ 1 อยู่ตลอดและบอกให้เค้าเข้าไปติดต่อกับทางธ. แต่ก็บ่ายเบี่ยงบ้างซึ่งแล้วแต่เหตุ 108 ที่จะอ้าง)
ซี่งตอนนั้นเราได้ปรึกษากับลูกหนี้คนที่ 2 ว่าจะทำยังไง ทางลูกหนี้คนที่ 2 แจ้งว่าให้เรื่องไปถึงศาลดีกว่าจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร(บอกตามตรงส่วนตัวเราเราไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง)
เราเคยเข้าไปคุยกับธ.มาครั้งนึง ทางธ.ก็แจ้งว่าถ้าลูกหนี้คนที่ 1 ไม่มาจ่ายทางธ.ก็ต้องส่งเรื่องไปศาล ตอนนั้นเราก็ให้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้คนที่ 1 ไปหลายอย่าง เบอร์โทร สถานที่ทำงาน และเราเคยถามกับจนท.ว่าทำไมไม่ทำเรื่องหักเงินเดือนแบบที่กยศ.ทำ แต่ทางจนท.แจ้งว่ามันไม่ใช่หน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องทำและไม่สามารถทำได้ต้องเป็นไปตามกระบวนการ
จนเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2561 ก็ได้รับหนังสือให้ไปศาล เพื่อไกล่เกลี่ย ซึ่งเราก็ไปตามนัด (วันที่25) ซึ่งในวันนั้นก็ได้มีการตกลงทำสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมา โดยยอดหนี้ล่าสุด 246,907 บาท(จาก 300,000) ซึ่งในวันนี้ที่ได้มาเจอหน้ากันอีกครั้ง ลูกหนี้คนที่ 1 แจ้งว่าไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้น้องทำงานอยู่ในหน่วยงานภาครัฐสามารถกู้ยืมเงินได้ แต่ต้องรอให้น้องมีอายุการทำงานครบ 6 เดือนก่อน ซึ่งอีกไม่นานก็ครบละได้กู้เงินมาปิดยอดตรงนี้ให้ (ให้สบายใจและอดทนรอ) แล้วก็แยกย้ายกลับ
ตุลาคม 2561เดือนแรกของการเริ่มชำระใหม่บอกเลยว่าเป็นเพราะเราทั้งนั้นเราต้องคอยตามคอยย้ำและเดินไปโอนเงินให้อีกต่างหาก (งวดแรกของเดือนกันยายน 2561)
พอมางวด 2 ของเดือนตุลาคมเราก็ทำแบบเดิมอีกคอยตามคอยทวงแต่ทุกครั้งที่ได้รับข้อความตอบกลับมาบอกตรงๆ ทำร้ายจิตใจและความรู้สึกมากจนเราปล่อยวาง (กลางเดือนพฤศจิกายน 2561)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2562ทางธ.ก็แจ้งมาว่าถ้าไม่ทำการชำระจะต้องส่งเรื่องไปขั้นตอนของการบังคับคดีเกี่ยวกับการอายัด ซึ่งตอนนั้นเราเครียดมากเราได้โทรไปแจ้งกับทางลูกหนี้คนที่ 1 ทางนั้นตอบกลับมาว่าก็ดีได้ทำเรื่องหักจากเงินเดือนจบเรื่องจบราวและจะได้ไม่เดือดร้อนถึงเราและ อีกคน (ทำไมฟังดูมันง่ายดายขนาดนั้น...ซึ่งเราคิดว่ามันไม่น่าจะใช่)
รายละเอียดคร่าวๆ ช่วงที่เราปล่อยวางกับลูกหนี้คนที่ 1 ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2561 จนมาถึงตอนนี้มีนาคม 2562 ทางลูกหนี้คนที่ 1 ก็ไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระดังกล่าวได้ โดยให้เหตุผลที่ว่า ทุกวันนี้ทำงานเงินไม่ได้อยู่ในมือแต่เงินไปอยู่ที่เจ้าหนี้นอกระบบรายใหญ่(โดยได้ทำการยึดสมุดบัญชีธ.และATM ไว้) ถามว่าเชื่อไหมก็ 50/50 และทางลูกหนี้คนที่1ก็อยากให้ทางธ.ทำเรื่องหักเงินผ่านบัญชีเงินเดือนเหมือนที่เคยหักมา ซึ่งถ้าหักได้ก็สบายแล้วไม่มีอะไรต้องห่วง แล้วเราก็ได้ถามไปอีกครั้งว่า แล้วเรื่องที่จะให้น้องกู้ยืมเงินละทำไมถึงยังไม่ทำ ทางลูกหนี้คนที่ 1 ก็บอกว่าอายุการทำงานของน้องครบแล้วแต่มันจะต้องกู้ร่วมกัน 3 คนและสลับกันค้ำ แต่อีก 2 คนอายุงานยังไม่ถึง (เชื่อไหม....ตอบไม่ได้เลย)
วันที่ 6 มีนาคม 2562 เราได้ตัดสินใจโทรไปถามกับทางจนท.ของธ.(โทรแบบเปิดลำโพงฟังพร้อมกัน 2 คนเราและลูกหนี้คนที่ 2)อีกครั้งว่าทำไมถึงทำเรื่องหักจากระบบเงินเดือนของลูกหนี้คนที่ 1 ไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีงานทำเงินเดือนมากกว่าเราลูกหนี้คนที่ 2 และ 3 ทางจนท.แจ้งว่าเนื่องจากลูกหนี้คนที่ 1 มีเงินค้างอยู่(ก็เงินยอดใหม่ตั้งแต่ตค.61-มี.ค.62 ซึ่งยอดตอนนี้ก็9พันกว่าบาทแล้ว) ต้องมาเคลียหนี้ก้อนนี้ก่อน ทะจำทำเรื่องส่งไปให้สถานที่ทำงานของลูกหนี้คนที่ 1 ได้ ซึ่งเราก็ถามว่ามันสามารถทำเรื่องหักเงินผ่านเงินเดือนได้จริงๆ ใช่ไหม ทางจนท.แจ้งว่าได้ เนื่องจากที่ทำงานใหม่ของลูกหนี้คนที่ 1 ก็มีโครงการแบบเดียวกันกับทางธ.ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
และหลังจากที่ได้ฟังรายละเอียดกับจนท.ของทางธ. เราก็ได้โทรไปแจ้งกับลูกหนี้คนที่ 1 ตามที่ได้รับฟังมาว่าทำไมถึงทำเรื่องหักจากเงินเดือนไม่ได้ เพราะมีหนี้ก้อนใหม่ค้างอยู่นั้นเอง (ซึ่งลูกหนี้คนที่ 1 แจ้งว่าแล้วทำไมไม่รวมยอดทั้งหมดแล้วหักจากเงินเดือนไปเลยจะกี่บาทก็หักไป....ฟังดูเหมือนง่ายตลอด)
ซึ่งตอนนี้เราได้ปรึกษากับทางลูกหนี้คนที่ 2 ว่าเราจะทำยังไงดีให้ทุกอย่างมันง่ายที่สุดสำหรับเราทั้ง 2 คนเราไม่อยากให้เรื่องไปถึงการบังคับคดี ถ้าเรื่องมันสามารถจะทำรายการหักผ่านจากบัญชีเงินเดือนได้
ทางเลือกที่ 1 เรา 3 คนต้องหาเงินมา คนละ 4,000 บาทเพื่อนำเงินมาปิดหนี้ก้อนนี้ก่อนแล้วให้ธ.ทำเรื่องหักผ่านบัญชีเงินเดือนของผู้กู้คนที่ 1 ต่อไป ซึ่งเราบอกตามตรงเรามองไม่เห็นทางเลยว่าลูกหนี้คนที่ 1 จะหาเงินมาได้ (นัดรอคำตอบสิ้นเดือน) แต่ลูกหนี้คนที่ 1 แจ้งว่าจะพยายามเคลียให้ก่อน 15 นี้ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน 18 ไร้วี่แวว
ทางเลือกที่ 2 เราและลูกหนี้คนที่ 2 หาเงินคนละ 6,000 บาทมาช่วยตรงนี้ โดยหวังใจมากกว่าจะกู้เงินกับทางที่ทำงานเพราะไม่มีดอกขอผ่อนเดือนละ 500-600 เดี๋ยวก็หมด แต่เมื่อไปทำเรื่องขอกู้ยืมกลับพบว่าเดี่ยวนี้ระเบียบเปลี่ยนใหม่จากเมื่อก่อนกู้ยืมได้ไม่มีดอกเบี้ยแต่ ณ ปัจจุบัน ร้อยละ 20 น้ำตาจะไหล หนี้เก่าก็มีจะก่อหนี้ใหม่เพิ่มไปเพื่อ แม้จะไม่มากแต่ถ้าหากเลือกได้ก็ไม่อยากทำ
ทางเลือกที่ 3 เราไม่รู้นะว่าการอายัดเงินเดือนทำไมลูกหนี้คนที่ 1 พูดให้เราฟังวันนั้นเหมือนง่าย ใครมีคำแนะนำช่วยไขข้องข้องใจด้วยค่ะ หรือเราจะรอให้ถึงขั้นนั้นไปเลย
และสิ่งที่กำลังกังวลถ้าเราปิดก้อนหนี้แล้วทางธ.ทำเรื่องขอหักเงินเดือนกับทางบ.ของลูกหนี้คนที่ 1 ไม่ผ่าน ชีวิตเราคงเหมือนตายทั้งเป็น
**ซึ่งใจเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าทางธ.ได้เห็นข้อความนี้ อยากให้ธ.ช่วยทำเรื่องทั้งหมดกับทางบ.ของลูกหนี้คนที่ 1 ให้ด้วย โดยที่เราไม่ต้องมากู้ยืมเงินตรงนี้ เราเป็นหนี้อยู่แล้วก็ไม่อยากมีหนี้เพิ่ม เราและลูกหนี้คนที่ 2 เป็นลูกหนี้ที่ดีผ่อนจ่ายทุกเดือนไม่เคยขาดและยอดหนี้ก็ใกล้จะหมดแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะหมดตรงนี้เราจะไม่มีหนี้อื่น เราก็ยังมีหนี้อื่นรออยู่เหมือนกันถ้ามีทางไหนที่ไม่ต้องเพิ่มยอดหนี้ของเราได้มันก็จะดีมาก แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นเราก็พร้อมรับผิดชอบ**
หรือถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีข้อแนะนำที่ดี เราก็อยากได้รับคำแนะนำค่ะ
ต้องขออภัยด้วยหากเนื้อหานี้มันมีผลกระทบกับใคร เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ อยากให้รู้ว่าไม่ตั้งใจแต่เราจนปัญญาจริงๆ เลยต้องมาขอความช่วยเหลือในนี้ค่ะ