......................เครื่องจักรสีแดงกำลังทำงาน.........บทความโดยบอ.บู๋แห่งมานอู...........
ไม่รู้เป็นไง ช่วงนี้เฮีย บอ.บู๋แกอวยลิ้วพูลของผมอย่างต่อเนื่องเหลือเกิน
https://www.siamsport.co.th/column/detail/71261
อีซี่ (Easy) กว่าที่คาดเอาไว้เยอะเลยนะครับสำหรับชัยชนะที่ ลิเวอร์พูล ควักกลับออกมาจากถ้ำเสือ
ขอใช้คำว่า "ไม่ระบมหัวแม่ตีน" เลยดีกว่า ทั้งๆ ที่คู่แข่งของพวกเขาคือโคตรทีมแห่งเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค หาใช่ทีมตลาดล่างที่ชาติตระกูลต่ำตมมาจากไหนซะด้วย
ความจริงประการหนึ่งที่ต้องยอมรับคือพลพรรคเสือใต้ชุดปัจจุบันไม่ใช่ทีมที่น่าขามเกรงเหมือนก่อน ผู้รักษาประตูอย่าง มานูเอล นอยเออร์ ก็ไม่เหนียวแน่นหนึบเหมือนช่วงพีกๆ ที่สถาปนาตัวเองเป็นมือหนึ่งของโลก กองหลังอย่าง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ ก็โรยราและไม่แข็งแกร่งเหมือนเก่า แดนกลางก็ไม่มีเพลย์เมกเกอร์คอยขับเคลื่อนเกม แถมไม่มีปีก 2 ข้างที่ปราดเปรียวและจัดจ้านยิ่งกว่าเคี้ยวพริกขี้หนู 200 เม็ดก่อนลงสนาม ส่วนดาวถล่มประตูอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เมื่อไม่มีใครเปิดป้อนให้และไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีมที่ดีพอก็แทบไม่ต่างจากเสาไฟฟ้าที่เอาไปปักไว้ในสนาม
ที่สำคัญคือเฮดโค้ชของพวกพี่เสือที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่
นิโก้ โควัช จัดอยู่ในประเภทมือใหม่ บารมียังไม่เบ่งบวม เทียบกับเทรนเนอร์คนก่อนๆ อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, จุ๊ปป์ ไฮย์เกส หรือ คาร์โล อันเชลอตติ ไม่ได้เลย แล้ว ลิเวอร์พูล ก็ทำให้ทุกคนเห็นถึงสภาพที่ถดถอยลงไปของ บาเยิร์น มิวนิค และนาทีนี้อย่างคมชัดในระบบฟูลเอชดีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ลำพังแค่ขาลงของ บาเยิร์น มิวนิค อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังจัดเป็นทีมที่อุดมด้วยคุณภาพและมาตรฐาน เพราะหากดูเกมอย่างตั้งใจตลอด 90 นาที คุณจะพบว่ามันยังมีเหตุผลสำคัญเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้ "เสือใต้" ต้องมากลายสภาพเป็น "สุกร" เช่นนี้
อันดับแรกผมอยากให้ทุกท่านสังเกตวิธีการเล่นของพลพรรคหงส์แดงในเกมล่าสุด
ระยะหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ค่อยนำวิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" มาติดตั้งให้ลูกทีมสักเท่าไหร่ สาเหตุหลักๆ ที่ไม่นำวิธีการเล่นแบบนี้มาใช้อย่างต่อเนื่องเหมือนฤดูกาลที่แล้วและช่วงต้นฤดูกาลนี้น่าจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ หนึ่งคือคุณจะใช้วิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" ไปตลอดฤดูกาลไม่ได้ เพราะมันเป็นวิธีการเล่นที่สิ้นเปลืองพลังงานอย่างจงหนัก หากตะบี้ตะบันใช้ต่อเนื่อง มันก็เหมือนเครื่องยนต์ที่อาจเกิดอาการ "โอเวอร์ฮีต" จนหม้อน้ำระเบิด หนึ่งคือเมื่อ ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องลุ้นแชมป์แบบจริงๆ จังๆ ทุกคะแนนนั้นมีค่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงจำเป็นต้องวางแผนการเล่นแบบเน้นผลการแข่งขันมากยิ่งขึ้น - การเล่นที่รัดกุมบนความระมัดระวังจึงถูกนำมาแทนที่การเพรสซิ่งที่แม้จะอุดมด้วยความดุดัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เสี่ยงเกินไปหน่อย ยกตัวอย่างเกมแรกที่ แอนฟิลด์
ลิเวอร์พูล เล่นแบบระมัดระวังตัวนะครับ ไม่กล้าเปิดเกมรุกบุกกระหน่ำแบบเต็ม 80,000 ตีนถีบ ขณะเดียวกับที่ บาเยิร์น มิวนิค ก็มาแบบ "ขอไม่แพ้" เอาไว้ก่อน
เกมแรก ผู้มาเยือนจากแคว้นบาวาเรียได้ผลการแข่งขันที่ตัวเองต้องการกลับไป ปัญหาคือยิงประตูนอกบ้านไม่ได้ ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ยังไม่เสียหายมากนัก เป้าหมายหลักของหงส์แดงในเกมที่ 2 คือต้องหยุดเกมรุกของพี่เสือแล้วกะซวกประตูนอกบ้านให้ได้ เมื่อเป็นเกมที่มีมากด้วยความหมาย วิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" จึงถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งแบบเฉพาะกิจ เพื่อกาลนี้ ผู้เล่นหงส์แดงใช้วิธีบีบสูงถึงในแดนของคู่แข่งแล้วพุ่งเข้าหาบอลอย่างรวดเร็วแบบเป็นหมู่คณะ เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเจ้าถิ่นอาจครองบอลได้มากกว่า เปอร์เซ็นต์ในการครองบอลที่ออกมาเป็นตัวเลขก็สูงกว่า ซึ่งหากมองกันตามหลักคณิตศาสตร์ ต้องบอกว่า บาเยิร์น มิวนิค เหนือกว่า
แต่ถ้าสังเกตให้ดี คุณจะพบว่ามันเป็นการครองบอลมากกว่าที่ไม่รุกคืบหรือคุกคาม ลิเวอร์พูล สักเท่าไหร่
เมื่อโดนบีบกดดัน ผู้เล่นเสือใต้พยายามจะต่อบอลทำชิ่ง โดยจะทำได้ประมาณ 4-5 จังหวะ สุดท้ายเมื่อโดนบีบหนักๆ แล้วแก้ไม่ออก มันก็ต้องจำใจเปิดบอลยาว ซึ่งบอลยาวของ บาเยิร์น มิวนิค ไม่ค่อยมีความแม่นยำนักนะครับ แน่นอนว่าการเล่นบอลยาวไม่ใช่จุดเด่นของทีมจากเยอรมันอยู่แล้วด้วย พูดง่ายๆ ว่ามิสเตอร์เจเคแกวางแผนมาบังคับให้ บาเยิร์น มิวนิค เล่นบอลยาว นอกจากจะปราศจากความแม่นยำ ลิเวอร์พูล ยังมีปราการหลังที่แข็งแกร่งอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ปักหลักรออยู่อีกต่างหาก ชั่วโมงนี้ต้องยอมรับว่าคุณพี่เขาระดับ "เวิลด์ คลาสส์" จริงๆ คืออ่านเกมขาด จังหวะเข้าสกัดทั้งแม่นยำและหนักหน่วง ซ้ำยังมากด้วยชั้นเชิงเหมือนเอา เนมานย่า วิดิช กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ มาฟิวชั่นกันเป็นร่างเดียว
ไม่เพียงแต่ปราการหลังค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ผู้นี้จะเก็บกินได้หมดนะครับ คู่ขาของเขาในตำแหน่งเดียวกันอย่าง โฌแอล มาติป ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยมช่วยลดภาระให้ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ได้อีกด้วย
กรีดตูดสาบานว่าตลอดทั้งเกม ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมไม่เห็นปราการหลังทีมชาติดัตช์ผู้นี้เพลี้ยงพล้ำให้คู่แข่งเลยสักครั้งเดียว เรียกว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ในสถานการณ์ 1 ต่อ 1 แถมยังอยู่ถูกที่ถูกเวลาประหนึ่งฝังตัวดูดลูกฟุตบอลเอาไว้ในหน้าแข้ง ตอนที่ บาเยิร์น มิวนิค ตีเสมอได้สำเร็จในเวลาอันค่อนข้างจะรวดเร็วจนดูเหมือนโมเมนตั้มกับโมเมนตุ้มมันเหวี่ยงไปทางพวกเขาแบบเต็มๆ แต่ ลิเวอร์พูล ซึ่งได้เปรียบสถานการณ์ยังคงใช้วิธีการเล่นเดิมเล่นงานคู่แข่ง แม้ในครึ่งหลังอาจไม่หนักหน่วงเหมือนครึ่งแรก เหตุเพราะต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่มีปัญหา รูปเกมในครึ่งหลังของเจ้าถิ่นเฉื่อยมากนะครับ นอกจากนี้เหมือนหมดมุก เจาะไม่เข้า หาจังหวะจบไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งแสดงอาการท้อแท้และสิ้นหวังออกมาแบบว่า "กูไม่รู้จะเจาะพวกยังไงแล้ว!!!" ในที่สุดก็ถูกตายสนิทแบบไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด เมื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ขึ้นมาโขกฝังจากจังหวะเตะมุม
ชัยชนะอันสวยสดงดงามของ ลิเวอร์พูล มาจากเหลี่ยมเล่ห์และกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ถ้าเกมไหนสภาพสนามดีๆ ไม่มีหิมะปกคลุม - ลมไม่กระโชกแรงจนเกินไป และผู้เล่นทีมคู่แข่งไม่บาดเจ็บจนเกมต้องหยุดบ่อยๆ พวกเขาจะเป็นทีมที่น่าสะพรึงมาก
ในมุมมองของผู้ชมทางบ้านอย่างผม วิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" สามารถกำราบทุกทีมในโลกนี้และดาวอังคารได้หมดแบบไม่มีข้อแม้นะครับ เพียงแต่มันต้องแลกมาด้วยการสูญเสียพลังงานที่มหาศาลมิใช่น้อย
ลองนึกถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้วดูนะครับ ลิเวอร์พูล ใช้วิธีการเล่นแบบ "เฮฟวี่ เมทัล" ของตัวเองใส่โคตรทีมไร้เทียมทานอย่าง แมนฯ ซิตี้ จนไปไม่เป็นเลยทีเดียว ทั้งที่จุดเด่นของทีมปลาฉลามสีฟ้าอยู่ที่การต่อบอลอันรวดเร็วและแม่นยำ ตอนนี้เส้นทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกเหลือแค่ 8 นัด ขณะที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หากทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จก็ต้องเล่นอีก 5 นัด รวมกันเป็น 13 นัดเป็นอย่างมากที่สุด บางที เจอร์เก้น คล็อปป์ อาจจงใจเก็บ "เฮฟวี่ เมทัล ฟุตบอล" ของตัวเองเอาไว้ เพื่อนำมาใช้ในช่วงปลายฤดูกาลแบบนี้โดยเฉพาะเลยนะครับ แถมในเส้นทางที่เหลืออยู่ ไม่จำเป็นต้องงัดออกใช้ทุกนัดก็ได้
พูดง่ายๆ ว่าในช่วงปลายของฤดูกาลแบบนี้ ลิเวอร์พูล สามารถ "เพรสซิ่ง" ใส่ทีมใดก็ได้ เฉพาะอย่างยิ่งเกมสำคัญๆ ที่เพียบด้วยความหมาย โดยไม่ต้องกลัวว่าผู้เล่นจะอ่อนระโหยหรือโรยแรง เนื่องจากชาร์จแบตมาเต็มแม็กเลยทีเดียว
เรียกว่ากลับมาเป็น "เครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ" เหมือนตอนต้นฤดูกาลอีกครั้ง มิเพียงเท่านั้น โทษฐานที่อวดอหังการถึงขั้นบุกไปถลกหนังหัวเสือถึงถิ่น ความมั่นใจจึงน่าจะทะลักจุดแตกแบบเต็มๆ อีกต่างหาก ทันใดสายตาของท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมก็ดันเหวี่ยงไปเห็น เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่สับตีนลงไปแสดงความยินดีกับลูกทีมหลังจบเกมแบบเต็มๆ รอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความสยดสยองยิ่งนัก
บอ.บู๋
......................เครื่องจักรสีแดงกำลังทำงาน.........บทความโดยบอ.บู๋แห่งมานอู...........
https://www.siamsport.co.th/column/detail/71261
อีซี่ (Easy) กว่าที่คาดเอาไว้เยอะเลยนะครับสำหรับชัยชนะที่ ลิเวอร์พูล ควักกลับออกมาจากถ้ำเสือ
ขอใช้คำว่า "ไม่ระบมหัวแม่ตีน" เลยดีกว่า ทั้งๆ ที่คู่แข่งของพวกเขาคือโคตรทีมแห่งเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค หาใช่ทีมตลาดล่างที่ชาติตระกูลต่ำตมมาจากไหนซะด้วย
ความจริงประการหนึ่งที่ต้องยอมรับคือพลพรรคเสือใต้ชุดปัจจุบันไม่ใช่ทีมที่น่าขามเกรงเหมือนก่อน ผู้รักษาประตูอย่าง มานูเอล นอยเออร์ ก็ไม่เหนียวแน่นหนึบเหมือนช่วงพีกๆ ที่สถาปนาตัวเองเป็นมือหนึ่งของโลก กองหลังอย่าง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ ก็โรยราและไม่แข็งแกร่งเหมือนเก่า แดนกลางก็ไม่มีเพลย์เมกเกอร์คอยขับเคลื่อนเกม แถมไม่มีปีก 2 ข้างที่ปราดเปรียวและจัดจ้านยิ่งกว่าเคี้ยวพริกขี้หนู 200 เม็ดก่อนลงสนาม ส่วนดาวถล่มประตูอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เมื่อไม่มีใครเปิดป้อนให้และไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีมที่ดีพอก็แทบไม่ต่างจากเสาไฟฟ้าที่เอาไปปักไว้ในสนาม
ที่สำคัญคือเฮดโค้ชของพวกพี่เสือที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่
นิโก้ โควัช จัดอยู่ในประเภทมือใหม่ บารมียังไม่เบ่งบวม เทียบกับเทรนเนอร์คนก่อนๆ อย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, จุ๊ปป์ ไฮย์เกส หรือ คาร์โล อันเชลอตติ ไม่ได้เลย แล้ว ลิเวอร์พูล ก็ทำให้ทุกคนเห็นถึงสภาพที่ถดถอยลงไปของ บาเยิร์น มิวนิค และนาทีนี้อย่างคมชัดในระบบฟูลเอชดีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ลำพังแค่ขาลงของ บาเยิร์น มิวนิค อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังจัดเป็นทีมที่อุดมด้วยคุณภาพและมาตรฐาน เพราะหากดูเกมอย่างตั้งใจตลอด 90 นาที คุณจะพบว่ามันยังมีเหตุผลสำคัญเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้ "เสือใต้" ต้องมากลายสภาพเป็น "สุกร" เช่นนี้
อันดับแรกผมอยากให้ทุกท่านสังเกตวิธีการเล่นของพลพรรคหงส์แดงในเกมล่าสุด
ระยะหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ค่อยนำวิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" มาติดตั้งให้ลูกทีมสักเท่าไหร่ สาเหตุหลักๆ ที่ไม่นำวิธีการเล่นแบบนี้มาใช้อย่างต่อเนื่องเหมือนฤดูกาลที่แล้วและช่วงต้นฤดูกาลนี้น่าจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ หนึ่งคือคุณจะใช้วิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" ไปตลอดฤดูกาลไม่ได้ เพราะมันเป็นวิธีการเล่นที่สิ้นเปลืองพลังงานอย่างจงหนัก หากตะบี้ตะบันใช้ต่อเนื่อง มันก็เหมือนเครื่องยนต์ที่อาจเกิดอาการ "โอเวอร์ฮีต" จนหม้อน้ำระเบิด หนึ่งคือเมื่อ ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องลุ้นแชมป์แบบจริงๆ จังๆ ทุกคะแนนนั้นมีค่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงจำเป็นต้องวางแผนการเล่นแบบเน้นผลการแข่งขันมากยิ่งขึ้น - การเล่นที่รัดกุมบนความระมัดระวังจึงถูกนำมาแทนที่การเพรสซิ่งที่แม้จะอุดมด้วยความดุดัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เสี่ยงเกินไปหน่อย ยกตัวอย่างเกมแรกที่ แอนฟิลด์
ลิเวอร์พูล เล่นแบบระมัดระวังตัวนะครับ ไม่กล้าเปิดเกมรุกบุกกระหน่ำแบบเต็ม 80,000 ตีนถีบ ขณะเดียวกับที่ บาเยิร์น มิวนิค ก็มาแบบ "ขอไม่แพ้" เอาไว้ก่อน
เกมแรก ผู้มาเยือนจากแคว้นบาวาเรียได้ผลการแข่งขันที่ตัวเองต้องการกลับไป ปัญหาคือยิงประตูนอกบ้านไม่ได้ ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ยังไม่เสียหายมากนัก เป้าหมายหลักของหงส์แดงในเกมที่ 2 คือต้องหยุดเกมรุกของพี่เสือแล้วกะซวกประตูนอกบ้านให้ได้ เมื่อเป็นเกมที่มีมากด้วยความหมาย วิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" จึงถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งแบบเฉพาะกิจ เพื่อกาลนี้ ผู้เล่นหงส์แดงใช้วิธีบีบสูงถึงในแดนของคู่แข่งแล้วพุ่งเข้าหาบอลอย่างรวดเร็วแบบเป็นหมู่คณะ เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเจ้าถิ่นอาจครองบอลได้มากกว่า เปอร์เซ็นต์ในการครองบอลที่ออกมาเป็นตัวเลขก็สูงกว่า ซึ่งหากมองกันตามหลักคณิตศาสตร์ ต้องบอกว่า บาเยิร์น มิวนิค เหนือกว่า
แต่ถ้าสังเกตให้ดี คุณจะพบว่ามันเป็นการครองบอลมากกว่าที่ไม่รุกคืบหรือคุกคาม ลิเวอร์พูล สักเท่าไหร่
เมื่อโดนบีบกดดัน ผู้เล่นเสือใต้พยายามจะต่อบอลทำชิ่ง โดยจะทำได้ประมาณ 4-5 จังหวะ สุดท้ายเมื่อโดนบีบหนักๆ แล้วแก้ไม่ออก มันก็ต้องจำใจเปิดบอลยาว ซึ่งบอลยาวของ บาเยิร์น มิวนิค ไม่ค่อยมีความแม่นยำนักนะครับ แน่นอนว่าการเล่นบอลยาวไม่ใช่จุดเด่นของทีมจากเยอรมันอยู่แล้วด้วย พูดง่ายๆ ว่ามิสเตอร์เจเคแกวางแผนมาบังคับให้ บาเยิร์น มิวนิค เล่นบอลยาว นอกจากจะปราศจากความแม่นยำ ลิเวอร์พูล ยังมีปราการหลังที่แข็งแกร่งอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ปักหลักรออยู่อีกต่างหาก ชั่วโมงนี้ต้องยอมรับว่าคุณพี่เขาระดับ "เวิลด์ คลาสส์" จริงๆ คืออ่านเกมขาด จังหวะเข้าสกัดทั้งแม่นยำและหนักหน่วง ซ้ำยังมากด้วยชั้นเชิงเหมือนเอา เนมานย่า วิดิช กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ มาฟิวชั่นกันเป็นร่างเดียว
ไม่เพียงแต่ปราการหลังค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ผู้นี้จะเก็บกินได้หมดนะครับ คู่ขาของเขาในตำแหน่งเดียวกันอย่าง โฌแอล มาติป ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยมช่วยลดภาระให้ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ได้อีกด้วย
กรีดตูดสาบานว่าตลอดทั้งเกม ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมไม่เห็นปราการหลังทีมชาติดัตช์ผู้นี้เพลี้ยงพล้ำให้คู่แข่งเลยสักครั้งเดียว เรียกว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ในสถานการณ์ 1 ต่อ 1 แถมยังอยู่ถูกที่ถูกเวลาประหนึ่งฝังตัวดูดลูกฟุตบอลเอาไว้ในหน้าแข้ง ตอนที่ บาเยิร์น มิวนิค ตีเสมอได้สำเร็จในเวลาอันค่อนข้างจะรวดเร็วจนดูเหมือนโมเมนตั้มกับโมเมนตุ้มมันเหวี่ยงไปทางพวกเขาแบบเต็มๆ แต่ ลิเวอร์พูล ซึ่งได้เปรียบสถานการณ์ยังคงใช้วิธีการเล่นเดิมเล่นงานคู่แข่ง แม้ในครึ่งหลังอาจไม่หนักหน่วงเหมือนครึ่งแรก เหตุเพราะต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่มีปัญหา รูปเกมในครึ่งหลังของเจ้าถิ่นเฉื่อยมากนะครับ นอกจากนี้เหมือนหมดมุก เจาะไม่เข้า หาจังหวะจบไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งแสดงอาการท้อแท้และสิ้นหวังออกมาแบบว่า "กูไม่รู้จะเจาะพวกยังไงแล้ว!!!" ในที่สุดก็ถูกตายสนิทแบบไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิด เมื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ขึ้นมาโขกฝังจากจังหวะเตะมุม
ชัยชนะอันสวยสดงดงามของ ลิเวอร์พูล มาจากเหลี่ยมเล่ห์และกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ถ้าเกมไหนสภาพสนามดีๆ ไม่มีหิมะปกคลุม - ลมไม่กระโชกแรงจนเกินไป และผู้เล่นทีมคู่แข่งไม่บาดเจ็บจนเกมต้องหยุดบ่อยๆ พวกเขาจะเป็นทีมที่น่าสะพรึงมาก
ในมุมมองของผู้ชมทางบ้านอย่างผม วิธีการเล่นแบบ "เพรสซิ่ง" สามารถกำราบทุกทีมในโลกนี้และดาวอังคารได้หมดแบบไม่มีข้อแม้นะครับ เพียงแต่มันต้องแลกมาด้วยการสูญเสียพลังงานที่มหาศาลมิใช่น้อย
ลองนึกถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้วดูนะครับ ลิเวอร์พูล ใช้วิธีการเล่นแบบ "เฮฟวี่ เมทัล" ของตัวเองใส่โคตรทีมไร้เทียมทานอย่าง แมนฯ ซิตี้ จนไปไม่เป็นเลยทีเดียว ทั้งที่จุดเด่นของทีมปลาฉลามสีฟ้าอยู่ที่การต่อบอลอันรวดเร็วและแม่นยำ ตอนนี้เส้นทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกเหลือแค่ 8 นัด ขณะที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หากทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จก็ต้องเล่นอีก 5 นัด รวมกันเป็น 13 นัดเป็นอย่างมากที่สุด บางที เจอร์เก้น คล็อปป์ อาจจงใจเก็บ "เฮฟวี่ เมทัล ฟุตบอล" ของตัวเองเอาไว้ เพื่อนำมาใช้ในช่วงปลายฤดูกาลแบบนี้โดยเฉพาะเลยนะครับ แถมในเส้นทางที่เหลืออยู่ ไม่จำเป็นต้องงัดออกใช้ทุกนัดก็ได้
พูดง่ายๆ ว่าในช่วงปลายของฤดูกาลแบบนี้ ลิเวอร์พูล สามารถ "เพรสซิ่ง" ใส่ทีมใดก็ได้ เฉพาะอย่างยิ่งเกมสำคัญๆ ที่เพียบด้วยความหมาย โดยไม่ต้องกลัวว่าผู้เล่นจะอ่อนระโหยหรือโรยแรง เนื่องจากชาร์จแบตมาเต็มแม็กเลยทีเดียว
เรียกว่ากลับมาเป็น "เครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ" เหมือนตอนต้นฤดูกาลอีกครั้ง มิเพียงเท่านั้น โทษฐานที่อวดอหังการถึงขั้นบุกไปถลกหนังหัวเสือถึงถิ่น ความมั่นใจจึงน่าจะทะลักจุดแตกแบบเต็มๆ อีกต่างหาก ทันใดสายตาของท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมก็ดันเหวี่ยงไปเห็น เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่สับตีนลงไปแสดงความยินดีกับลูกทีมหลังจบเกมแบบเต็มๆ รอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความสยดสยองยิ่งนัก
บอ.บู๋