[SR] รีวิว Redmi Go คือ Redmi 5A กลับชาติมาเกิด เป็นน้องเล็กที่ทำอะไรได้มากกว่าที่คิด

สวัสดีครับ พบกับผม เต้ อีกแล้วครับ เช่นเคยครับ รีวิวออกช้ากว่าคนอื่นอีกเช่นเคย 555+ วันนี้ผมมีมือถือยี่ห้อใหม่ แต่หัวใจเดิม ก็คือยี่ห้อ Redmi ผมขออธิบายคร่าวๆก่อนว่า แบรนด์ Redmi เป็นแบรนด์ย่อยของ Xiaomi นั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ Xiaomi ก็มีมีถือรุ่น Redmi เป็นมือถือราคาระดับเริ่มต้นถูกจนระดับปานกลางที่ราคาไม่เกิน 7พันบาท(โดยประมาณ) ซึ่ง Redmi ในความเข้าใจของผมคือเค้าจะมาตีตลาดมือถือระดับเริ่มต้นถึงปานกลางครับ และให้ Xiaomi กินตลาดราคาปานกลาง-บน ไปครับ
ซึ่งตอนนี้เองหลังจากที่ Redmi ได้เปิดตัว Redmi Note 7 ไปแล้ว ก็ถึงคิวน้องเล็กอย่าง Redmi Go… เวลาออกเสียงพูดชื่อรุ่นนี้ทีไรนึกถึงเพลง Let it go ทุกทีเลยครับ 555+ ผมเองพอได้เครื่องมาก็ยังรู้สึกว่าเอ๊ะ!!! ทำไมอัตราส่วนหน้าจอยังเป็น 16:9 ทั้งที่มือถือปี 2019 เกือบทุกตัวจะเป็นจอ 18:9 ซะเกือบทุกรุ่นแล้ว แต่พอดูไปดูมา...นี่มัน Xiaomi Redmi 5A กลับชาติมาเกิดใหม่นี่เอง คือ 90 เปอร์เซ็นต์ของตัวเครื่องภายนอก เหมือนกับ Xiaomi Redmi 5A แทบทุกอย่างครับ แม้กระทั้งตำแหน่งถาดใส่ซิมการ์ด ปุ่มเปิดปิดเครื่อง ตำแหน่งกล้องหน้ากล้องหลัง และเซนเซอร์ปิดหน้าจอขณะสนทนา และจุดที่ต่างกันก็มีแค่ Redmi Go ไม่มี IR ที่ใช้เป็นรีโมทได้ และย้ายตำแหน่งลำโพงจากด้านหลังตัวเครื่อง มาอยู่ข้างๆที่ชาร์จแบตเตอรี่แทน ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ดีครับ

การรีวิวครั้งนี้จะเน้นไปที่การใช้งานแบบทั่วไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงฟังชันการใช้งานของ Redmi Go แบบที่คนทั่วไปที่ซื้อใช้งาน และไม่ได้แบ่งเป็นหัวข้อเหมือนที่ผ่านมา 555+
เกริ่นกันมาพอสมควรครับ เดี๋ยวเรามาดูกันดีกว่าว่าที่รีวิวผมออกช้ากว่าคนอื่นนั้น ผมเจออะไรมาบ้างครับ

VVV
VV
V
พบกับวีดีโอรีวิรเร็วๆนี้ครับ ทำไม่ทัน 555+

สเปก
Qualcomm Snapdragon 425 Quad Core 1.4 GHz
ความจุ 8GB RAM 1GB
รองรับ Micro SD Card สูงสุด 128 GB
 
ในกล่อง

แกะกล่องออกมา ก็จะเจอกับตัวเครื่อง และกล่องที่มีคู่มือและเข็มจิ้มถาดซิม  และที่ชาร์จและสายชาร์จแบบ Micro USB ซึ่ง ไม่ต้องบอกนะครับ ว่าทำไมถึงยังไม่เป็น Type-C… เพราะมันถูกด้วยครับ และมันยกเครื่องในมาจาก Redmi 5A ครับ

และแน่นอนว่าราคาขนาดนี้...ไม่มีหูฟัง ไม่มีเคส ไม่ติดฟิล์มมาให้ด้วยนะครับ 555+


ที่ชาร์จที่แถมมาก็ให้มาแบบ 5V 1A ครับ ซึ่งเพียงพอแล้วครับผมว่า...แต่ที่ผมไม่ชอบเลย คือปลั๊กเสียบเป็นแบบหัวกลมครับ... หลายคนอาจจะเข้าใจดีครับ ว่ามันหลวม และทำให้หลุดง่าย และบางทีก็ชาร์จได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องคอยขยับ(สำหรับปลั๊กบางอัน) ซึ่งผมเบื่อมากครับ 555+ ซึ่งผมก็แก้ปัญหาด้วยการซื้อหัวแปลงขากลมเป็นขาแบนครับ ^^;

ภายนอก

เรามาดูตัวเครื่องภายนอกดีกว่าครับ ด้านหน้าก็จะมีเซนเซอร์วัดแสง ลำโพงสนทนา และกล้องหน้าขนาด 5 ล้านพิเซล และหน้าจอ IPS LCD ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด HD 1280x720 ที่ให้สีสันได้โอเคครับ มองได้ทุกมุม

ตัวเครื่องด้านซ้ายจะมีช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Nano Sim แต่จะแยกเป็น 2 ถาด ถาดแรกซ้ายสุดคือช่องใส่ซิม 1 และช่องต่อมา ทางขวา จะเป็นช่องใส่ซิม 2 และสามารถใส่เมโมรี่การ์ด แบบ Micro SD ความจุสูงสุดที่ใส่ได้คือ 128GB…

ด้านขวาตัวเครื่องจะมีปุ่มเปิดปิดเครื่อง และปุ่ม เพิ่มเสียงลดเสียง

ส่วนด้านบนก็จะมีไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และ...ช่อง 3.5 ที่หลายๆคนยังต้องการอยู่ 555+ นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ต่างจาก Redmi 5A ก็คือ Redmi Go ไม่มี IR ที่ใช้เป็นรีโมทได้นั้นเองครับ

ส่วนด้านล่างก็จะมีไมโครโฟนตัวหลัก และช่องชาร์จแบตเตอรี่แบบ Micro USB และต่อมาก็จะเป็นลำโพงครับ

ส่วนด้านหลังก็จะมีกล้องขนาด 8 ล้านพิกเซล และแฟลช LED ซึ่งตำแหน่งกล้อง คือตำแหน่งเดียวกับ Redmi 5A เลยครับ

ถึงจะยี่ห้อ Redmi แล้ว แต่ข้างหลังก็ยังมีโลโก้ MI และเขียนว่า Design By Xiaomi อยู่นะครับ 555+

ซึ่งดีไซน์ ส่วนใหญ่ อย่างที่ผมบอก มันมีความเหมือน Redmi 5A 90 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น ฟิล์มกันรอยจะใช้ร่วมกันได้ แต่เคสนี่อาจจะใส่ร่วมกันไม่ได้ เพราะแค่...ตำแหน่งลำโพงไม่ตรงกัน แต่ปุ่มเปิดปิดเครื่องและปุ่มเพิ่มเสียงลดเสียง และไมโครโฟนตัวบนและช่อง 3.5 อยู่ตำแหน่ง เดียวกับ Redmi 5A เลยครับ 555+

Android Go Edition

และจุดต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือเรื่องของ Android OS ครับ Redmi Go จะมาพร้อมกับ Android Go Edition ที่ต่างจาก Android เวอร์ชั่นปกติที่เราใช้งานกันอยู่ Android Go Edition หน้าตาการใช้งานจะเหมือนๆกับ Pure Android หรือAndroid One คำถามสำหรับบางคน แล้ว Pure Android, Android One คืออะไร?  คำตอบคือ เป็น Android ที่ไม่มีการปรับแต่งหน้าจอหรือไอคอน หรือหน้าจอการใช้งานใดๆ ที่เราเคยใช้ยี่ห้ออื่น ที่เป็น Android ล้วนแล้วเป็น Android ที่ผ่านการปรับแต่งมาทั้งหมดครับ เช่น Samsung(One UI), Huawei(EMUI), Oppo(Color OS), Xiaomi(MIUI) เหล่านี้มีพื้นฐานจาก Pure Android แล้วแต่ละยี่ห้อก็ปรับแต่งการใช้งานให้เป็นเอกลัษณ์ของยี่ห้อนั้นๆเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าของตัวเองครับ

Android Go Edition นั้น จำกัดให้ผู้ผลิตใช้แรมได้แค่ 1GB โดยประมาณครับ ซึ่งผมเชื่อว่าในมุมมองของคุณที่กำลังอ่านอยู่นี่คุณคิดว่ามันต้องไม่พอใช้งานแน่นอน ซึ่งเท่าที่ผมใช้งานมานั้น ผมบอกเลยว่ามันเพียงพอครับ...ซึ่งมันไม่น่าเชื่อ และใช้งานได้ค่อนข้างลื่นไหลกว่าที่ผมคิด ด้วยสเปกที่ยกมาจาก Redmi 5A ก็จะเป็น Snapdragon 425 ซึ่งทำให้การใช้งานลื่นไหลดีครับ แต่สิ่งที่ผมแอบเสียดายคือ...ที่เก็บข้อมูลภายในหรือ Rom นั้น มีแค่ 8GB เท่านั้นครับ ซึ่งพอเปิดเครื่องมา ที่เก็บข้อมูลที่เหลือให้เราใช้ได้นั้น สามารถใช้ได้เพียง 3GB กว่าๆแค่นั้นเองครับ ซึ่งถามว่าเพียงพอมั้ย พอครับ แต่ระยะยาวผมว่าอาจจะไม่พอ

ผมก็เลยตัดสินใจซื้อเมโมรี่การ์ด Sandisk มา และเป็นแบบ A2 ซึ่งเมโมรี่การ์ดที่มีตัวหนังสือ A1 หรือ A2 นั้นจะเป็นเมโมรี่ที่เข้าถึงข้อมูลขนาดเล็กได้ดีกว่าเมโมรี่การ์ดแบบปกติครับ ซึ่งเมโมรี่ชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อให้รันแอพพลิเคชั่นบนเมโมรี่การ์ดได้แบบสบายๆได้ครับ และตัวเครื่องจะทำการฟอแมตเมโมรี่การ์ดนี้ให้เหมาะกับการใช้งานโดยเราสามารถเลือกได้สองแบบ

แต่เมื่อเราใส่เมโมรี่การ์ดใหม่เข้าไป จะยังไม่สามารถใช้งานได้ ต้องทำการฟอแมตก่อน

โดยที่ตัวเครื่องจะให้เราเลือกประเภทของการฟอแมตเป็น 2 แบบด้วยกัน แบบแรกคือฟอแมตเพื่อใช้งานเป็นที่เก็บข้อมูลทั่วไปเช่น รูปภาพ เพลง วีดีโอ เป็นต้น

แต่ถ้าเราต้องการขยายพื้นที่จัดเก็บภายในเราต้องเลือกแบบที่ 2 ครับ แล้วกดฟอแมตได้เลย
***ถ้าเมโมรี่การ์ดต่ำกว่า Class 10 ตัวเครื่องจะแจ้งขณะฟอแมตว่าเมโมรี่การ์ดของเรามีความเร็วไม่เพียงพอ แต่มันก็จะฟอแมตให้เราจนเสร็จครับ ไม่ต้องห่วงว่ามันจะหยุด แล้วต้องฟอแมตใหม่***

และเมื่อฟอแมตเสร็จจะมีข้อความให้เราย้ายข้อมูลของแอพเข้าไปเมโมรี่การ์ด ให้เรากด ย้าย และรอ ถ้าในความเข้าใจของผมมันก็จะเป็นการเอาแคชไฟล์ของแอพพลิเคชันเหล่านั้น ไปไว้บนเมโมรี่การ์ดนั่งเองครับ และเมื่อเราถ่ายรูปหรือวีดีโอหลังจากนี้แล้ว รูปภาพและวีดีโอจะอยู่ในเมโมรี่การ์ดของเราทันที

แต่ถ้าเราเข้าไปที่แอพพลิเคชัน จัดการไฟล์ เราจะไม่มีตัวเลือกให้เราไปดูไฟล์ในเมโมรี่การ์ด เพราะตัวเครื่องทำให้เมโมรี่การ์ดของเราผสานรวมเข้ากับหน่วยความจำตัวเครื่องไปแล้วครับ

การโทร

ตัวเครื่องนั้นรองรับ 2 ซิม ที่ 2 ช่องรองรับ 4G ทั้งสองช่อง แต่...สามารถ Stand by 4G ได้แค่ซิมเดียวเท่านั้น โดยต้องไปเลือกในเมนูในตัวเครื่องว่าจะเลือกใช้ 4G ซิมไหน อีกซิมนึงจะเป็น 3G ทันที

ตัวผมใช้ซิม 1 เป็นซิมของ Ais ไว้โทรอย่างเดียว และซิมที่ 2 ใช้ซิม Nu Mobile ของ Ais ซึ่งใช้งานแต่อินเตอร์เน็ตเท่านั้น สิ่งที่ผมแปลกใจคือ รองรับ  VoLTE ครับ!!! ราคาขนาดนี้ ถือว่าครบครับ สำหรับคนใช้โทร ซึ่งผมทดลองใช้งานโทรดูแล้วเสียงนี่ชัดเจนครับผมไม่ต้องห่วง

กล้อง

ในรูปด้านบน ภาพที่แสดงก่อนที่จะถ่าย มันดูเบลอและไม่ค่อยชัดครับ แต่พอถ่ายออกมาแล้วนี่ คนละเรื่องเลยครับ ดีกว่าที่คิดนะครับ กล้องไม่ใช่จุดเด่นของรุ่นนี้ครับ แต่ถ่ายรูปออกมาได้ดีกว่าที่ผมคิดครับ ต้องยกความดีความชอบให้กับ HDR ครับ ซึ่งทำงานได้ดีมาก ทำให้เราถ่ายภาพที่มีแสงจ้าและมืดได้ดีครับ แต่การถ่ายรูปจาก Redmi Go ผมแนะนำว่าเวลายกขึ้นถ่ายแล้วผมแนะนำว่าให้เอานิ้วจิ้มไปที่จุดที่มืดสุดของภาพแล้วค่อยกดถ่ายครับ พอกดแล้วอาจจะดูสว่างเกิน แต่ HDR ทำงานได้ดีครับ สามารถทำให้ภาพที่ดูเหมือนจะถ่ายออกมามืด ให้สว่างขึ้นได้ ในบางภาพอาจจะมีสีจืดๆอยู่บ้าง ผมก็แนะนำให้เปิดฟิลเตอร์ที่ให้มาในกล้องได้ครับ โดยกดที่ไอคอนวงกลม 3 วง ด้านบน และเลือกฟิลเตอร์ สดใสครับ มันช่วยได้เยอะครับ ชมรูปตัวอย่างกันได้ที่ท้ายรีวิวนะครับ ซึ่งบางรูปก็จะมีการเปิดฟิลเตอร์ที่ว่า แต่มีแค่ไม่กี่รูปครับ ^^;

โหมด Manual

มีเรื่องให้ประหลาดใจอีกแล้วที่มือถือราคาขนาดนี้สามารถปรับ White Balance, Focus, Speed Shutter, ISO คุณเห็นไม่ผิดหรอกครับ Speed Shutter!!! ซึ่งสามารถลากได้ถึง 8 วินาทีกันเลยทีเดียว............... อะไรจะขนาดนั้นนนนนน ^^;

และวีดีโอก็ยังสามารถถ่ายได้สูงสุดที่ Full HD 30FPS กันเลยทีเดียวกล้องหน้าโดยรวมก็โอเคครับ มี HDR มาให้ และยังสามารถปรับหน้าเนียนได้ 5 ระดับครับ
ชื่อสินค้า:   Redmi Go
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้ามาใช้รีวิวฟรี โดยต้องคืนสินค้าให้เจ้าของสินค้า
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่