กระทู้นี้อาจแรงไปมาก...มากแบบมากๆ ยังไงก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ
เรารู้ว่าครูดีๆ ยังมีอีกมาก และย่อมต้องมีเยอะกว่าครูที่ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ในที่นี้ เรากำลังสะท้อนปัญหาของระบบการศึกษาและครูไทย เพราะฉะนั้น ขออนุญาตกล่าวถึงด้านที่ไม่ดีนะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้รู้ว่าด้านที่ไม่ดีเหล่านี้ที่เราสะท้อนออกมา ไม่ใช่ทั้งหมดค่ะ
เอาล่ะ เริ่มล่ะนะคะ
เคยเจอมั้ยคะ...คุณครูผู้เรียกตัวเองว่า "พระคุณที่สาม" ที่ทำร้ายเด็ก
เคยเจอมั้ยคะ...คุณครูผู้เรียกตัวเองว่า "ประสิทธิ์ประสาทวิชา" ที่แทบไม่เคยสอนหนังสือเด็กอย่างจริงจัง
เคยเจอมั้ยคะ...คุณครูที่น่าเคารพบูชานักหนา แต่กลับทำตัวตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
เคยเจอมั้ยคะ...คุณครูผู้ควรจุดประกายแสงแห่งปัญญาให้เด็ก แต่กลับเป็นคนลงมือดับแสงนั้นด้วยการดูถูกลูกศิษย์ของตัวเอง
เราเชื่อว่านักเรียนทุกคนต้องเจอคุณครูเหล่านี้มาบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย
เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
เราคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่เพิ่งหลุดพ้นจากระบบการศึกษาในรั้วโรงเรียนมาไม่นาน (เข้าสู้รั้วมหาวิทยาลัยแทน 555+) ก็ถือได้ว่าหลุดพ้นออกมาจากกรอบแปลกๆ ซึ่งบางทีก็ถึงกับไร้เหตุผลไปจนถึงไร้สาระมาแล้ว และในที่สุดก็มีโอกาสได้มาสะท้อนถึงปัญหาต่างๆ ในแบบที่เราคงไม่มีวันพูดได้ในสถานภาพนักเรียนซะที
เคยมีคนถามเหมือนกัน ว่าตอนนี้ก็ขึ้นมหาลัยแล้ว หลุดพ้นจากกฎบ้าบอในโรงเรียนแล้ว จะย้อนกลับไปวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองทำไม
เมื่อก่อนไม่อยากรวบผม ไม่อยากผูกโบว์ อึดอัดกับการถูกยึดถุงเท้าด้วยกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงตลอด ตอนนี้ก็ไม่ต้องทำแล้วนี่ ตอนนี้เป็นอิสระแล้วนี่
อยากทำทรงผมอะไรก็ได้ทำ อยากใส่ถุงเท้าแบบไหนก็ได้ใส่
นี่ก็ตอบได้ว่า เพราะเราผ่านมันมาแล้ว เราได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ว่ากฎระเบียบพวกนั้นมันไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้ชีวิตเราไง
สิ่งที่สะท้อนออกมาผ่านกฎระเบียบที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวทุกอย่างยกเว้นความรู้ในหัวเด็กมันแสดงถึงอะไร
มันกำลังสะท้อนให้ดห็นระบบโครงสร้างของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับ "ระบบอาวุโส" จนลืมความเป็น individual ของเด็กไปไง
ผู้ใหญ่หลายๆ คนลืมที่จะมอง ลืมให้คุณค่าว่าเด็กก็เป็นคนที่มีชีวิต มีจิตใจ มีความคิด มีความรู้สึก มองเหมือนกับว่าเด็กคือ "ผลิตภัณฑ์" ในโรงงานที่ต้องถูกผลิตออกมาให้เป็นรูปแบบเดียวกันหมด
เครื่องแบบต้องเหมือนกันหมด ทรงผมต้องเหมือนกันหมด ถุงเท้า รองเท้า ต้องเหมือนกันหมด
ทุกอย่างต้องเหมือนกันหมด เด็กคนนั้นถึงจะถูกตีตราว่า "น่ารัก" กลายเป็นสินค้าคุณภาพที่ใครๆ ก็ต้องการ
แล้วในใจของเด็กล่ะ?
เด็กบางคนไม่คิดอะไร ใครสั่งให้ก็ทำ นั่นก็ดีไป แต่ถ้าเด็กคิดล่ะ ถ้าเด็กอึดอัดล่ะ
เราเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่อึดอัดกับกฎระเบียบแบบนี้มากๆ และไม่โอเค แต่สุดท้ายในตอนที่ยังเป็นเด็กมัธยม กลับไม่สามารถแสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาได้ ไม่งั้นจะกลายเป็น "สินค้าไร้คุณภาพ" กลายเป็นเด็กเกเรที่ไม่เป็นที่ต้องการ กลายเป็นเด็กดื้อไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ เพียงเพราะอยากเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ที่ตัวเองควรจะได้รับ
ตอนนี้เราได้พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว เราหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้แล้ว แต่ยังมีเด็กอีกมากมายที่ยังติดอยู่ในวังวนเดิมๆ ที่ทุกคนก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะเสียงเรียกร้องยังไม่ดังพอ
เราก็ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการศึกษาไทย สำหรับผู้กระทำผิดใดๆ ไม่ควรมีแค่ "เด็ก" ที่ถูกบังคับให้ทำตามกฎและถูกลงโทษ แต่รวมถึง "ครู" บางคนที่ไม่ยอมกนะทำตามกฎกระทรวงก็ควรมีบทลงโทษอย่างยุติธรรม ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ควรจะเริ่มเกิดขึ้นได้แล้ว
เด็ก...เข้าแถวยืนตากแดดหน้าเสาธง เข้าแถวต่อคิวซื้ออาหารกลางวัน
ครู...ยืนใต้ต้นไม้ แซงคิวซื้อข้าวเพราะ "รีบ"
เด็ก...ไม่ยอมตัดผมตามกฎของโรงเรียน เด็กโดนทำโทษ ยืนประจานตัดผมหน้าเสาธง สร้างความอับอาย
ครู...วางกฎระเบียบของโรงเรียนที่ลิดรอนสิทธิเด็กขัดกับกฎกระทรวง ข่าวเงียบ ไม่มีการดำเนินการใดๆ
เด็ก...พูดคำด่าหยาบคาย โดนครูตำหนิ
ครู...ด่าเด็กกะ_รี่ ถึงขั้นฟ้องร้องเอาผิดฐานหมิ่นประมาทได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร
อีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างติดใจเรามาก อันนี้น่าจะเป็นกฎระเบียบที่มีแค่ในโรงเรียน (เก่า) ของเราเอง กฎระเบียบว่าด้วยเรื่อง "เด็กต้องกราบ ผอ. และผู้มาเยือน"
นั่นเป็นเอกลักษณ์ที่คุณครูเล่าให้พวกเราฟังว่า "มันคือชื่อเสียง" "มันคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนชื่นชมโรงเรียนของเรา" ในขณะที่เรากลับคิดต่าง
การกราบเท้าพร่ำเพรื่อ กราบโดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลใดๆ กราบโดยที่เด็กมองไม่เห็นคุณค่าของมัน สักแต่ว่าเขาให้ทำก็ทำ มันก็ไม่ต่างจากการกระทำหนึ่งๆ ที่เสียพลังงานไปเปล่าๆ
มันก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ยิ่งตอกย้ำมุมมองของเราว่า "ในสถาบันการศึกษา เด็กเป็นแค่หมากเบี้ยประดับที่ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น" ครูสั่ง ต้องทำ ถ้าไม่ทำ คือเด็กไม่ดี มีไว้สร้างหน้า มีไว้สร้างชื่อเสียง มีไว้บังคับ
และประเด็นสุดท้ายที่ขาดไปไม่ได้ คือว่าด้วยเรื่อง "การตีเด็ก"
ไวๆ นี้เหมือนเห็นคุณครูท่านหนึ่งโพสต์ข้อความใน facebook เกี่ยวกับการเรียกร้องให้โทษเฆี่ยนตีกลับคืนมา คืนอำนาจให้ครูสามารถตีนักเรียนได้อย่างอิสระ เพราะถ้าไม่มีโทษตี จะคุมเด็กไม่ได้
อันนี้เราก็ได้แต่นั่งคิดเงียบๆ ในใจ การที่เบื้องบนสั่งยกเลิกบทลงโทษที่เป็นการใช้ความรุนแรง หรืออะไรก็ตามแต่ ก็เหมือนกับเป็นการโยนโจทย์ปัญหาข้อใหญ่ให้ครูในประเทศไทยว่า "จะสั่งสอนเด็กโดยใช้เหตุผลอย่างไรให้เด็กเกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง"
เพราะปัญหาของระบบการศึกษาไทยขณะนี้ ก็คือการไม่มองว่าเด็กก็เป็นคนที่มีความคิด มีเหตุผลนั่นแหละค่ะ เพราะฉะนั้น จึงมองว่าการสั่งสอนเด็กด้วยเหตุผล เป็นเรื่องยาก
ซึ่งเราจะไม่ขอวิจารณ์ว่ามันยาก หรือมันง่าย เพราะเรายอมรับว่าเราเองก็ไม่เคยไปอยู่ถึงจุดนั้น แต่เราว่าโจทย์ปัญหานี้ คือโจทย์ปัญหาที่สำคัญที่คุณครูทุกท่านควรจะแก้ได้ ถ้าหากคุณแก้ไม่ได้ และคิดว่าบทลงโทษรุนแรงคือคำตอบ...รบกวนลองกลับไปคิดดูนะคะ ว่าวิชาชีพ "ครู" ยังเหมาะกับท่านอยู่หรือเปล่า
ถ้าคุณบอกว่าไม้เรียวสร้างแพทย์ สร้างวิศวะ สร้างคนดีมากี่คนแล้ว เราก็จะขอให้มองย้อนกลับไป ว่าไม้เรียวเองก็สร้างคนหัวรุนแรงมากี่คนแล้วเช่นกันค่ะ
ไม้เรียวไม่ใช่ประเด็นกำหนดความสำเร็จในชีวิตของคนๆ หนึ่ง สิ่งที่กำหนดคือเหตุผล และความตระหนักรู้ของตัวเด็กว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดีในชีวิตเขา ถูกมั้ยคะ
พูดไปก็น่าเศร้านะคะ ท่ามกลางระบบการศึกษาที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบที่ลิดรอนสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ของเด็กนักเรียนแบบนี้ จะมีครูกี่คนที่เป็นพระคุณที่สาม เป็นแสงสว่างมองเห็นลึกเข้าไปในตัวตนของเด็กจริงๆ ถ้าเกิดว่ามี และได้เจอครูที่ประเสริฐจริงๆ สักคน คงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าน่าดูเลยล่ะค่ะ
ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น มุมมองทุกอย่างภายในกระทู้นี้ เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวของ จขกท ซึ่งเรายอมรับความคิดเห็นต่าง แต่ขออนุญาตให้ดีเบตกันด้วยเหตุผล และงดใช้คำหยาบนะคะ
ความอัดอั้นของเด็กคนหนึ่งต่อระบบการศึกษาไทย สะท้อนปัญหาในฐานะเด็กมหาวิทยาลัยที่พบว่ากฎโรงเรียนไม่มีประโยชน์อะไรเลย
เรารู้ว่าครูดีๆ ยังมีอีกมาก และย่อมต้องมีเยอะกว่าครูที่ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ในที่นี้ เรากำลังสะท้อนปัญหาของระบบการศึกษาและครูไทย เพราะฉะนั้น ขออนุญาตกล่าวถึงด้านที่ไม่ดีนะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้รู้ว่าด้านที่ไม่ดีเหล่านี้ที่เราสะท้อนออกมา ไม่ใช่ทั้งหมดค่ะ
เอาล่ะ เริ่มล่ะนะคะ
เคยเจอมั้ยคะ...คุณครูผู้เรียกตัวเองว่า "พระคุณที่สาม" ที่ทำร้ายเด็ก
เคยเจอมั้ยคะ...คุณครูผู้เรียกตัวเองว่า "ประสิทธิ์ประสาทวิชา" ที่แทบไม่เคยสอนหนังสือเด็กอย่างจริงจัง
เคยเจอมั้ยคะ...คุณครูที่น่าเคารพบูชานักหนา แต่กลับทำตัวตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
เคยเจอมั้ยคะ...คุณครูผู้ควรจุดประกายแสงแห่งปัญญาให้เด็ก แต่กลับเป็นคนลงมือดับแสงนั้นด้วยการดูถูกลูกศิษย์ของตัวเอง
เราเชื่อว่านักเรียนทุกคนต้องเจอคุณครูเหล่านี้มาบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย
เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
เราคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่เพิ่งหลุดพ้นจากระบบการศึกษาในรั้วโรงเรียนมาไม่นาน (เข้าสู้รั้วมหาวิทยาลัยแทน 555+) ก็ถือได้ว่าหลุดพ้นออกมาจากกรอบแปลกๆ ซึ่งบางทีก็ถึงกับไร้เหตุผลไปจนถึงไร้สาระมาแล้ว และในที่สุดก็มีโอกาสได้มาสะท้อนถึงปัญหาต่างๆ ในแบบที่เราคงไม่มีวันพูดได้ในสถานภาพนักเรียนซะที
เคยมีคนถามเหมือนกัน ว่าตอนนี้ก็ขึ้นมหาลัยแล้ว หลุดพ้นจากกฎบ้าบอในโรงเรียนแล้ว จะย้อนกลับไปวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองทำไม
เมื่อก่อนไม่อยากรวบผม ไม่อยากผูกโบว์ อึดอัดกับการถูกยึดถุงเท้าด้วยกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงตลอด ตอนนี้ก็ไม่ต้องทำแล้วนี่ ตอนนี้เป็นอิสระแล้วนี่
อยากทำทรงผมอะไรก็ได้ทำ อยากใส่ถุงเท้าแบบไหนก็ได้ใส่
นี่ก็ตอบได้ว่า เพราะเราผ่านมันมาแล้ว เราได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ว่ากฎระเบียบพวกนั้นมันไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้ชีวิตเราไง
สิ่งที่สะท้อนออกมาผ่านกฎระเบียบที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวทุกอย่างยกเว้นความรู้ในหัวเด็กมันแสดงถึงอะไร
มันกำลังสะท้อนให้ดห็นระบบโครงสร้างของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับ "ระบบอาวุโส" จนลืมความเป็น individual ของเด็กไปไง
ผู้ใหญ่หลายๆ คนลืมที่จะมอง ลืมให้คุณค่าว่าเด็กก็เป็นคนที่มีชีวิต มีจิตใจ มีความคิด มีความรู้สึก มองเหมือนกับว่าเด็กคือ "ผลิตภัณฑ์" ในโรงงานที่ต้องถูกผลิตออกมาให้เป็นรูปแบบเดียวกันหมด
เครื่องแบบต้องเหมือนกันหมด ทรงผมต้องเหมือนกันหมด ถุงเท้า รองเท้า ต้องเหมือนกันหมด
ทุกอย่างต้องเหมือนกันหมด เด็กคนนั้นถึงจะถูกตีตราว่า "น่ารัก" กลายเป็นสินค้าคุณภาพที่ใครๆ ก็ต้องการ
แล้วในใจของเด็กล่ะ?
เด็กบางคนไม่คิดอะไร ใครสั่งให้ก็ทำ นั่นก็ดีไป แต่ถ้าเด็กคิดล่ะ ถ้าเด็กอึดอัดล่ะ
เราเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่อึดอัดกับกฎระเบียบแบบนี้มากๆ และไม่โอเค แต่สุดท้ายในตอนที่ยังเป็นเด็กมัธยม กลับไม่สามารถแสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาได้ ไม่งั้นจะกลายเป็น "สินค้าไร้คุณภาพ" กลายเป็นเด็กเกเรที่ไม่เป็นที่ต้องการ กลายเป็นเด็กดื้อไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ เพียงเพราะอยากเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ที่ตัวเองควรจะได้รับ
ตอนนี้เราได้พิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว เราหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้แล้ว แต่ยังมีเด็กอีกมากมายที่ยังติดอยู่ในวังวนเดิมๆ ที่ทุกคนก็รู้ว่ามันไม่ดี แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพราะเสียงเรียกร้องยังไม่ดังพอ
เราก็ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการศึกษาไทย สำหรับผู้กระทำผิดใดๆ ไม่ควรมีแค่ "เด็ก" ที่ถูกบังคับให้ทำตามกฎและถูกลงโทษ แต่รวมถึง "ครู" บางคนที่ไม่ยอมกนะทำตามกฎกระทรวงก็ควรมีบทลงโทษอย่างยุติธรรม ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ควรจะเริ่มเกิดขึ้นได้แล้ว
เด็ก...เข้าแถวยืนตากแดดหน้าเสาธง เข้าแถวต่อคิวซื้ออาหารกลางวัน
ครู...ยืนใต้ต้นไม้ แซงคิวซื้อข้าวเพราะ "รีบ"
เด็ก...ไม่ยอมตัดผมตามกฎของโรงเรียน เด็กโดนทำโทษ ยืนประจานตัดผมหน้าเสาธง สร้างความอับอาย
ครู...วางกฎระเบียบของโรงเรียนที่ลิดรอนสิทธิเด็กขัดกับกฎกระทรวง ข่าวเงียบ ไม่มีการดำเนินการใดๆ
เด็ก...พูดคำด่าหยาบคาย โดนครูตำหนิ
ครู...ด่าเด็กกะ_รี่ ถึงขั้นฟ้องร้องเอาผิดฐานหมิ่นประมาทได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร
อีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างติดใจเรามาก อันนี้น่าจะเป็นกฎระเบียบที่มีแค่ในโรงเรียน (เก่า) ของเราเอง กฎระเบียบว่าด้วยเรื่อง "เด็กต้องกราบ ผอ. และผู้มาเยือน"
นั่นเป็นเอกลักษณ์ที่คุณครูเล่าให้พวกเราฟังว่า "มันคือชื่อเสียง" "มันคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนชื่นชมโรงเรียนของเรา" ในขณะที่เรากลับคิดต่าง
การกราบเท้าพร่ำเพรื่อ กราบโดยไม่มีการชี้แจงเหตุผลใดๆ กราบโดยที่เด็กมองไม่เห็นคุณค่าของมัน สักแต่ว่าเขาให้ทำก็ทำ มันก็ไม่ต่างจากการกระทำหนึ่งๆ ที่เสียพลังงานไปเปล่าๆ
มันก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ยิ่งตอกย้ำมุมมองของเราว่า "ในสถาบันการศึกษา เด็กเป็นแค่หมากเบี้ยประดับที่ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น" ครูสั่ง ต้องทำ ถ้าไม่ทำ คือเด็กไม่ดี มีไว้สร้างหน้า มีไว้สร้างชื่อเสียง มีไว้บังคับ
และประเด็นสุดท้ายที่ขาดไปไม่ได้ คือว่าด้วยเรื่อง "การตีเด็ก"
ไวๆ นี้เหมือนเห็นคุณครูท่านหนึ่งโพสต์ข้อความใน facebook เกี่ยวกับการเรียกร้องให้โทษเฆี่ยนตีกลับคืนมา คืนอำนาจให้ครูสามารถตีนักเรียนได้อย่างอิสระ เพราะถ้าไม่มีโทษตี จะคุมเด็กไม่ได้
อันนี้เราก็ได้แต่นั่งคิดเงียบๆ ในใจ การที่เบื้องบนสั่งยกเลิกบทลงโทษที่เป็นการใช้ความรุนแรง หรืออะไรก็ตามแต่ ก็เหมือนกับเป็นการโยนโจทย์ปัญหาข้อใหญ่ให้ครูในประเทศไทยว่า "จะสั่งสอนเด็กโดยใช้เหตุผลอย่างไรให้เด็กเกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง"
เพราะปัญหาของระบบการศึกษาไทยขณะนี้ ก็คือการไม่มองว่าเด็กก็เป็นคนที่มีความคิด มีเหตุผลนั่นแหละค่ะ เพราะฉะนั้น จึงมองว่าการสั่งสอนเด็กด้วยเหตุผล เป็นเรื่องยาก
ซึ่งเราจะไม่ขอวิจารณ์ว่ามันยาก หรือมันง่าย เพราะเรายอมรับว่าเราเองก็ไม่เคยไปอยู่ถึงจุดนั้น แต่เราว่าโจทย์ปัญหานี้ คือโจทย์ปัญหาที่สำคัญที่คุณครูทุกท่านควรจะแก้ได้ ถ้าหากคุณแก้ไม่ได้ และคิดว่าบทลงโทษรุนแรงคือคำตอบ...รบกวนลองกลับไปคิดดูนะคะ ว่าวิชาชีพ "ครู" ยังเหมาะกับท่านอยู่หรือเปล่า
ถ้าคุณบอกว่าไม้เรียวสร้างแพทย์ สร้างวิศวะ สร้างคนดีมากี่คนแล้ว เราก็จะขอให้มองย้อนกลับไป ว่าไม้เรียวเองก็สร้างคนหัวรุนแรงมากี่คนแล้วเช่นกันค่ะ
ไม้เรียวไม่ใช่ประเด็นกำหนดความสำเร็จในชีวิตของคนๆ หนึ่ง สิ่งที่กำหนดคือเหตุผล และความตระหนักรู้ของตัวเด็กว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดีในชีวิตเขา ถูกมั้ยคะ
พูดไปก็น่าเศร้านะคะ ท่ามกลางระบบการศึกษาที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบที่ลิดรอนสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ของเด็กนักเรียนแบบนี้ จะมีครูกี่คนที่เป็นพระคุณที่สาม เป็นแสงสว่างมองเห็นลึกเข้าไปในตัวตนของเด็กจริงๆ ถ้าเกิดว่ามี และได้เจอครูที่ประเสริฐจริงๆ สักคน คงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าน่าดูเลยล่ะค่ะ
ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น มุมมองทุกอย่างภายในกระทู้นี้ เป็นเพียงมุมมองส่วนตัวของ จขกท ซึ่งเรายอมรับความคิดเห็นต่าง แต่ขออนุญาตให้ดีเบตกันด้วยเหตุผล และงดใช้คำหยาบนะคะ