เราอ่านแต่กระทู้ของคนอื่น เจอเรื่องเยอะแยะมากมาย ไม่คิดว่าในวันนี้จะต้องมาเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง (ตั้งใจสมัครสมาชิกมาเพื่อแชร์เรื่องของตัวเอง) ยาวหน่อยนะคะ
ช่วงอายุ 17 ปี เรารู้จักผู้ชายคนหนึ่งชื่อ ต. ซึ่งเราสองคนอยู่กันคนละจังหวัด หลังจากนั้นเราย้ายไปเรียนต่อในจังหวัดของ ต. เทียวรับส่งกันจนเรียนจบ
ปี 2548 หลังจากเรียนจบก็พากันไปหางานทำที่ กทม. โดยอาศัยอยู่บ้านญาติของ ต.มีสมบัติแค่กระเป๋าเสื้อผ้าคนละใบ เงินติดตัวไม่กี่หมื่นเพราะพึ่งเรียนจบยังไม่มีงานทำ
ปี 2550 เราแต่งงานกัน อยู่กันมาแบบเรียบง่าย ต.เป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ เก็บเงินเก่ง ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ มีเงินเก็บ มีรถ ต.เป็นคนดาวน์และจ่ายงวดรถจึงให้รถเป็นชื่อ ต. ส่วนเราก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน จนกระทั่งเราคลอดลูกชายในปี 2552 ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาด้วย พอลูกได้ 3 เดือน เราก็เอาลูกไปให้แม่เราเลี้ยงให้ โดยที่เรารับผิดชอบค่านม ค่าแพมเพิร์ส ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง ตอนนั้นเงินเดือน12,000 บาท ส่งแม่เดือนละ8,000 บาท (แม่ไม่ได้เรียกร้องนะคะแต่เราให้เอง เพราะถือว่าเป็นส่วนที่เราต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด) ถือว่าหนักพอตัวในการใช้ชีวิตในเมืองหลวงเมืองที่ต้องจ่ายเงินตั้งแต่ก้าวขาออกจากบ้าน
เราสองคนทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาเงินมาเพื่ออนาคต ขายของพวกถ้วยจานชามเมลามีนเราก็ทำ แต่มาเลิกขายตอนปี 2554 ตอนน้ำท่วมกรุงเทพ เราเว้นช่วงไปแล้วก็ต้องเลิกขายในที่สุดเพราะ ต. มีความฝันอื่นที่มุ่งมั่นมากกว่าขายของ แต่เราก็ผ่านเรื่องนี้ไปได้ จนกระทั่ง ต. จ่ายงวดรถหมด (หมดความรับผิดชอบละทีนี้) แต่ความรับผิดชอบของเรายังดำเนินต่อไปไม่มีวันหมด เพราะหน้าที่ของคำว่า “แม่”
พองวดรถหมด ต. ก็เก็บเงินตั้งหน้าตั้งตาทำตามความฝันคือเปิดอู่ซ่อมรถเพื่อให้ได้มีเงินเยอะๆ (ความฝันของฉันคือการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวที่อบอุ่น) ต.เปิดอู่ซ่อมรถที่บ้านญาติตั้งแต่ปี 2555โดยทำเป็นอาชีพเสริม งานประจำก็ยังทำอยู่ จนเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งก็เอามาดาวน์บ้านที่ต่างจังหวัด(อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับพ่อแม่ของ ต.) แล้วกู้ส่วนต่างของบ้านร่วมกัน โดยตกลงกันว่า เราเป็นคนจ่ายค่าบ้าน แต่ ต. ก็มีจ่ายช่วยบ้าง โปะเป็นก้อนเลยก็ว่าได้ เพราะเราเองในตอนนั้นเงินเดือนแค่ 13,000 บาท จ่ายค่าบ้าน 6,300 บาท ครึ่งหนึ่งของเงินเดือน ไหนจะลูกอีก (ลูกอายุได้ 2 ขวบก็ย้ายมาอยู่บ้านปู่กับย่าเพื่อเตรียมเข้าเรียน) ทำให้เราส่งเงินบ้าง ไม่ส่งบ้าง โชคดีที่พ่อแม่ของ ต. ท่านเข้าใจ
อู่ซ่อมรถที่ ต.เปิดมีรายได้ดี ไหนจะรายได้จากงานประจำอีก ต.เลยเข้ามารับผิดชอบเรื่องกินอยู่ช่วย ชีวิตครอบครัวเราในจังหวะนั้นถือว่าดีมากๆ ถึงจะมีหนี้สินมากมายก็ตาม ถึงเราจะมีชีวิตที่ดี มีความสุขเหมือนที่เราและ ต. ฝันไว้ทุกอย่าง ต. ก็ยังคงเป็นคนเก็บเงินก้อนเพื่อเตรียมย้ายกลับมาอยู่ภูมิลำเนาใกล้พ่อแม่ซึ่งแก่ตัวลงทุกวัน ต. เป็นคนรักพ่อแม่มาก ทุกอย่างคือพ่อแม่ บูชาเหนือหัวไม่เคยก้าวร้าว นี่คือสิ่งที่เรามั่นใจว่า เขาเป็นคนรักครอบครัว เราจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดที่ได้อยู่กับเขาตลอดชีวิต เราไม่เคยเช็คโทรศัพท์ ไม่เคยก้าวก่าย ไม่เคยจุกจิก เช็คว่าเงินไปไหนนู่นนี่นั่น เพราะรู้จักนิสัยและไว้ใจเขามาก
ความสุขก็มีแล้ว ต่อมาถึงคราวความทุกข์มาบ้าง ต.ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปทำงานแล้วโดนรถชน หมอบอกว่า ผลจากการโดนรถยนต์ทับหัวไหล่ทำให้ ต. สูญเสียเส้นประสาทนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือด้านขวารวมสองเส้น โอกาสหายน้อยมาก ต้องผ่าตัด แต่ผลจะหายไม่เต็ม 100% กำลังใจสำคัญกว่า หมอให้เราค่อย ๆ คุยกับ ต. เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนทำใจยากเราทำได้เพียงบอก ต. ว่า “ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อเกิดแล้วเราทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องยอมรับมัน อยู่กับมัน แค่นี้ไม่เรียกว่าพิการ คนอื่นเขาหนักกว่าเรา เรื่องแค่นี้เราต้องจับมือกันผ่านไปให้ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน”เราไม่คิดว่าคำพูดแค่นี้จะทำให้ ต. จดจำ เป็นความภูมิใจของเขาที่เที่ยวไปบอกคนอื่นๆว่า “เขาจะไม่มีวันเลิกกับเรา เพราะเราเป็นคนที่ยืนข้างเขาในวันที่เขาท้อโดยไม่สนใจว่าจะโดนไล่ออกจากงาน”
จนกระทั่งปี 2559 เราสองคนย้ายกลับมาอยู่บ้าน(ที่ดาวน์ไว้)ที่ต่างจังหวัดซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ของ ต.เหตุการณ์ราบรื่น ครอบครัวอบอุ่นอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก มีความสุขตามฝันของเราทุกอย่าง โดยบ้านมีลักษณะเป็นคล้ายกับห้องแถว ซึ่งเราสองคนได้ต่อเติมดัดแปลงให้เป็นที่อยู่ ร้านค้า และอู่ซ่อมรถของ ต. (ในส่วนร้านค้าเราเปิดเป็นร้านขายของชำ ซึ่งจะทำให้เรามีเวลาดูแลลูก รับ-ส่งลูกไปโรงเรียน)
พอช่วงเดือน ก.ย.2559เราท้อง ตั้งแต่ท้องจนคลอด ต. ไปหาหมอกับเราเพียงครั้งเดียว เราก็เข้าใจนะคะว่างานยุ่ง ไม่เป็นไร เราไหว เราแค่ท้อง เราไม่ได้พิการ ไปไหนมาไหนเองได้ จนวันที่หมอนัดไปนอนรอคลอด (หมอนัดผ่า 21/4/60 ต้องไปตรวจก่อนคลอด 20/4/60 เพื่อนอนรอคลอด) เราก็ขับรถเองแต่มีพี่สาว ต. , ลูกชายของพี่สาว ต. ลูกชายคนโตของเราไปเพื่อรอรับน้องกับแม่ (กำลังใจหลัก) ปรากฏว่ามดลูกบีบรัดตัวถี่ต้องผ่าคืนนี้ พี่สาว ต. โทรตาม แม่ๆน้าๆและ ต. ตั้งแต่ทุ่มกว่าๆจนเกือบสองทุ่มครึ่ง หมอบอกว่า จะผ่าเลยมั้ย ถ้าดึกไปหมอออกเวรหมด เผื่อฉุกเฉินมาจะลำบาก เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องรอ ในเมื่อเราเป็นคนท้อง เราก็ตัดสินใจเองได้นี่ว่าผ่าเลย!!
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความขุ่นใจให้กับเราอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้มันวุ่นวายมากเรื่อง เลยเงียบ จนกระทั่งลูกสาวคนเล็กอายุได้ 6 เดือน เริ่มมีสัญญาณไม่ดีกับครอบครัวเรา ต. ออกบ้านบ่อยขึ้น ไปซื้ออะไหล่ทีก็หายไปหลายๆชั่วโมง กลางคืนก็บอกไปซื้อเนื้อ (ไปซื้อที่โรงฆ่าสัตว์เอามาทำกินแถวนี้เรียกเนื้อดึก) โดยทิ้งให้เรากับลูกอยู่กันตามลำพัง จริงๆก็ปล่อยให้อยู่ลำพังตั้งแต่ท้องนะคะ แต่เราพยายามไม่คิดเยอะเดี๋ยวมีผลกับลูกในท้อง เราเองไม่รู้คิดยังไง จากที่ไว้ใจ เชื่อใจ วางใจ แต่วันนั้นฉุกคิดขึ้นมาว่า เราควรเช็คโทรศัพท์สามีเรา แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยทำ ถ้าไปขอดูแล้วมันไม่มีอะไร จะกลายเป็นทะเลาะกันหรือเปล่า เราเลยลอง login ในคอมพิวเตอร์ดู
สิ่งที่เจอคือ ต. แอบคุยไลน์กับพนักงานร้านอะไหล่คนนึงสมมุติชื่อ ว. นะคะ มีส่งสติ๊กเกอร์หวานให้กันเราเดินไปถาม ต.ตรง ๆ เลยว่า“มีผู้หญิงอื่นใช่มั้ย เอาโทรศัพท์มา ขอดูโทรศัพท์หน่อย “
คำตอบที่ได้จากผู้ชายที่แสนดีมาตลอดคือ “ก็รู้แล้วนี่ จะดูทำไมอีก” ความรู้สึกเราในตอนนั้นเหมือนโดนตบหน้า
เราโกรธจนตัวสั่น เดินออกจากอู่กลับเข้าบ้าน เริ่มต้นสุ่มค้นจากเพจร้านอะไหล่ร้านนั้น คิดว่าต้องมาถูกทาง เพราะวิเคราะห์จากน้าของ ต. ที่มาช่วยงานที่อู่ว่า ต. ชอบหายเข้าไปสตาร์ทรถลูกค้าคุยโทรศัพท์ทีละนานๆ จนมาเจอคลิปๆนึงของเพจ ที่นางคนนี้เป็นคนอยู่ในคลิป คลิกเข้าไปอ่าน comment เลยจ้า มีถามตอบโต้กัน แล้วนางคนนี้ก็เป็นคนตอบ comment ความอยากรู้ของผู้หญิงมันมีมากอยู่แล้ว จะรออะไรล่ะคะ ค้นอีกค่ะ จนเจอ facebook นาง เจอรูปนาง กับผู้ชายและเด็กผู้ชายถ่ายร่วมกัน ซึ่งอ่านจาก comment สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรูปครอบครัว เราตัดสินใจโทรหาผู้ชายคนนั้นผ่าน nfacebook เพราะถ้าโทรหา ว. โดยตรง ก็คิดว่าน้อยนักที่ผู้ร้ายจะยอมรับผิด เราก็ถามผู้ชายคนนั้นตรงๆว่า
“คุณเป็นแฟน ว.ใช่มั้ย”
ผู้ชายคนนั้นบอก “ใช่”
“คุณรู้มั้ยว่าแฟนคุณกับสามีชั้นเค้าแอบคุยกัน”
“รู้ครับ รู้มาสักพักละ ที่ทำงานก็เคยเรียกคุยทั้งผู้หญิงผู้ชาย(ต.) แล้ว ผมก็เคยไล่แฟนผมออกจากบ้านรอบนึงแล้ว แต่เค้าก็กลับมาอ้างว่าเลิกคุยกับ ต. แล้ว ผมถึงให้เข้าบ้าน (นาง ว. เป็นคน ต่างจังหวัด แต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ที่บ้านสามี) เพิ่งกลับเข้ามาได้ 3-4 วันนี้เองนะครับ แต่ผมไม่รู้นะว่าใครเริ่มก่อน เพราะผมก็ทำงานที่เดียวกับเขา แต่คนละส่วนกัน”
เราอึ้งมากกับความจริงที่ได้รับรู้มาคือพวกเค้ากล้าทำกันขนาดนี้เลยเหรอ ต. ก็อยู่บ้านเดียวกับเรา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ว. ก็ยังอยู่บ้านเดียวกับสามี หนำซ้ำยังทำงานที่เดียวกันอีก เอาเวลาที่ไหนมาแอบคบแอบคุยกัน ที่สำคัญ ต่างฝ่ายต่างลูกยังเล็กด้วยกันทั้งคู่
หลังจากเรื่องเริ่มแดง ว. ก็ถูกสามีไล่ออกจากบ้านถาวร วันที่นางโดนไล่ออกจากบ้าน เป็นวันที่เราและ ต. ทะเลาะกันหนัก ต. ถึงขั้นทิ้งให้เรากับลูกทั้ง 2 คนอยู่บ้านตามลำพัง เพื่อพา ว. ไปหาที่อยู่ใหม่ หลงหนักถึงขั้นจะทิ้งทุกอย่าง พังความฝันตัวเองเพื่อจะไปอยู่กับ ว. โดยให้เหตุผลได้ทุเรศมาก ว่า เขาต้องรับผิดชอบที่เป็นคนทำให้ครอบครัว ว. แตก (อ้าว! แล้วครอบครัวลูกเมียตัวเองล่ะ) ที่สำคัญ ต. บอกว่า ว. ช่วยหนุนกิจการซ่อมรถของ ต.ได้ เราเลยบอกว่า ทำไมไม่ให้โอกาสเราทำบ้าง คนเราไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด ไม่ลองไม่รู้ ต. บอกตัดเลยว่าเราทำไม่ได้ เราก็บอกเหตุผลไปตามตรงว่า ขอเวลา เพราะทุกวันนี้ภาระหน้าที่ทุกอย่างของเราก็หนักพอตัว ทั้งเลี้ยงลูกเองทั้ง 2 คน ทั้งงานบ้าน ทั้งงานร้านค้า ทุกอย่าง จะไม่ลองให้โอกาสพิสูจน์ตัวเองก่อนเหรอ ต. บอกคำเดียวเลยว่า “ไม่ได้” ที่หนักสุด ต.บอกว่า รอเวลาที่จะเลิกกับเรามานานแล้ว เราเลยว่า ถ้าคุณรอที่จะเลิกกับเราจริงๆ ทำไมต้องรอให้ย้ายกลับจากกรุงเทพ ทำไมต้องรอให้ลูกคนเล็กเกิดมา ทำไมต้องรอตอน ว. ก้าวเข้ามาในชีวิต ที่สำคัญ ระยะเวลาที่เรากับ ต. ย้ายกลับมาจากกรุงเทพจนถึงตอนนี้ (เกิดเรื่อง) ระยะเวลาแค่ปีกว่าๆ (ก.ค. 2559 – ต.ค.2560) แสดงว่าพวกคุณแอบคุยกันมานานแล้วสิ ซึ่งตอนที่เราท้อง ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะบกพร่องในเรื่องบนเตียงบ้าง แต่คนเป็นพ่อแม่คนก็ควรเข้าใจว่า ยังมีอีกชีวิตที่อยู่ในท้องที่เรามองไม่เห็นว่าเขาจะเป็นยังไง ให้เราต้องดูแลไม่ใช่เหรอ ควรพักเรื่องแบบนี้สักพักก่อนดีมั้ย หมอก็แนะนำว่า ช่วงไหนบ้างที่ควรงดยุ่งกัน แต่ทำไม ต.ไม่เข้าใจ หรือว่าเราคิดมากไปจนเป็นกังวล จนเป็นสาเหตุให้ ต. ไปมีคนอื่น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
https://pantip.com/topic/38687844 ขอตั้งกระทู้เล่าตอนที่ 2 ต่อนะคะ ไม่คิดว่าจะต้องมาเล่าอีก เราเองก็คิดว่าเรื่องราวมันคงจบลงเพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่ค่ะ
แชร์ประสบการณ์ ถ้าชีวิตครอบครัวเจอเหมือนเราจะทำไงดี สู้ก็ไม่ไหว ไปต่อก็ไม่ได้
ช่วงอายุ 17 ปี เรารู้จักผู้ชายคนหนึ่งชื่อ ต. ซึ่งเราสองคนอยู่กันคนละจังหวัด หลังจากนั้นเราย้ายไปเรียนต่อในจังหวัดของ ต. เทียวรับส่งกันจนเรียนจบ
ปี 2548 หลังจากเรียนจบก็พากันไปหางานทำที่ กทม. โดยอาศัยอยู่บ้านญาติของ ต.มีสมบัติแค่กระเป๋าเสื้อผ้าคนละใบ เงินติดตัวไม่กี่หมื่นเพราะพึ่งเรียนจบยังไม่มีงานทำ
ปี 2550 เราแต่งงานกัน อยู่กันมาแบบเรียบง่าย ต.เป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ เก็บเงินเก่ง ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ มีเงินเก็บ มีรถ ต.เป็นคนดาวน์และจ่ายงวดรถจึงให้รถเป็นชื่อ ต. ส่วนเราก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน จนกระทั่งเราคลอดลูกชายในปี 2552 ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาด้วย พอลูกได้ 3 เดือน เราก็เอาลูกไปให้แม่เราเลี้ยงให้ โดยที่เรารับผิดชอบค่านม ค่าแพมเพิร์ส ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเอง ตอนนั้นเงินเดือน12,000 บาท ส่งแม่เดือนละ8,000 บาท (แม่ไม่ได้เรียกร้องนะคะแต่เราให้เอง เพราะถือว่าเป็นส่วนที่เราต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด) ถือว่าหนักพอตัวในการใช้ชีวิตในเมืองหลวงเมืองที่ต้องจ่ายเงินตั้งแต่ก้าวขาออกจากบ้าน
เราสองคนทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาเงินมาเพื่ออนาคต ขายของพวกถ้วยจานชามเมลามีนเราก็ทำ แต่มาเลิกขายตอนปี 2554 ตอนน้ำท่วมกรุงเทพ เราเว้นช่วงไปแล้วก็ต้องเลิกขายในที่สุดเพราะ ต. มีความฝันอื่นที่มุ่งมั่นมากกว่าขายของ แต่เราก็ผ่านเรื่องนี้ไปได้ จนกระทั่ง ต. จ่ายงวดรถหมด (หมดความรับผิดชอบละทีนี้) แต่ความรับผิดชอบของเรายังดำเนินต่อไปไม่มีวันหมด เพราะหน้าที่ของคำว่า “แม่”
พองวดรถหมด ต. ก็เก็บเงินตั้งหน้าตั้งตาทำตามความฝันคือเปิดอู่ซ่อมรถเพื่อให้ได้มีเงินเยอะๆ (ความฝันของฉันคือการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวที่อบอุ่น) ต.เปิดอู่ซ่อมรถที่บ้านญาติตั้งแต่ปี 2555โดยทำเป็นอาชีพเสริม งานประจำก็ยังทำอยู่ จนเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งก็เอามาดาวน์บ้านที่ต่างจังหวัด(อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับพ่อแม่ของ ต.) แล้วกู้ส่วนต่างของบ้านร่วมกัน โดยตกลงกันว่า เราเป็นคนจ่ายค่าบ้าน แต่ ต. ก็มีจ่ายช่วยบ้าง โปะเป็นก้อนเลยก็ว่าได้ เพราะเราเองในตอนนั้นเงินเดือนแค่ 13,000 บาท จ่ายค่าบ้าน 6,300 บาท ครึ่งหนึ่งของเงินเดือน ไหนจะลูกอีก (ลูกอายุได้ 2 ขวบก็ย้ายมาอยู่บ้านปู่กับย่าเพื่อเตรียมเข้าเรียน) ทำให้เราส่งเงินบ้าง ไม่ส่งบ้าง โชคดีที่พ่อแม่ของ ต. ท่านเข้าใจ
อู่ซ่อมรถที่ ต.เปิดมีรายได้ดี ไหนจะรายได้จากงานประจำอีก ต.เลยเข้ามารับผิดชอบเรื่องกินอยู่ช่วย ชีวิตครอบครัวเราในจังหวะนั้นถือว่าดีมากๆ ถึงจะมีหนี้สินมากมายก็ตาม ถึงเราจะมีชีวิตที่ดี มีความสุขเหมือนที่เราและ ต. ฝันไว้ทุกอย่าง ต. ก็ยังคงเป็นคนเก็บเงินก้อนเพื่อเตรียมย้ายกลับมาอยู่ภูมิลำเนาใกล้พ่อแม่ซึ่งแก่ตัวลงทุกวัน ต. เป็นคนรักพ่อแม่มาก ทุกอย่างคือพ่อแม่ บูชาเหนือหัวไม่เคยก้าวร้าว นี่คือสิ่งที่เรามั่นใจว่า เขาเป็นคนรักครอบครัว เราจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดที่ได้อยู่กับเขาตลอดชีวิต เราไม่เคยเช็คโทรศัพท์ ไม่เคยก้าวก่าย ไม่เคยจุกจิก เช็คว่าเงินไปไหนนู่นนี่นั่น เพราะรู้จักนิสัยและไว้ใจเขามาก
ความสุขก็มีแล้ว ต่อมาถึงคราวความทุกข์มาบ้าง ต.ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปทำงานแล้วโดนรถชน หมอบอกว่า ผลจากการโดนรถยนต์ทับหัวไหล่ทำให้ ต. สูญเสียเส้นประสาทนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือด้านขวารวมสองเส้น โอกาสหายน้อยมาก ต้องผ่าตัด แต่ผลจะหายไม่เต็ม 100% กำลังใจสำคัญกว่า หมอให้เราค่อย ๆ คุยกับ ต. เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนทำใจยากเราทำได้เพียงบอก ต. ว่า “ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อเกิดแล้วเราทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องยอมรับมัน อยู่กับมัน แค่นี้ไม่เรียกว่าพิการ คนอื่นเขาหนักกว่าเรา เรื่องแค่นี้เราต้องจับมือกันผ่านไปให้ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน”เราไม่คิดว่าคำพูดแค่นี้จะทำให้ ต. จดจำ เป็นความภูมิใจของเขาที่เที่ยวไปบอกคนอื่นๆว่า “เขาจะไม่มีวันเลิกกับเรา เพราะเราเป็นคนที่ยืนข้างเขาในวันที่เขาท้อโดยไม่สนใจว่าจะโดนไล่ออกจากงาน”
จนกระทั่งปี 2559 เราสองคนย้ายกลับมาอยู่บ้าน(ที่ดาวน์ไว้)ที่ต่างจังหวัดซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับพ่อแม่ของ ต.เหตุการณ์ราบรื่น ครอบครัวอบอุ่นอยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก มีความสุขตามฝันของเราทุกอย่าง โดยบ้านมีลักษณะเป็นคล้ายกับห้องแถว ซึ่งเราสองคนได้ต่อเติมดัดแปลงให้เป็นที่อยู่ ร้านค้า และอู่ซ่อมรถของ ต. (ในส่วนร้านค้าเราเปิดเป็นร้านขายของชำ ซึ่งจะทำให้เรามีเวลาดูแลลูก รับ-ส่งลูกไปโรงเรียน)
พอช่วงเดือน ก.ย.2559เราท้อง ตั้งแต่ท้องจนคลอด ต. ไปหาหมอกับเราเพียงครั้งเดียว เราก็เข้าใจนะคะว่างานยุ่ง ไม่เป็นไร เราไหว เราแค่ท้อง เราไม่ได้พิการ ไปไหนมาไหนเองได้ จนวันที่หมอนัดไปนอนรอคลอด (หมอนัดผ่า 21/4/60 ต้องไปตรวจก่อนคลอด 20/4/60 เพื่อนอนรอคลอด) เราก็ขับรถเองแต่มีพี่สาว ต. , ลูกชายของพี่สาว ต. ลูกชายคนโตของเราไปเพื่อรอรับน้องกับแม่ (กำลังใจหลัก) ปรากฏว่ามดลูกบีบรัดตัวถี่ต้องผ่าคืนนี้ พี่สาว ต. โทรตาม แม่ๆน้าๆและ ต. ตั้งแต่ทุ่มกว่าๆจนเกือบสองทุ่มครึ่ง หมอบอกว่า จะผ่าเลยมั้ย ถ้าดึกไปหมอออกเวรหมด เผื่อฉุกเฉินมาจะลำบาก เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องรอ ในเมื่อเราเป็นคนท้อง เราก็ตัดสินใจเองได้นี่ว่าผ่าเลย!!
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความขุ่นใจให้กับเราอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้มันวุ่นวายมากเรื่อง เลยเงียบ จนกระทั่งลูกสาวคนเล็กอายุได้ 6 เดือน เริ่มมีสัญญาณไม่ดีกับครอบครัวเรา ต. ออกบ้านบ่อยขึ้น ไปซื้ออะไหล่ทีก็หายไปหลายๆชั่วโมง กลางคืนก็บอกไปซื้อเนื้อ (ไปซื้อที่โรงฆ่าสัตว์เอามาทำกินแถวนี้เรียกเนื้อดึก) โดยทิ้งให้เรากับลูกอยู่กันตามลำพัง จริงๆก็ปล่อยให้อยู่ลำพังตั้งแต่ท้องนะคะ แต่เราพยายามไม่คิดเยอะเดี๋ยวมีผลกับลูกในท้อง เราเองไม่รู้คิดยังไง จากที่ไว้ใจ เชื่อใจ วางใจ แต่วันนั้นฉุกคิดขึ้นมาว่า เราควรเช็คโทรศัพท์สามีเรา แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยทำ ถ้าไปขอดูแล้วมันไม่มีอะไร จะกลายเป็นทะเลาะกันหรือเปล่า เราเลยลอง login ในคอมพิวเตอร์ดู
สิ่งที่เจอคือ ต. แอบคุยไลน์กับพนักงานร้านอะไหล่คนนึงสมมุติชื่อ ว. นะคะ มีส่งสติ๊กเกอร์หวานให้กันเราเดินไปถาม ต.ตรง ๆ เลยว่า“มีผู้หญิงอื่นใช่มั้ย เอาโทรศัพท์มา ขอดูโทรศัพท์หน่อย “
คำตอบที่ได้จากผู้ชายที่แสนดีมาตลอดคือ “ก็รู้แล้วนี่ จะดูทำไมอีก” ความรู้สึกเราในตอนนั้นเหมือนโดนตบหน้า
เราโกรธจนตัวสั่น เดินออกจากอู่กลับเข้าบ้าน เริ่มต้นสุ่มค้นจากเพจร้านอะไหล่ร้านนั้น คิดว่าต้องมาถูกทาง เพราะวิเคราะห์จากน้าของ ต. ที่มาช่วยงานที่อู่ว่า ต. ชอบหายเข้าไปสตาร์ทรถลูกค้าคุยโทรศัพท์ทีละนานๆ จนมาเจอคลิปๆนึงของเพจ ที่นางคนนี้เป็นคนอยู่ในคลิป คลิกเข้าไปอ่าน comment เลยจ้า มีถามตอบโต้กัน แล้วนางคนนี้ก็เป็นคนตอบ comment ความอยากรู้ของผู้หญิงมันมีมากอยู่แล้ว จะรออะไรล่ะคะ ค้นอีกค่ะ จนเจอ facebook นาง เจอรูปนาง กับผู้ชายและเด็กผู้ชายถ่ายร่วมกัน ซึ่งอ่านจาก comment สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรูปครอบครัว เราตัดสินใจโทรหาผู้ชายคนนั้นผ่าน nfacebook เพราะถ้าโทรหา ว. โดยตรง ก็คิดว่าน้อยนักที่ผู้ร้ายจะยอมรับผิด เราก็ถามผู้ชายคนนั้นตรงๆว่า
“คุณเป็นแฟน ว.ใช่มั้ย”
ผู้ชายคนนั้นบอก “ใช่”
“คุณรู้มั้ยว่าแฟนคุณกับสามีชั้นเค้าแอบคุยกัน”
“รู้ครับ รู้มาสักพักละ ที่ทำงานก็เคยเรียกคุยทั้งผู้หญิงผู้ชาย(ต.) แล้ว ผมก็เคยไล่แฟนผมออกจากบ้านรอบนึงแล้ว แต่เค้าก็กลับมาอ้างว่าเลิกคุยกับ ต. แล้ว ผมถึงให้เข้าบ้าน (นาง ว. เป็นคน ต่างจังหวัด แต่งงานแล้วย้ายมาอยู่ที่บ้านสามี) เพิ่งกลับเข้ามาได้ 3-4 วันนี้เองนะครับ แต่ผมไม่รู้นะว่าใครเริ่มก่อน เพราะผมก็ทำงานที่เดียวกับเขา แต่คนละส่วนกัน”
เราอึ้งมากกับความจริงที่ได้รับรู้มาคือพวกเค้ากล้าทำกันขนาดนี้เลยเหรอ ต. ก็อยู่บ้านเดียวกับเรา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ว. ก็ยังอยู่บ้านเดียวกับสามี หนำซ้ำยังทำงานที่เดียวกันอีก เอาเวลาที่ไหนมาแอบคบแอบคุยกัน ที่สำคัญ ต่างฝ่ายต่างลูกยังเล็กด้วยกันทั้งคู่
หลังจากเรื่องเริ่มแดง ว. ก็ถูกสามีไล่ออกจากบ้านถาวร วันที่นางโดนไล่ออกจากบ้าน เป็นวันที่เราและ ต. ทะเลาะกันหนัก ต. ถึงขั้นทิ้งให้เรากับลูกทั้ง 2 คนอยู่บ้านตามลำพัง เพื่อพา ว. ไปหาที่อยู่ใหม่ หลงหนักถึงขั้นจะทิ้งทุกอย่าง พังความฝันตัวเองเพื่อจะไปอยู่กับ ว. โดยให้เหตุผลได้ทุเรศมาก ว่า เขาต้องรับผิดชอบที่เป็นคนทำให้ครอบครัว ว. แตก (อ้าว! แล้วครอบครัวลูกเมียตัวเองล่ะ) ที่สำคัญ ต. บอกว่า ว. ช่วยหนุนกิจการซ่อมรถของ ต.ได้ เราเลยบอกว่า ทำไมไม่ให้โอกาสเราทำบ้าง คนเราไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด ไม่ลองไม่รู้ ต. บอกตัดเลยว่าเราทำไม่ได้ เราก็บอกเหตุผลไปตามตรงว่า ขอเวลา เพราะทุกวันนี้ภาระหน้าที่ทุกอย่างของเราก็หนักพอตัว ทั้งเลี้ยงลูกเองทั้ง 2 คน ทั้งงานบ้าน ทั้งงานร้านค้า ทุกอย่าง จะไม่ลองให้โอกาสพิสูจน์ตัวเองก่อนเหรอ ต. บอกคำเดียวเลยว่า “ไม่ได้” ที่หนักสุด ต.บอกว่า รอเวลาที่จะเลิกกับเรามานานแล้ว เราเลยว่า ถ้าคุณรอที่จะเลิกกับเราจริงๆ ทำไมต้องรอให้ย้ายกลับจากกรุงเทพ ทำไมต้องรอให้ลูกคนเล็กเกิดมา ทำไมต้องรอตอน ว. ก้าวเข้ามาในชีวิต ที่สำคัญ ระยะเวลาที่เรากับ ต. ย้ายกลับมาจากกรุงเทพจนถึงตอนนี้ (เกิดเรื่อง) ระยะเวลาแค่ปีกว่าๆ (ก.ค. 2559 – ต.ค.2560) แสดงว่าพวกคุณแอบคุยกันมานานแล้วสิ ซึ่งตอนที่เราท้อง ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะบกพร่องในเรื่องบนเตียงบ้าง แต่คนเป็นพ่อแม่คนก็ควรเข้าใจว่า ยังมีอีกชีวิตที่อยู่ในท้องที่เรามองไม่เห็นว่าเขาจะเป็นยังไง ให้เราต้องดูแลไม่ใช่เหรอ ควรพักเรื่องแบบนี้สักพักก่อนดีมั้ย หมอก็แนะนำว่า ช่วงไหนบ้างที่ควรงดยุ่งกัน แต่ทำไม ต.ไม่เข้าใจ หรือว่าเราคิดมากไปจนเป็นกังวล จนเป็นสาเหตุให้ ต. ไปมีคนอื่น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
https://pantip.com/topic/38687844 ขอตั้งกระทู้เล่าตอนที่ 2 ต่อนะคะ ไม่คิดว่าจะต้องมาเล่าอีก เราเองก็คิดว่าเรื่องราวมันคงจบลงเพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่ค่ะ