
🏔 หวัดดีครับ คราวนี้ ‘ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์’ จะพาทุกคนไปเสาะหามุมถ่ายรูปสวยๆ ของเทือกเขาแอลป์ที่ยาวและยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป โดยทริปนี้เราจะเน้นๆ กันที่สวิสเซอร์แลนด์ และ Dolomites ของอิตาลี ยินดีต้อนรับทุกคนสู่ ‘The Great Alpine Journey’ พวกเราสองคนครับ ☺️
🏔 พวกเราลงเครื่องกันที่ Zurich เที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ 🇨🇭 อยู่ครึ่งทริป ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาแอลป์ในบริเวณอิตาลีตอนเหนือซึ่งมีชื่อเรียกว่า Dolomites 🇮🇹 ก่อนจะวกขึ้นออสเตรีย 🇦🇹 เยอรมัน 🇩🇪 และจบทริปที่ Zurich
🏔 เป็นทริปที่ทรหดอดทนมาก เพราะผมหกล้มกระดูกข้อเท้าหักตั้งแต่วันที่สองของทริป แต่ไม่รู้ตัว! เดินขึ้นลงเขาอยู่ 2 อาทิตย์ มารู้ตัวตอนกลับไทยมาแล้ว (ก็ว่าทำไมปวดนานจุง) นอกจากนั้นยังมีวันที่พวกเราทำกระเป๋าหายที่อิตาลีจนเกือบทำให้ทริปล่มอีก
📅 ช่วงเวลาที่ผมไปคือ มิ.ย. - ก.ค. ซึ่งเป็นช่วงต้นหน้าร้อนครับ ใครที่ไปเที่ยวครั้งแรกแนะนำว่าควรไปช่วงนี้ เพราะพวก gondola, cable car ทั้งหลายเปิดให้บริการแบบเต็มที่ อากาศอบอุ่น สามารถเดิน trail สวยๆ ได้ แถมยังสามารถเห็น snow cap บนเทือกเขาเวลาถ่ายรูปได้อีกด้วยครับ
🚗 การเดินทาง : หากใครไปสวิสอย่างเดียวแนะนำรถไฟ ซึ่งจะมี pass ต่างๆ มากมายให้เลือก เอาไว้วันหลังผมจะมาแนะนำ Pass ต่างๆ ในสวิสให้นะครับ แต่ถ้าใครจะไป Dolomites ด้วย ต้องเช่ารถขับเท่านั้นครับ
🎟 ใครที่เช่ารถขับในสวิส ผมแนะนำ Pass ชื่อว่า ‘Half Fare Card’ ซึ่งจะทำให้เราได้ส่วนลด 50% ในทุกการเดินทางไม่ว่าจะเป็น รถไฟ เรือ รถบัส รวมทั้ง mountain railway ทั้งหลายที่เขาไว้ขึ้นยอดเขาต่างๆ ข้อดีคือสามารถใช้ได้ไม่จำกัดภายใน 30 วัน ไม่เหมือน pass อื่นๆ ที่ต้องเลือกว่าจะเอา 3, 4, 8 หรือ 15 วัน
📸 อุปกรณ์ถ่ายภาพ & VDO : Sony A7iii, Sony RX100V, FE 16-35GM2.8, Tamron 28-75/2.8, DJI MavicAir
💻 ติดตามผลงาน / เป็นกำลังใจให้เราได้ที่ FB page :
http://www.fb.com/fridayfailureTravel หรือเวปไซต์ :
http://www.fridayfailure.com คร้าบ

🇨🇭
1. Luzern 🇨🇭
ลูเซิร์นเป็นเมือง สตาร์ทตั้งต้นของเราในทริปนี้ครับ เมืองสวยติดทะเลสาปชื่อเดียวกัน เป็น Base ที่ดีเยี่ยมสำหรับการเที่ยวยอดเขาชื่อดังรอบๆ อย่าง Pilatus และ Rigi ที่อยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออกของเมือง หนึ่งใน Landmark ของเมืองก็คือ Kapellbrucke (Chapel Bridge) ในรูปครับ เป็นหนึ่งในสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป

🇨🇭2. Pilatus 🇨🇭
ภูเขาแห่งมังกร ในตำนานที่เล่าขานกันมาจากยุคกลาง เชื่อว่ามีมังกรแดงที่สามารถ heal ตัวเองได้ อาศัยอยู่ที่หน้าผา ส่วนชื่อ Pilatus นั้นเชื่อว่ามาจาก ‘Pontious Pilate’ เจ้าเมือง Judaea ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน ผู้ซึ่งเป็นคนคุมการตึงกางเขนของพระเยซู ตามบันทึกคือเฮีย Pontious พยายามจะช่วยพระเยซูแล้วแต่ไม่เป็นผล หลังจากถูกตรึงกางเขน เฮียแกก็ไปล้างเลือดออกจากมือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเฮียจำใจต้องทำตามหน้าที่ และไม่อยากรับบาปอันใหญ่หลวงมาไว้กับตัวเอง เมื่อเฮียตาย ชาวบ้านก็เอาศพมาฝังไว้แถวๆ นี้แหละ วันดีคืนดีก็จะมีคนเห็น เฮียผุดจากน้ำมาล้างเลือดออกจากฝ่ามือตัวเอง

🇨🇭3. Rigi 🇨🇭
ราชินีแห่งเทือกเขา ผมขึ้นมานอนที่ Rigi Scheidegg ซึ่งเป็นที่ราบสูงแล้วเดินไปยอด Rigi ในวันรุ่งขึ้น ทางเดินนั้นสวยมากเลยครับ ช่วงกลางของ trail เราจะเดินอยู่บนสันเขาด้านหนึ่งเราจะมองเห็นตัวเมืองและทะเลสาป Luzern ส่วนอีกฝั่งจะเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่นี่แหละพอจังหวะลงเชาผมก้าวไปเจอก้อนกรวดเล็กๆ ตอนลงเท้า ผมนั่งปวดอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะลุกขึ้น แล้วพาตัวเองเดินกะเผลกไปเรื่อยจนถึงสถานทีรถไฟ ตอนแรกก็ปวดมากเลยครับ แต่พอทานยา (บวกกับหลอกตัวเองนิดหน่อย) ว่าคงไม่หัก อาการปวดมันก็น้อยลงเรื่อยๆ มารู้ตัวตอนกลับไทยว่าหักเพราะเพื่อนไล่ให้ไป X-ray ตอนนี้โดนหมอกระดูกจับผ่าใส่เหล็กเป็นทีเรียบร้อย ที่เขาว่าคนเป็นหมอมักจะวินิจฉัยตัวเองไม่ได้คงเป็นแบบนี้แหละครับ (ฮ่าๆๆๆ)

🇨🇭4. First 🇨🇭
เราขับรถต่อมาที่ Grindelwald แล้วขึ้นกระเช้ามานอนที่เมืองบนเขาชื่อ First ที่เห็นในรูปคือ First Cliff Walk เป็นสะพานเหล็กยื่นออกไปจากหน้าผา ตอนเย็นนักท่องเที่ยวกลับไปหมดแล้ว ถ่ายรูปสบายเลยครับ

🇨🇭 5. Bachalpsee 🇨🇭
จุดมุ่งหมายในการมาพัก First คือการมาเที่ยวทะเลสาป alpine สุดสวยชื่อ Bachalpsee นี่แหละครับ trail จากโรงแรมมาที่นี่สวยมากจนเหมือนเดินอยู่ในสวรรค์เลยครับ ดอกไม้สีสวยออกดอกกันเต็มทุ่งเลย
เราใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็มาถึงจากตรงนี้ตอนแรกผมวางแผนจะเดินขึ้นเขาไปที่ ‘Faulhorn’ ก่อนจะลงไปยัง ‘Schynige Platte’ ซึ่งเป็นทุ่งหญ้า และเป็นที่อยู่ของสถานี Gondola ลงไปยังพื้นราบ แต่ด้วยข้อเท้าที่กำลังบวมและปวดได้ที่ เลยจำเป็นต้องเดินกลับโรงแรมครับ

🇨🇭 6. Lauterbrunnen 🇨🇭
เป็นเมืองเล็กๆ ที่สวยเหมือนเทพนิยาย มีน้ำตก Staubbach เป็นฉากหลังของเมือง จากการนี้เราสามารถขึ้นไปเที่ยว Jungfrau หรือจะขึ้น Schilthron ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ได้


🇨🇭 7. Blausee 🇨🇭
ทะเลสาปเล็กๆ ก่อนถึงเมือง Kandersteg ที่ไม่ไกลจาก Lauterbrunnen นัก Blausee มีขนาดเล็กชนิดเดิน 1 รอบใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง อยู่ติดถนนใหญ่ ไม่ต้องนั่งกระเช้า หรือปีนเขาแต่อย่างใด ช่วงเดือน มิย. จะมีการจัดเทศกาลดูหนังกลางแจ้ง (คล้ายๆ หนังกลางแปลงบ้านเรา แต่อันนี้เป็นกลางทะเลสาปแทน) นอกจากนี้ที่นี่ยังมีฟาร์มปลาเทราต์ออแกนิคอันโด่งดัง ใครมีโอกาสแวะทานได้นะครับ

🇨🇭 8. Oeschinensee 🇨🇭
ขับมาอีกหน่อยเราจะถึงเมือง Kandersteg ที่นี่เราสามารถขึ้น Cable car มายังทะเลสาปสี Turquoise ขนาดบิ๊กเบิ้ม สถานีด้านบนจะมี Toboggan (alpine slide) เป็นรถเลื่อนที่พาเราคดเคี้ยวไปตามแรงโน้มถ่วง ซึ่งที่ Oeschinensee ถือว่ายาว และวิวสวยที่สุดที่หนึ่งในสวิสเลย
ที่นี่เราสามารถเดินเล่นรอบทะเลสาป หรือใครอยากออกกำลังกายเหมือนผมก็สามารถเดินขึ้นเขาใน Route ชื่อ Heuberg Loop เพื่อมาเก็บรูปสวยๆ จากมุมสูงได้ครับ

🇨🇭 9. Zermatt 🇨🇭
จาก Kandersteg เราต้องขับรถขึ้นรถไฟเพื่อลอดอุโมงค์ Lotschberg ยาว 15 กิโลตัดผ่านภูเขาไปโผล่อีกด้าน Zermatt เป็นเมืองปลอดรถ ฉะนั้นเราต้องจอดรถที่ Tasch ก่อนจะนั่งรถไฟเข้าไปซึ่งใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นครับ

🇨🇭 10. Fluhalp / Zermatt 🇨🇭
ผมชอบขึ้นมาพักโรงแรมบนเขา แม้ว่าจะต้องเดินเหนื่อย แต่พอเห็นวิวแล้วก็ต้องยอมเขาครับ นอนมอง Matterhorn กันฟินๆ ไป โรงแรมพวกนี้จะขึ้นต้นด้วยคำว่า Berggasthaus ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน Berg นี่แปลว่า ภูเขา ส่วน Gasthaus = Guesthouse ครับ ที่พักเหล่านี้มักเป็นธุรกิจของครอบครัวสืบทอดกันมาหลาย generations กระจายตัวอยู่ตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการเดิน trail และยอดเขาต่างๆ เนื่องจากมันห่างไกลความเจริญ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะบังคับให้เราทานอาหารเย็นที่โรงแรมไปเลย เวลาเราจองจะเห็นศัพท์คำว่า ‘Half-board’ นั่นคือรวมอาหารเย็นในคืนที่เข้าพัก และอาหารเช้าของวันถัดไปเรียบร้อยแล้วครับ ใครมาเที่ยวสวิสผมแนะนำให้ลองพักที่ Berggasthaus ดูสักครั้ง แล้วจะประทับใจ (เหมือนไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็อยากจะเชียร์ให้ลองพักในเรียวกังดูสักที)

🇨🇭11. Matterhorn 🇨🇭
เทือกเขาหน้าตาละม้ายคล้ายช๊อคโกแลตชื่อดังอย่าง Toblerone ที่ลูกชายของคนคิดค้นมาเฉลยว่าจริงๆ พ่อได้แรงบันดาลใจมาจากการแสดงของคณะละครที่ Folies Bergeres ในปารีสที่นักแสดงฟอร์มตัวกันเป็นรูปสามเหลี่ยมมนุษย์ขนาดใหญ่

🇨🇭12. Stellisee 🇨🇭
ปกติแล้วจุดชมวิว Matternhorn มี 3 จุด นั่นคือ Matterhorn Glacier Paradise, Gornergrat และ Sunnegga ในภาพคือ Stellisee อยู่ที่สถานที Blauherd เหนือ Sunnegga 1 ป้ายถ้วน เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาปซึ่งเป็น Trail ชื่อดังของที่นี่ ด้วยความที่มันอยู่ห่างจากที่พักแค่ครึ่งชั่วโมง ทำให้การเดินมาเก็บแสงเช้าเป็นเรื่องง่ายครับ

🇨🇭13. Aletsch Glacier 🇨🇭
ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของเทือกเขาแอลป์ อยู่อีกฝั่งของ Jaungfrau ที่นี่มีทางเดินบนสันเขา (Ridge line walk) ระหว่างจุดชมวิวบนสถานี Cable Car 2 สถานี ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชม. ตลอดทางเราจะได้ชมความงามของ Aletsch Galcier แบบ Panorama เต็มตาไม่มีอะไรมาบดบัง เสียดายที่วันนี้ดวงของเราหมด อากาศย่ำแย่ ฝนตก ทำให้ trail เปียกแล้วก็อันตรายเกินไปที่จะเดิน ผมเลยได้แต่เก็บรูปมา

🇨🇭14. Saxer Lucke 🇨🇭
(อ่านว่า ซัคเซอร์ ลุค) อยู่ในเขต Appenzell อันสวยงามทางตะวันออกเฉียงเหนือของสวิส ถ้าเราขับรถจาก Zurich ข้ามไป Austria ที่นี่จะอยู่ตรงกลางพอดีครับ เราสามารถขึ้นกระเช้าจากเมือง Brulisau ไปที่สถานี Hoher Kasten แล้วเดินไต่ตามสันเขาไปได้ หรือขึ้นกระเช้าของโรงแรม Stauberen ซึ่งจะหั่นระยะทางและเวลาไปครึ่งนึง เหลือ 1 ชม.กว่าๆ ไปที่จุดถ่ายภาพได้ ที่นี่คือเป็น hidden gem ของสวิสเลยครับ สวยมากๆ แล้วตอนที่ผมไปไม่มีคนเลยสักคนเดียว นั่งมองพระอาทิตย์ตกจากตรงนี้ประทับใจมากครับ

🇨🇭15. Berggasthaus Aescher-Wildkirchili 🇨🇭
Guesthouse อายุ 170 ปี ชื่อดังที่คิดว่าต้องเคยผ่านตากันมาบ้าง อดีตบ้านพักของเกษตรนี้โด่งดังมาจากโลเคชั่นที่เหมือนฝังตัวเข้าไปอยู่ในหน้าผา ก่อนจะผันตัวมาเป็นที่พัก ปัจจุบันเข้าพักไม่ได้แล้ววว เปิดเป็นร้านอาหาร ซึ่งเยอะทั้งคนและราคา วิธีการมาคือนั่งกระเช้า Wasserauen-Ebenalp (ไม่ไกลจากเมือง Appenzell)

🇨🇭16. Ebenalp Trail 🇨🇭
จาก Guesthouse จะมี trail เดินลงมาภูเขามาที่ทะเลสาบ Seealpsee ทางสวยแล้วก็เป็น Family friendly เดินง่ายมากลงเขาตลอด ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ครึ่งเท่านั้นครับ
[CR] Switzerland & Dolomites - 🏔 [ The Great Alpine Journey ] 🏔 - 26 สถานที่ถ่ายรูปตามแนวเทือกเขาแอลป์ในสวิสและอิตาลี
🏔 พวกเราลงเครื่องกันที่ Zurich เที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ 🇨🇭 อยู่ครึ่งทริป ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาแอลป์ในบริเวณอิตาลีตอนเหนือซึ่งมีชื่อเรียกว่า Dolomites 🇮🇹 ก่อนจะวกขึ้นออสเตรีย 🇦🇹 เยอรมัน 🇩🇪 และจบทริปที่ Zurich
🏔 เป็นทริปที่ทรหดอดทนมาก เพราะผมหกล้มกระดูกข้อเท้าหักตั้งแต่วันที่สองของทริป แต่ไม่รู้ตัว! เดินขึ้นลงเขาอยู่ 2 อาทิตย์ มารู้ตัวตอนกลับไทยมาแล้ว (ก็ว่าทำไมปวดนานจุง) นอกจากนั้นยังมีวันที่พวกเราทำกระเป๋าหายที่อิตาลีจนเกือบทำให้ทริปล่มอีก
📅 ช่วงเวลาที่ผมไปคือ มิ.ย. - ก.ค. ซึ่งเป็นช่วงต้นหน้าร้อนครับ ใครที่ไปเที่ยวครั้งแรกแนะนำว่าควรไปช่วงนี้ เพราะพวก gondola, cable car ทั้งหลายเปิดให้บริการแบบเต็มที่ อากาศอบอุ่น สามารถเดิน trail สวยๆ ได้ แถมยังสามารถเห็น snow cap บนเทือกเขาเวลาถ่ายรูปได้อีกด้วยครับ
🚗 การเดินทาง : หากใครไปสวิสอย่างเดียวแนะนำรถไฟ ซึ่งจะมี pass ต่างๆ มากมายให้เลือก เอาไว้วันหลังผมจะมาแนะนำ Pass ต่างๆ ในสวิสให้นะครับ แต่ถ้าใครจะไป Dolomites ด้วย ต้องเช่ารถขับเท่านั้นครับ
🎟 ใครที่เช่ารถขับในสวิส ผมแนะนำ Pass ชื่อว่า ‘Half Fare Card’ ซึ่งจะทำให้เราได้ส่วนลด 50% ในทุกการเดินทางไม่ว่าจะเป็น รถไฟ เรือ รถบัส รวมทั้ง mountain railway ทั้งหลายที่เขาไว้ขึ้นยอดเขาต่างๆ ข้อดีคือสามารถใช้ได้ไม่จำกัดภายใน 30 วัน ไม่เหมือน pass อื่นๆ ที่ต้องเลือกว่าจะเอา 3, 4, 8 หรือ 15 วัน
📸 อุปกรณ์ถ่ายภาพ & VDO : Sony A7iii, Sony RX100V, FE 16-35GM2.8, Tamron 28-75/2.8, DJI MavicAir
💻 ติดตามผลงาน / เป็นกำลังใจให้เราได้ที่ FB page : http://www.fb.com/fridayfailureTravel หรือเวปไซต์ : http://www.fridayfailure.com คร้าบ
ลูเซิร์นเป็นเมือง สตาร์ทตั้งต้นของเราในทริปนี้ครับ เมืองสวยติดทะเลสาปชื่อเดียวกัน เป็น Base ที่ดีเยี่ยมสำหรับการเที่ยวยอดเขาชื่อดังรอบๆ อย่าง Pilatus และ Rigi ที่อยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออกของเมือง หนึ่งใน Landmark ของเมืองก็คือ Kapellbrucke (Chapel Bridge) ในรูปครับ เป็นหนึ่งในสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป
ภูเขาแห่งมังกร ในตำนานที่เล่าขานกันมาจากยุคกลาง เชื่อว่ามีมังกรแดงที่สามารถ heal ตัวเองได้ อาศัยอยู่ที่หน้าผา ส่วนชื่อ Pilatus นั้นเชื่อว่ามาจาก ‘Pontious Pilate’ เจ้าเมือง Judaea ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน ผู้ซึ่งเป็นคนคุมการตึงกางเขนของพระเยซู ตามบันทึกคือเฮีย Pontious พยายามจะช่วยพระเยซูแล้วแต่ไม่เป็นผล หลังจากถูกตรึงกางเขน เฮียแกก็ไปล้างเลือดออกจากมือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเฮียจำใจต้องทำตามหน้าที่ และไม่อยากรับบาปอันใหญ่หลวงมาไว้กับตัวเอง เมื่อเฮียตาย ชาวบ้านก็เอาศพมาฝังไว้แถวๆ นี้แหละ วันดีคืนดีก็จะมีคนเห็น เฮียผุดจากน้ำมาล้างเลือดออกจากฝ่ามือตัวเอง
ราชินีแห่งเทือกเขา ผมขึ้นมานอนที่ Rigi Scheidegg ซึ่งเป็นที่ราบสูงแล้วเดินไปยอด Rigi ในวันรุ่งขึ้น ทางเดินนั้นสวยมากเลยครับ ช่วงกลางของ trail เราจะเดินอยู่บนสันเขาด้านหนึ่งเราจะมองเห็นตัวเมืองและทะเลสาป Luzern ส่วนอีกฝั่งจะเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่นี่แหละพอจังหวะลงเชาผมก้าวไปเจอก้อนกรวดเล็กๆ ตอนลงเท้า ผมนั่งปวดอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะลุกขึ้น แล้วพาตัวเองเดินกะเผลกไปเรื่อยจนถึงสถานทีรถไฟ ตอนแรกก็ปวดมากเลยครับ แต่พอทานยา (บวกกับหลอกตัวเองนิดหน่อย) ว่าคงไม่หัก อาการปวดมันก็น้อยลงเรื่อยๆ มารู้ตัวตอนกลับไทยว่าหักเพราะเพื่อนไล่ให้ไป X-ray ตอนนี้โดนหมอกระดูกจับผ่าใส่เหล็กเป็นทีเรียบร้อย ที่เขาว่าคนเป็นหมอมักจะวินิจฉัยตัวเองไม่ได้คงเป็นแบบนี้แหละครับ (ฮ่าๆๆๆ)
เราขับรถต่อมาที่ Grindelwald แล้วขึ้นกระเช้ามานอนที่เมืองบนเขาชื่อ First ที่เห็นในรูปคือ First Cliff Walk เป็นสะพานเหล็กยื่นออกไปจากหน้าผา ตอนเย็นนักท่องเที่ยวกลับไปหมดแล้ว ถ่ายรูปสบายเลยครับ
จุดมุ่งหมายในการมาพัก First คือการมาเที่ยวทะเลสาป alpine สุดสวยชื่อ Bachalpsee นี่แหละครับ trail จากโรงแรมมาที่นี่สวยมากจนเหมือนเดินอยู่ในสวรรค์เลยครับ ดอกไม้สีสวยออกดอกกันเต็มทุ่งเลย
เราใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็มาถึงจากตรงนี้ตอนแรกผมวางแผนจะเดินขึ้นเขาไปที่ ‘Faulhorn’ ก่อนจะลงไปยัง ‘Schynige Platte’ ซึ่งเป็นทุ่งหญ้า และเป็นที่อยู่ของสถานี Gondola ลงไปยังพื้นราบ แต่ด้วยข้อเท้าที่กำลังบวมและปวดได้ที่ เลยจำเป็นต้องเดินกลับโรงแรมครับ
เป็นเมืองเล็กๆ ที่สวยเหมือนเทพนิยาย มีน้ำตก Staubbach เป็นฉากหลังของเมือง จากการนี้เราสามารถขึ้นไปเที่ยว Jungfrau หรือจะขึ้น Schilthron ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ได้
ทะเลสาปเล็กๆ ก่อนถึงเมือง Kandersteg ที่ไม่ไกลจาก Lauterbrunnen นัก Blausee มีขนาดเล็กชนิดเดิน 1 รอบใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง อยู่ติดถนนใหญ่ ไม่ต้องนั่งกระเช้า หรือปีนเขาแต่อย่างใด ช่วงเดือน มิย. จะมีการจัดเทศกาลดูหนังกลางแจ้ง (คล้ายๆ หนังกลางแปลงบ้านเรา แต่อันนี้เป็นกลางทะเลสาปแทน) นอกจากนี้ที่นี่ยังมีฟาร์มปลาเทราต์ออแกนิคอันโด่งดัง ใครมีโอกาสแวะทานได้นะครับ
ขับมาอีกหน่อยเราจะถึงเมือง Kandersteg ที่นี่เราสามารถขึ้น Cable car มายังทะเลสาปสี Turquoise ขนาดบิ๊กเบิ้ม สถานีด้านบนจะมี Toboggan (alpine slide) เป็นรถเลื่อนที่พาเราคดเคี้ยวไปตามแรงโน้มถ่วง ซึ่งที่ Oeschinensee ถือว่ายาว และวิวสวยที่สุดที่หนึ่งในสวิสเลย
ที่นี่เราสามารถเดินเล่นรอบทะเลสาป หรือใครอยากออกกำลังกายเหมือนผมก็สามารถเดินขึ้นเขาใน Route ชื่อ Heuberg Loop เพื่อมาเก็บรูปสวยๆ จากมุมสูงได้ครับ
จาก Kandersteg เราต้องขับรถขึ้นรถไฟเพื่อลอดอุโมงค์ Lotschberg ยาว 15 กิโลตัดผ่านภูเขาไปโผล่อีกด้าน Zermatt เป็นเมืองปลอดรถ ฉะนั้นเราต้องจอดรถที่ Tasch ก่อนจะนั่งรถไฟเข้าไปซึ่งใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นครับ
ผมชอบขึ้นมาพักโรงแรมบนเขา แม้ว่าจะต้องเดินเหนื่อย แต่พอเห็นวิวแล้วก็ต้องยอมเขาครับ นอนมอง Matterhorn กันฟินๆ ไป โรงแรมพวกนี้จะขึ้นต้นด้วยคำว่า Berggasthaus ซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน Berg นี่แปลว่า ภูเขา ส่วน Gasthaus = Guesthouse ครับ ที่พักเหล่านี้มักเป็นธุรกิจของครอบครัวสืบทอดกันมาหลาย generations กระจายตัวอยู่ตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการเดิน trail และยอดเขาต่างๆ เนื่องจากมันห่างไกลความเจริญ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะบังคับให้เราทานอาหารเย็นที่โรงแรมไปเลย เวลาเราจองจะเห็นศัพท์คำว่า ‘Half-board’ นั่นคือรวมอาหารเย็นในคืนที่เข้าพัก และอาหารเช้าของวันถัดไปเรียบร้อยแล้วครับ ใครมาเที่ยวสวิสผมแนะนำให้ลองพักที่ Berggasthaus ดูสักครั้ง แล้วจะประทับใจ (เหมือนไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็อยากจะเชียร์ให้ลองพักในเรียวกังดูสักที)
เทือกเขาหน้าตาละม้ายคล้ายช๊อคโกแลตชื่อดังอย่าง Toblerone ที่ลูกชายของคนคิดค้นมาเฉลยว่าจริงๆ พ่อได้แรงบันดาลใจมาจากการแสดงของคณะละครที่ Folies Bergeres ในปารีสที่นักแสดงฟอร์มตัวกันเป็นรูปสามเหลี่ยมมนุษย์ขนาดใหญ่
ปกติแล้วจุดชมวิว Matternhorn มี 3 จุด นั่นคือ Matterhorn Glacier Paradise, Gornergrat และ Sunnegga ในภาพคือ Stellisee อยู่ที่สถานที Blauherd เหนือ Sunnegga 1 ป้ายถ้วน เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาปซึ่งเป็น Trail ชื่อดังของที่นี่ ด้วยความที่มันอยู่ห่างจากที่พักแค่ครึ่งชั่วโมง ทำให้การเดินมาเก็บแสงเช้าเป็นเรื่องง่ายครับ
ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของเทือกเขาแอลป์ อยู่อีกฝั่งของ Jaungfrau ที่นี่มีทางเดินบนสันเขา (Ridge line walk) ระหว่างจุดชมวิวบนสถานี Cable Car 2 สถานี ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชม. ตลอดทางเราจะได้ชมความงามของ Aletsch Galcier แบบ Panorama เต็มตาไม่มีอะไรมาบดบัง เสียดายที่วันนี้ดวงของเราหมด อากาศย่ำแย่ ฝนตก ทำให้ trail เปียกแล้วก็อันตรายเกินไปที่จะเดิน ผมเลยได้แต่เก็บรูปมา
(อ่านว่า ซัคเซอร์ ลุค) อยู่ในเขต Appenzell อันสวยงามทางตะวันออกเฉียงเหนือของสวิส ถ้าเราขับรถจาก Zurich ข้ามไป Austria ที่นี่จะอยู่ตรงกลางพอดีครับ เราสามารถขึ้นกระเช้าจากเมือง Brulisau ไปที่สถานี Hoher Kasten แล้วเดินไต่ตามสันเขาไปได้ หรือขึ้นกระเช้าของโรงแรม Stauberen ซึ่งจะหั่นระยะทางและเวลาไปครึ่งนึง เหลือ 1 ชม.กว่าๆ ไปที่จุดถ่ายภาพได้ ที่นี่คือเป็น hidden gem ของสวิสเลยครับ สวยมากๆ แล้วตอนที่ผมไปไม่มีคนเลยสักคนเดียว นั่งมองพระอาทิตย์ตกจากตรงนี้ประทับใจมากครับ
Guesthouse อายุ 170 ปี ชื่อดังที่คิดว่าต้องเคยผ่านตากันมาบ้าง อดีตบ้านพักของเกษตรนี้โด่งดังมาจากโลเคชั่นที่เหมือนฝังตัวเข้าไปอยู่ในหน้าผา ก่อนจะผันตัวมาเป็นที่พัก ปัจจุบันเข้าพักไม่ได้แล้ววว เปิดเป็นร้านอาหาร ซึ่งเยอะทั้งคนและราคา วิธีการมาคือนั่งกระเช้า Wasserauen-Ebenalp (ไม่ไกลจากเมือง Appenzell)
จาก Guesthouse จะมี trail เดินลงมาภูเขามาที่ทะเลสาบ Seealpsee ทางสวยแล้วก็เป็น Family friendly เดินง่ายมากลงเขาตลอด ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ครึ่งเท่านั้นครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้