สวัสดีค่ะ ชาวพันทิพ
เราไม่ค่อยได้เข้ามาบ่อยนัก แต่ ล่าสุด มันมีปัญหาที่อัดแน่นอยู่ในอก ...ขอมาระบายออกที่นี่นะคะ
เราคิดวนเวียนอยู่หลายวัน ...หลายเดือน...หลังจากเล่าแล้ว เรายังไม่รู้จะตัดสินใจยังไงกับชีวิตต่อ
ทุกคนเข้าใจคำว่า หายใจเข้า-ออก แล้วทรมานไหมคะ?
ไม่แปลกใจที่ทำไมคนถึงคิด ฆ่าตัวตาย เพราะมันอยากหยุดความทรมานนี้ให้ได้ ..จริงๆ
แต่เราเอง ถึงอยากตายแค่ไหน ก็ทำไม่ได้ค่ะ เพราะเรามีลูกๆ 2 คน วัย 4 ขวบ กับ 2.5 ขวบ
อาชีพเราตอนนี้ เป็นข้าราชการครูในโรงเรียนบ้านนอก ขี่มอไซไปกลับ วันละ 60 กม
เงินเดือน หมื่นกว่าบาท มีภาระเลี้ยงดู แม่ (พ่อเสียชีวิตเมื่อปี 59) และลูกๆ 2 คน และสามีเป็นคนดูแลลูก
ก้าวที่ หนึ่ง.....เริ่มต้นความผิดพลาดเมื่อ ก.พ. ปี 61 ที่ผ่านมา เราไปเซ๊งร้านอาหารจากพี่คนนึงที่รู้จัก
โดยกู้เงินจากสหกรณ์ครูมาเซ๊งร้านและเป็นทุนต่อยอด (สามีเป็นพ่อครัวเอง ซื้อของเอง ล้างจานเอง อยู่ร้านทุกวัน)
ร้านไปได้ไม่ดีนัก เพราะอยู่ในทำเลอับ แต่เรายื้อ คิดว่าสักวันคงดี (โลกสวย) คิดว่า วันนึงความพยายามจะตอบแทนด้วยผลสำเร็จ
จนถึงเดือน ก.ย. 61 จึงร้านปิดตัวลง ในวันที่เราหมดเงินทุนและหมดทางหมุน
เราขายทรัพย์สินในร้านออกจนหมด และเหลือหนี้ติดตัวประมาณ 1 แสนจากการทำร้านที่ 1
ณ ตอนนั้น เรากับสามี คิดจะทำอาหารกล่องที่บ้าน แล้วส่งขายเดลิเวอรี่ แค่เล็กๆ
เพียงพอต่อการใช้จ่ายในครอบครัว และใช้ชีวิตให้ประหยัดที่สุด เพื่อใช้หนี้ที่มีอยู่นั้น....
ก้าวที่ สอง.... น้องสาวของเจ้าของร้านที่ 1 ได้มาปรึกษาเรื่องร้านอาหารของเขาอีกที่หนึ่ง (คนละทำเล แต่ขายอาหารแบบเดียวกัน)
ว่า ร้านเงียบ และคนที่ทำร้านอยู่ในตอนนั้น บริหารจัดการไม่ดีพอ อยากให้เรากับสามีที่มีความรู้เรื่องทำร้านอยู่แล้วไปช่วย
เพราะเขาทำเองไม่ไหว เนื่องจากทำงานประจำ เต็มเวลา และต้องไป ตจว ค่อนข้างบ่อย
ตอนแรก เราจะไม่เอา เพราะยังเข็ดกับประสบการสดๆร้อนๆอยู่ แต่สุดท้าย หลังจากคุยกันมาเรื่อยๆ
เราก็ตัดสินใจลงไปทำ ร่วมกับเขา ....(สงสารเขา และ ตัวเราก็อยากมีรายได้เพิ่มด้วย)
โดยเรากู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายหมุนเวียนในร้าน
แต่ประกอบกับร้านไม่มีสภาพคล่องนัก ผลประกอบการที่ออกมา ไม่ได้ดีเท่าที่ควร
และเราไม่เคยทำสัญญาหุ้นส่วนกับเขาไว้แต่แรก เราคิดแค่ว่า...เราไม่ทำเขา..เขาคงไม่ทำเรา
วันนึง...เขาเดินมาบอกเราว่า อยากบริหารร้านเพียงคนเดียว ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพกว่า
และขอให้เราออกจากร้านเสีย เขาคืนเงินค่าลงทุนให้เรามา สองหมื่นกว่าบาท จากค่าเซ๊งร้าน 5 หมื่น
แต่ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ทำร้านมา เนื่องจากร้านไม่มีกำไร เราไม่เคยได้ส่วนแบ่งจากร้านสักบาท
ช่วงนั้น เราต้องส่งรถ และมีค่ากินอยู่ เราก็ไปหยิบยืมคนอื่นๆ มากินใช้ เป็นหนี้อีกจำนวนหนึ่ง
หนี้เก่าก็ไม่หมด มีหนี้ใหม่เข้ามาอีก ...หนี้เหล่านี้ มีทั้งหนี้เงินยืม และ เงินกู้ร้อยละ 20
ทุกวันนี้เหมือนอยู่ในนรก ...ก้าวพลาด...ซ้ำแล้วซ้ำอีก..จนไม่ใช่แค่หมดตัว แต่ติดลบไปหลายขุม
เราไม่รู้เราจะเงยหน้าขึ้นมาได้ยังไง...ลูกร้องอยากไปเที่ยว ก็มีปัญญาแค่หาเงินค่านมให้ลูกไปวันๆเท่านั้น
ได้แต่คิดวนเวียนซ้ำๆ ถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง..ที่ทำให้เราและครอบครัวตกอยู่ในสภาพนี้
หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมเป็นข้าราชการไม่กู้มากลบหนี้ข้างนอก
ขอเรียนว่า จากการกู้สหกรณ์ครั้งแรก ทำให้เงินเดือนเหลือ แค่ ห้าพันบาท
เดินขึ้นสถาบันทางการเงินไหน เขาก็ไม่ให้ผ่านค่ะ (รถค้างค่างวดด้วย)
ตอนนี้ มันจุกอยู่ในอก มันเงียบงัน ไม่รู้จะทำอย่างไร
ทุกวันนี้ขายเสื้อผ้ามือสอง ขายข้าวกล่องวิ่งส่งเดลิเวอรี่ ขายกระเป๋ามือสอง
หาเงินทุกๆทางเพื่อนำมาใช้จ่าย และจ่ายดอกเบี้ย แต่ตอนนี้มันตันไปหมดแล้ว
ขอให้เรื่องเราเป็นอุทธาหรณ์ ให้กับคนที่คิดจะทำธุรกิจ แต่ไม่มีความถนัดแบบเรา
และเลือกเดินทางผิด ไปกู้หนี้นอกระบบมา ...วันนึง มันจะเหมือนเกมส์งู ในโทรศัพท์โนเกีย
ในวนเก่งแค่ไหน..มันก็ถึงทางที่ไปต่อไม่ได้ ..เหมือนเราตอนนี้
อย่าด่าแรงนะคะ ใจรับไม่ไหวแล้วตอนนี้ พยายามมีสติและคิดถึงหน้าลูกไว้ให้มากและบ่อยที่สุด
เพราะไม่อยากให้ความคิดชั่ววูบ ทำลายชีวิตลูก และชีวิตใครอีกแล้ว
ดำเนินชีวิตผิดพลาด อยากยอมแพ้
เราไม่ค่อยได้เข้ามาบ่อยนัก แต่ ล่าสุด มันมีปัญหาที่อัดแน่นอยู่ในอก ...ขอมาระบายออกที่นี่นะคะ
เราคิดวนเวียนอยู่หลายวัน ...หลายเดือน...หลังจากเล่าแล้ว เรายังไม่รู้จะตัดสินใจยังไงกับชีวิตต่อ
ทุกคนเข้าใจคำว่า หายใจเข้า-ออก แล้วทรมานไหมคะ?
ไม่แปลกใจที่ทำไมคนถึงคิด ฆ่าตัวตาย เพราะมันอยากหยุดความทรมานนี้ให้ได้ ..จริงๆ
แต่เราเอง ถึงอยากตายแค่ไหน ก็ทำไม่ได้ค่ะ เพราะเรามีลูกๆ 2 คน วัย 4 ขวบ กับ 2.5 ขวบ
อาชีพเราตอนนี้ เป็นข้าราชการครูในโรงเรียนบ้านนอก ขี่มอไซไปกลับ วันละ 60 กม
เงินเดือน หมื่นกว่าบาท มีภาระเลี้ยงดู แม่ (พ่อเสียชีวิตเมื่อปี 59) และลูกๆ 2 คน และสามีเป็นคนดูแลลูก
ก้าวที่ หนึ่ง.....เริ่มต้นความผิดพลาดเมื่อ ก.พ. ปี 61 ที่ผ่านมา เราไปเซ๊งร้านอาหารจากพี่คนนึงที่รู้จัก
โดยกู้เงินจากสหกรณ์ครูมาเซ๊งร้านและเป็นทุนต่อยอด (สามีเป็นพ่อครัวเอง ซื้อของเอง ล้างจานเอง อยู่ร้านทุกวัน)
ร้านไปได้ไม่ดีนัก เพราะอยู่ในทำเลอับ แต่เรายื้อ คิดว่าสักวันคงดี (โลกสวย) คิดว่า วันนึงความพยายามจะตอบแทนด้วยผลสำเร็จ
จนถึงเดือน ก.ย. 61 จึงร้านปิดตัวลง ในวันที่เราหมดเงินทุนและหมดทางหมุน
เราขายทรัพย์สินในร้านออกจนหมด และเหลือหนี้ติดตัวประมาณ 1 แสนจากการทำร้านที่ 1
ณ ตอนนั้น เรากับสามี คิดจะทำอาหารกล่องที่บ้าน แล้วส่งขายเดลิเวอรี่ แค่เล็กๆ
เพียงพอต่อการใช้จ่ายในครอบครัว และใช้ชีวิตให้ประหยัดที่สุด เพื่อใช้หนี้ที่มีอยู่นั้น....
ก้าวที่ สอง.... น้องสาวของเจ้าของร้านที่ 1 ได้มาปรึกษาเรื่องร้านอาหารของเขาอีกที่หนึ่ง (คนละทำเล แต่ขายอาหารแบบเดียวกัน)
ว่า ร้านเงียบ และคนที่ทำร้านอยู่ในตอนนั้น บริหารจัดการไม่ดีพอ อยากให้เรากับสามีที่มีความรู้เรื่องทำร้านอยู่แล้วไปช่วย
เพราะเขาทำเองไม่ไหว เนื่องจากทำงานประจำ เต็มเวลา และต้องไป ตจว ค่อนข้างบ่อย
ตอนแรก เราจะไม่เอา เพราะยังเข็ดกับประสบการสดๆร้อนๆอยู่ แต่สุดท้าย หลังจากคุยกันมาเรื่อยๆ
เราก็ตัดสินใจลงไปทำ ร่วมกับเขา ....(สงสารเขา และ ตัวเราก็อยากมีรายได้เพิ่มด้วย)
โดยเรากู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายหมุนเวียนในร้าน
แต่ประกอบกับร้านไม่มีสภาพคล่องนัก ผลประกอบการที่ออกมา ไม่ได้ดีเท่าที่ควร
และเราไม่เคยทำสัญญาหุ้นส่วนกับเขาไว้แต่แรก เราคิดแค่ว่า...เราไม่ทำเขา..เขาคงไม่ทำเรา
วันนึง...เขาเดินมาบอกเราว่า อยากบริหารร้านเพียงคนเดียว ซึ่งน่าจะมีประสิทธิภาพกว่า
และขอให้เราออกจากร้านเสีย เขาคืนเงินค่าลงทุนให้เรามา สองหมื่นกว่าบาท จากค่าเซ๊งร้าน 5 หมื่น
แต่ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ทำร้านมา เนื่องจากร้านไม่มีกำไร เราไม่เคยได้ส่วนแบ่งจากร้านสักบาท
ช่วงนั้น เราต้องส่งรถ และมีค่ากินอยู่ เราก็ไปหยิบยืมคนอื่นๆ มากินใช้ เป็นหนี้อีกจำนวนหนึ่ง
หนี้เก่าก็ไม่หมด มีหนี้ใหม่เข้ามาอีก ...หนี้เหล่านี้ มีทั้งหนี้เงินยืม และ เงินกู้ร้อยละ 20
ทุกวันนี้เหมือนอยู่ในนรก ...ก้าวพลาด...ซ้ำแล้วซ้ำอีก..จนไม่ใช่แค่หมดตัว แต่ติดลบไปหลายขุม
เราไม่รู้เราจะเงยหน้าขึ้นมาได้ยังไง...ลูกร้องอยากไปเที่ยว ก็มีปัญญาแค่หาเงินค่านมให้ลูกไปวันๆเท่านั้น
ได้แต่คิดวนเวียนซ้ำๆ ถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง..ที่ทำให้เราและครอบครัวตกอยู่ในสภาพนี้
หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมเป็นข้าราชการไม่กู้มากลบหนี้ข้างนอก
ขอเรียนว่า จากการกู้สหกรณ์ครั้งแรก ทำให้เงินเดือนเหลือ แค่ ห้าพันบาท
เดินขึ้นสถาบันทางการเงินไหน เขาก็ไม่ให้ผ่านค่ะ (รถค้างค่างวดด้วย)
ตอนนี้ มันจุกอยู่ในอก มันเงียบงัน ไม่รู้จะทำอย่างไร
ทุกวันนี้ขายเสื้อผ้ามือสอง ขายข้าวกล่องวิ่งส่งเดลิเวอรี่ ขายกระเป๋ามือสอง
หาเงินทุกๆทางเพื่อนำมาใช้จ่าย และจ่ายดอกเบี้ย แต่ตอนนี้มันตันไปหมดแล้ว
ขอให้เรื่องเราเป็นอุทธาหรณ์ ให้กับคนที่คิดจะทำธุรกิจ แต่ไม่มีความถนัดแบบเรา
และเลือกเดินทางผิด ไปกู้หนี้นอกระบบมา ...วันนึง มันจะเหมือนเกมส์งู ในโทรศัพท์โนเกีย
ในวนเก่งแค่ไหน..มันก็ถึงทางที่ไปต่อไม่ได้ ..เหมือนเราตอนนี้
อย่าด่าแรงนะคะ ใจรับไม่ไหวแล้วตอนนี้ พยายามมีสติและคิดถึงหน้าลูกไว้ให้มากและบ่อยที่สุด
เพราะไม่อยากให้ความคิดชั่ววูบ ทำลายชีวิตลูก และชีวิตใครอีกแล้ว