“Along the way” ห้องเรียนที่ไม่มีใครเช็กชื่อ ตอนที่ 2 โดย คุณวัลลภา วู

6. ไม่รู้ ไม่โง่
จำได้ว่าตอนเรียนหนังสือมีเรื่องที่ไม่รู้เยอะมาก แต่ในห้องเรียนที่เมืองไทย ทุกคนก็ไม่รู้พอๆ กัน  แต่ทำตัวเหมือนรู้แล้ว “นักเรียนค่ะ ใครมีคำถามบ้างไหม”  ไม่ค่อยมีเสียงตอบกลับมาหาคุณครูสักเท่าไหร่ หรือหลายครั้งก็คือไม่มีเรียกตอบกลับมาเลย ย้อนกลับไปอีกหน่อย  ครูน้อยคนต่างหากที่จะตบท้ายคาบวิชาด้วยคำถามแบบนี้ ทั้งๆ ที่มีนักเรียนบางคนอยากที่จะถามจะตาย  ขนาดเราเป็นนักเรียนที่ถือว่าเรียนในระดับปานกลาง  หลายครั้งเรายังไม่กล้าถามเลย  มีอะไรในใจที่ห้ามเราไว้เยอะ เช่น ถามโง่ๆ แล้วเพื่อนจะหัวเราะเยาะ  ถามแล้วถ้าครูตอบไม่ได้  ครูจะเสียหน้าไหมเนี่ย ถามแล้วครูจะคิดว่าเราทำให้เค้าอายเด็กหรือเปล่า  คือคำถามในใจทั้งเรื่องสาระวิชาและเรื่องแวดล้อมมันเยอะไปหมด กลายเป็นว่า  “งั้นเราไม่ถามแล้วกัน ความเสี่ยงมันสูง”

แต่พอมาเรียนที่ต่างประเทศ  เพื่อนในห้องทุกคนต่างก็มีความไม่รู้เป็นหลัก  ส่วนเรื่องที่รู้ก็ไม่ใช่ว่าต้องมาอวดเพื่อนตลอดเวลา เราจะเรียนกันในหัวเรื่องที่ไม่มีใครในห้องรู้เรื่องเลยสักคนก่อน  ส่วนเรื่องที่รู้แล้ว  เราจะไว้เรียนมันทีหลัง (ชอบกลยุทธ์นี้ เพราะครูสามารถดึงความตั้งใจหรือ attention จากนักเรียนทั้งห้องมาได้เต็มที่)  มีเพื่อนคนนึงขยันถามทุกสิ่งอย่างในวิชาชีววิทยาจนเพื่อนอีกหลายคนรำคาญ ความฝันของเพื่อนคืออยากเป็นหมอ แต่ดูจากลักษณะการถามคำถามของเค้าแล้ว แรกๆ หลายคนต้องแอบเบะปาก “เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังไม่รู้ แล้วยังจะอยากเป็นหมออีก อะไรของเธอเนี่ย”  แต่เพื่อนก็ไม่ได้สนใจเสียงแมลงหวี่แมลงวันรอบข้าง แต่กลับเปลี่ยนกลยุทธ์การถามคำถามไม่ได้เน้นแค่ what, when, where แต่เปลี่ยนมาใช้  why and how เยอะขึ้น การถามคำถามที่ดีแล้วได้คำตอบเนื้อๆ เน้นๆ ต้องเป็นคำถามที่เมื่อเราถามด้วย  how and why แล้ว ผู้ตอบให้คำตอบที่พ่วง what, when, where มาด้วยอย่างไม่ต้องถามต่ออีก สิบปีผ่านมาเพื่อนคนนั้นเรียนจบหมอด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในประเทศอังกฤษสมใจอยาก!  ยิ่งโตขึ้นแล้วทำงานเป็น คนที่ถามคำถามที่ดีเป็น คือคนที่ได้เปรียบในการทำงานให้สำเร็จในช่วงเวลาที่สั้นกว่าเพื่อน

7. ไม่แน่ใจ ไม่คอมเม้นท์
ตอนเป็นนักศึกษาอาจารย์ในทุกวิชาที่เรียนจะให้ความสำคัญกับการสอนให้นักศึกษารู้จักวิธีการค้นคว้าหาข้อมูลที่ถูกต้อง  อันนี้ฝรั่งเรียกว่าเป็นทักษะขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเรียนอะไร  ตั้งแต่คณิตศาสตร์ยันวิชาทักษะการพูดในที่สาธารณะ  อย่างแรกที่ต้องทำก่อนเข้าเรียน  คือไปหาข้อมูลมา  พอเข้าเรียนมาถกมาเถียง  มาแย้งกันเลย  เพราะฉะนั้นเด็กไทยอย่างเราก็จะงงเป็นไก่ตาแตก  เวลาเข้าชั้นเรียนมา เห็นเพื่อนซัดกันด้วยข้อมูลที่ตัวเองไปหามา  ไม่ใช่ซัดกันด้วยอารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัว  และสำนวนนักเลงคีย์บอร์ดอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันในโลกโซเชียล  ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเราคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนั้นๆ เราไม่มีข้อมูล เราไม่รู้จริง เราก็จะบอกเพื่อนและอาจารย์ว่า  “ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ คงต้องไปหาข้อมูลมาก่อน ขออนุญาตไม่คอมเม้นท์แล้วกัน” คนฟังเค้าไม่ได้คิดว่าเราโง่หรอก แต่เค้าจะชื่นชมที่เรากล้าพูดความจริง ที่เราบอกว่าเราไม่รู้จริงๆ เราไม่แน่ใจ เราเลยจะขอไม่ออกความเห็น แต่ถ้าเรามีความคิดเห็นเบื้องต้น เพียงแต่ขาดข้อมูลเชิงลึกมาซัพพอร์ต  เราก็แสดงความคิดเห็นได้เหมือนกัน แต่ไม่ต้องถึงขนาดฟันธง ออกรสออกชาติ ผสมความสะใจ เข้าไปด้วยถ้าเราเห็นต่าง มันมีเส้นบางๆ ระหว่างความคิดเห็นที่มีข้อเท็จจริงเป็นพื้นฐานกับความคิดเห็นที่ไม่มีข้อเท็จจริง มีแต่อารมณ์ล้วนๆ เท่านั้น เสียดายที่ไม่ค่อยได้เห็นการส่งเสริมการสร้างกระบวนการแสดงความคิดเห็นในโรงเรียน หลายคนจึงขาดทักษะที่สำคัญตรงนี้ไป

8. กีฬา เป็นยาวิเศษฮ่าไฮ่ ฮ่าไฮ่  กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน ผลของการฝึกตน เล่นกีฬาสากล ตะละลา
ตายแล้ว เดี๋ยวนี้เค้ายังสอนให้นักเรียนร้องเพลงนี้กันอยู่หรือเปล่าค่ะ ฮ่าๆๆ แต่เราเรียนเพลงกราวกีฬานี้ตั้งแต่ยังเด็ก ดีใจที่ครูสอนตั้งแต่ประถมถ้าจำไม่ผิด  เพราะทำให้เราได้เห็นถึงความสำคัญของกีฬา  แต่ก็ยังคิดว่ากีฬาไม่ได้รับความสนใจจริงจังเท่าไรนักอยู่ดี มีเพื่อนนักเรียนทุนท่านนึงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เค้าเรียนที่อเมริกา จะเรียนถึงบ่ายสามโมงเท่านั้น หลังจากนั้นโรงเรียนจะสนับสนุนให้ทุกคนเล่นกีฬา เลือกกีฬาที่ตัวเองชอบและเล่นให้สนุก  ไม่ใช่เล่นให้ได้เกรดดี ฟังแล้วคุ้นๆ ไหมคะ  จำได้ว่าตอนเรียนที่เมืองไทยไม่ชอบวิชาพละศึกษาเพราะเค้าบังคับให้เรียนกีฬาที่อยู่ในหลักสูตร  แล้วต้องเรียนให้ผ่าน ถ้าเราเล่นกีฬาบางอย่างไม่เก่ง  นักเรียนหลายคนก็จะขาดกำลังใจที่ดีที่จะเล่นกีฬาให้สนุก เพราะเมื่อมันต้องสอบให้ผ่าน มันโดนบังคับ มันก็หมดสนุกตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเล่นเสียแล้ว  ที่อเมริกาคนที่เล่นกีฬาหลายคนเรียนเก่งด้วย เวลานักกีฬาสอบได้เกรดดีก็มีทุนการศึกษาให้อีก มีการส่งเสริมให้นักเรียนอีกหลายคนเอาเป็นตัวอย่าง  ว่าไม่ใช่แค่เรื่องเรียนที่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แต่การดูแลตัวเองในด้านกีฬาก็สำคัญเหมือนกัน เด็กผู้หญิงหน้าตาดีดูเป็นสาวหวานหลายคนเล่นบาสเก็ตบอล  กล้ามเนื้อดูเฟิร์มมาก ไม่เห็นมีใครเป็นทอมแต่ก็เล่นบาสเก็ตบอลได้ นักเรียนชายที่เล่นฟุตบอลหลังเลิกเรียน เนื้อตัวมอมแมม  ก็ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเด็กโหลยโท่ยอย่างที่โรงเรียนไทยบ้านเราชอบมอง โรงเรียนมีกิจกรรมทางกีฬาให้เลือกเยอะแยะ  ไม่ใช่มีไว้ให้บังคับ นักเรียนเลือกเล่นเองแล้วพอสนุกเค้าก็ชวนเพื่อนมาเล่นด้วยกัน ไม่ต้องรอแค่วันกีฬาสีปีละหนึ่งหนเท่านั้น

9. ทำอะไรเป็นนิสัย จะเป็นคนอย่างนั้น
ลองสังเกตตัวเองดูสิคะ ว่าเราเป็นคนมีนิสัยยังไง พอลองมาเปิดสมุดพกดูว่าตอนเด็กๆ  คุณครูคอมเม้นต์เราไว้ว่าอย่างไรบ้างแล้วก็อดตั้งคำถามไม่ได้ ว่าทำไมคุณครูชอบเขียนคอมเม้นต์คล้ายๆ กันไปหมด “เป็นเด็กร่าเริง ยิ้มแย้มแจ่มใส เข้ากันเพื่อนได้ดี” จบ พอเลื่อนชั้นครูก็เขียนอย่างนี้อีกแหละ พ่อแม่ก็เบิกบานใจ “เออลูกเราก็ใช้ได้นะ อยู่โรงเรียนเป็นเด็กดี” แต่รู้ไหมค่ะว่าคอมเม้นต์กว้างๆ เหล่านั้นไม่ได้ส่งผลดีต่อพฤติกรรมของเด็กเท่าไรนัก  พอโตขึ้นมาเราถึงมาเรียนรู้ว่า อ้อ ข้อดีเป็นเรื่องเรื่องดี แต่ข้อเสียของนิสัยที่เรามี อันนี้สำคัญกว่าซะอีก
เราส่องกระจกทุกวัน หลายคนมองเห็นหน้าตาที่สวยหล่อ แต่น้อยคนที่จะเห็นถึงนิสัยลึกๆ ของตัวเอง ว่าเราเป็นคนยังไง ไม่ต้องถามคนอื่นแต่ถามตัวเองบ่อยๆ  เอากระดาษมาลิสต์ดูว่า นิสัยที่เราอยากแก้ไขในปีนี้ของเรามีอะไรบ้าง แล้วตั้งเป้าหมายไว้ว่าเราจะให้เวลาเท่าไหร่ อย่างเช่นถึงสิ้นปี (อีกห้าเดือน) เราจะต้องแก้ไขมันให้ได้ พอย่างก้าวเข้าปีใหม่จะได้มีอะไรที่เรารู้สึก accomplished สำเร็จที่ได้ทำและทำได้ ไว้ให้ภูมิใจในตัวเอง! วิธีการดูนิสัยดูง่ายๆ ก็ได้ เราใช้เวลาไปกับการทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ตอนเที่ยงออกไปกินข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน  เราชอบเม้าท์กันเรื่องใครจะโดนไล่ออกคนต่อไปหรือเปล่า?  ใครมีปัญหากับใคร? ช่วงสุดสัปดาห์เราชอบนอนอยู่บ้านทั้งวัน เห็นคนอื่นไปออกกำลังกายแต่เราไม่เอาดีกว่า หรือเราเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ หมอบอกให้ลองออกกำลังบ้าง แต่ก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง?  หรือสังเกตดูว่าวันไหนอารมณ์ไม่ดีใส่ใครบ้าง ลองนับครั้งในแต่ละวันดู และลองตั้งเป้าไว้ว่า  ภายในสามสิบวันลองพยายามลดจำนวนครั้งที่เราจะอารมณ์เสียใส่คนอื่นบ้างดีไหม เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ เราไม่เคยสังเกตมันหรอก  เพราะตามธรรมชาติเราสังเกตคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ ถ้าเราทำอะไรเป็นนิสัย จนเราเคยตัว เราก็จะกลายเป็นคนอย่างนั้น

10. “ให้” คนอื่น อย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง
นิสัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เป็นยาวิเศษไม่แพ้กับกีฬาเลย  ก็คือ นิสัยของการให้ เราเองโชคดีที่พ่อแม่ปลูกฝังให้รู้จักถึงการให้มาตั้งแต่ยังเด็ก เรามีน้อย เราให้น้อย  ถ้าเรามีมาก เราก็ให้มาก จำได้เลยว่าในช่วงปิดเทอม ที่บ้านจะไปซื้อเครื่องเขียน ดินสอ ยางลบ ดินสอสี มาเป็นชุดใหญ่ๆ เตรียมแพ็กเพื่อเอาไปบริจาคให้เด็กชาวเขา เวลาเดินตามถนนแล้วแม่เห็นผู้ยากไร้ แม่จะควักสตางค์ให้ แม่บอกว่าเราทุกคนมีต้นทุนชีวิตไม่เหมือนกัน เราช่วยเหลือกันได้บ้างก็ช่วยไปตามสมควร แต่ที่สำคัญมากกว่าเงินทอง คือ การให้ที่สร้างชีวิต
“การให้ที่สร้างชีวิต” มันฟังดูยิ่งใหญ่มาก แต่พอยิ่งโตขึ้นมา ยิ่งเข้าใจกับคำพูดคำนั้น เราโชคดีที่มีครูหลายคนทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ที่ได้บอกผู้อ่านไปแล้วว่าผู้อ่านเองก็สร้างครูของตัวเองได้ (ข้อ 5 ) ครูเหล่านี้คือคนนำทาง ที่สร้างเราขึ้นมาให้มีความคิด กิริยามารยาท หลักการใช้ชีวิต และที่สำคัญคือให้มีความดีติดตัว แต่ครูก็ทำได้แค่นั้นคือบอกให้ฟัง คนที่จะทำหรือไม่ทำคือ ตัวเราเอง

ในแต่ละวัน ลอง “ให้” คนอื่น ดูบ้างสิค่ะ เริ่มต้นจากการให้คนรอบตัวที่เรารู้จักก่อนก็ได้ ให้เพื่อนบ้าน ให้เพื่อนร่วมงาน ถามว่าให้อะไรบ้าง คือ ให้ความสบายใจ ให้รอยยิ้ม ให้มิตรภาพที่เสแสร้งและอยากได้ผลตอบแทน ให้โอกาส ให้คำแนะนำ แล้วถ้ารู้สึกว่าทำเป็นนิตย์แล้วมีความสบายใจที่จะให้ขึ้นมาขั้นนึง ให้ลองเริ่ม “ให้” คนอื่นที่ตัวเองไม่รู้จักบ้าง คนยากไร้ คนจน นักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ คนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม คนสูงอายุ คนพิการ แต่อยากให้ลองลึกลงไปกว่าการช่วยเหลือด้วยเงินและการช่วยเหลือคนที่มีฐานะน้อยกว่าเราเท่านั้น ทุกคนขาดเหมือนกันหมด คนมีเงินขาดความรัก คนรวยเงินทองแต่ขาดครอบครัว คนมีฐานะแต่ขาดสุขภาพที่แข็งแรง
ถ้าเรารู้จักการให้ที่สร้างชีวิต เราก็จะเข้าใจชีวิตของคนอื่น และที่สุดคือเข้าใจชีวิตของตัวเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่