จำได้ดีว่าตอนนั้นรีบวิ่งจากประตูโรงเรียนไปให้ทันเพลงโรงเรียนขึ้น ตะลีตะลานไปวางกระเป๋าเรียนอันหนักอึ้งที่ห้อง ก่อนวิ่งไปเข้าแถวให้ทันก่อนที่เพลงโรงเรียนจะจบ เพื่อนๆ เกือบค่อนห้องมาถึงโรงเรียนกันหมดแล้ว หลายคนรีบมานั่งปั่นการบ้านแต่เช้า แต่หลายคนมาสายเพราะเหตุผลร้อยแปด ถ้าโชคร้ายก็จะโดนกักตัวไว้หน้าโรงเรียน จะได้ถูกทำโทษ โทษฐานที่มาโรงเรียนสาย เราเคยแต่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่เคยมาโรงเรียนสายแม้แต่ครั้งเดียว เลยไม่เคยรู้ซึ้งถึงรสชาติการโดนทำโทษสักครั้งเดียว น่าเสียดายจริงๆ นั้นแหละค่ะ ชีวิตในวัยเด็กสมัยประถมถึงมัธยมของเรา
วัยรุ่นเป็นวัยที่รู้สึกเหมือนชีวิตครึ่งๆ กลางๆ จะเด็กก็ไม่เด็ก ไม่ใช่เบบี้ระดับประถม แต่อีกใจนึงคิดว่ารุ่นพี่ม.6 ก็โตมากแล้ว พวกเค้าคงรู้อนาคตตัวเองแล้วละว่าจะเรียนอะไร แต่กว่าจะถึงตอนนั้น “อีกยาวไกล”
ทว่าผ่านไปพริบตา อ้าว โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่น่า ที่ผ่านมาไม่เห็นมีคนบอกเลยว่าจาก ม.ปลายไปมหาลัย หน้าที่หลักคือค้นหาตัวเอง มีแต่บอกว่าต้องเรียนวิชาบังคับอะไรบ้าง ทำไมไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าปีหนึ่งถึงปีสี่เป็นช่วงที่เราต้องได้ลองนู่นลองนี่มากที่สุด มีแต่บอกว่าใครเรียนจบก่อนคือเก่งที่สุด แล้วทำไมโลกที่ทำงานเค้าบอกว่าคือโลกแห่งความจริงอันโหดร้าย อย่ามัวแต่เป็นแม่พระ
ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ทำไมหนอ ไม่มีใครเคยบอกเราว่าห้อง “along the way” เป็นห้องเรียนชีวิต ที่ช่วยเรา transit ชีวิตตัวเองระหว่างวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ ห้องเรียนที่เราต้องลงทะเบียนเรียนเอง หัวข้อที่ต้องเรียนก็ต้องคิดเอง เหมือนกับลิสต์คำถามชวนปวดหัวข้างต้น ไม่มีใครบังคับให้เรียน ไม่มีครูเช็กชื่อ แต่กลับมีการสอบหลายครั้ง สอบตกได้หลายครั้ง สอบซ่อมได้บ้าง แต่ทุกครั้งที่กล้าเดินเข้าสนามสอบและสู้ ก็จะเลื่อนขั้นผ่านไปได้เสมอ
เอากระดาษมาหนึ่งแผ่น มานั่งลิสต์ดูห้องเรียน along the way ของตัวเอง ว่าที่ผ่านมาเราเรียนรู้และได้ทำข้อสอบชีวิตอะไรมาบ้าง ก็ได้มาแชร์กันดังนี้คะ
1. คบคนแก่
ตอนเด็กๆ ก็ชอบเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่โชคดีตรงที่บ้านมีคนแก่กว่าเยอะ ครอบครัวก็มีลุงป้าน้าอาเยอะแยะมากมายที่อายุมากกว่า เลยอยู่มาในครอบครัวที่เวลากินข้าวเย็น เค้าก็ชวนกันคุยเรื่องของผู้ใหญ่ ไอ้เราก็เลยซึมซับการชอบฟังมาตั้งแต่เด็ก ไม่เข้าใจแต่จำได้ดี จนกระทั่งโตมา เราถึงได้ยินถึงความหมายของสิ่งที่เราได้เคยฟังมาตั้งแต่เล็กๆ การรู้จักคนที่แก่กว่าเรา ทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตจากคนที่เค้าผ่านทั้งเรื่องร้ายเรื่องดีมาแล้ว แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า เราต้องทำตามที่เค้าบอกทุกเรื่องไป ให้จำไว้ว่าชีวิตของเราในแต่ละยุคสมัยไม่เหมือนกัน แต่ประสบการณ์ ความเจ็บปวด ความสุข ความทุกข์ ของคนที่เห็นและรู้มามาก เราเอา input ตรงนั้นมาช่วยเสริมการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจของเราได้เสมอ สิ่งที่เราได้จากเค้าคือแนวทาง ส่วนเส้นทางถ้าเราอยากเลือกเอง ก็เลือกได้เต็มที่
2.ถามทุกเรื่องที่ไม่รู้
ตอนเรียนที่เมืองไทยไม่ค่อยกล้าถาม จะไปแอบถามเอานอกห้องเรียน ตอนไปสอบทุนการศึกษาไปสิงคโปร์ก็แอบเอาแนวข้อสอบเลขที่เป็นภาษาอังกฤษไปถามครูคณิตศาสตร์ ครูมองเราด้วยสายตาเอ็นดู และบอกเราว่าไม่เคยมีใครเอาข้อสอบยากๆ แปลกๆ แบบนี้มาถามครู เธอนี่แปลกกว่าเพื่อน เราจำครูได้แม่น เพราะว่าครูเองก็เป็นครูคนเดียวที่เอาเวลานอกมาแก้โจทย์คณิตศาสตร์ช่วยเราเข้าใจหลักสูตรนอกห้องเรียน นั้นแหละคือการเรียนรู้ หรือ learning ไม่ใช่ education มันไม่ต้องมีแบบแผน แต่มันคือความอยากรู้อยากเห็น อยากค้นหา เริ่มต้นจากตัวเองไม่ใช่คนอื่นต้องมาสั่ง
พอเรียนปริญญาตรีที่เมืองนอก ครูบอกให้ตั้งคำถามก่อนเริ่มเรียน นั้นแหละเค้าเรียกว่า learning ก่อนเรียนต้องอ่านหนังสือก่อนมาเรียน พออ่านแล้วบางอย่างมันงงใช่ไหม มันก็มีคำถามอยู่ในใจ แรกๆ ถามคำแบบเอาแบบที่ตัวเองตอบได้ (เผื่อว่าครูเรียกตอบจะได้ตอบได้ไม่อายเพื่อน) แต่พอเราเข้าใจหัวใจของมัน เราถามเลย ครูก็ไม่คะยั้นคะยอให้เราหาคำตอบทันที เค้าจะแนะนำว่าเราต้องมององค์ประกอบอะไรบ้างเพื่อหาคำตอบ เค้าไม่ได้สนใจคำตอบ แต่สนใจว่าเราจะวางแผนไปหาคำตอบยังไงต่างหาก เราเลยถึงบางอ้อ ไม่รู้อะไรให้ถาม บางคำถามมันไม่ต้องมีคำตอบตอนนี้ก็ได้ แต่ขอให้ถามไว้ก่อน ถ้าไม่กล้าก็ถามในสมุดไดอารี่ของตัวเอง บางสิ่งที่เราอยากได้ อย่างเช่นขอขึ้นเงินเดือน ขอวันหยุดพักร้อนเพิ่ม “ถ้าเราไม่ถามไม่ขอ เราจะไม่เคยได้มันมาเลย” (แล้วบ้างครั้งก็ขอได้แค่ครั้งเดียวด้วยนะจ๊ะ!)
3.Build Relationship, Not Connection.
ตลอดทั้งชีวิตให้สะสมสร้างความสัมพันธ์อันดีไว้กับคนรู้จัก กับเพื่อน อย่ามัวแต่สร้าง connection อย่างเดียว เรามองว่า connection มีไว้เผื่อใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ หรือการที่เราต้องการผลประโยชน์จากคนอื่นวันใดวันนึงที่เราต้องการความช่วยเหลือหรือเดือดร้อน แต่ relationship หรือความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า จริงใจกว่า รู้สึกอุ่นใจและสบายใจกว่า
สำหรับ connection พอเราหมดประโยชน์กับเค้าแล้ว เค้าก็อาจจะเดินจากเราไปไม่ได้ใยดีอะไรมากมาย วันดีคืนดีก็อาจจะโผล่มาหาเราใหม่ บอกว่านึกถึงเราขึ้นมาพอดี เอาอย่างนี้ก็แหละกันเรามาเกื้อหนุนกันแบบนี้ แต่ความสัมพันธ์คือกลุ่มคนที่ไม่มีผลประโยชน์อันใดก็นึกถึง ป่วย ไม่สบาย หรือไม่มีอะไรสบายดีก็นึกถึง เพื่อนที่เราคบสนิทสนมมาตั้งแต่วัยเด็ก เราอาจจะมองว่า อ้อ นั่นไงเพื่อนที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย “ตั้งแต่เด็ก” เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่แค่ connection หรอกแต่เวลาเปลี่ยนคนเราเปลี่ยนแปลงเสมอ relationship กลายเป็น connection ได้ และ connection ก็อาจจะพัฒนากลายเป็น relationship ได้เช่นกัน เราต้องทำความเข้าใจกับความแตกต่าง ช่องว่าง และการลื่นไหลของสองอย่างนี้ให้ดี
4.เป็นเพื่อนให้ได้กับทุกคน ทุกชาติ ทุกชนชั้น ทุกสีผิว ทุกพื้นเพ
โชคดีที่เรียนมาในโรงเรียนรัฐบาล พอไปอยู่เมืองนอกก็มีเพื่อนหลายชาติ เราได้คบเพื่อนที่หลากหลาย มาจากทั้งครอบครัวที่รวย รวยมาก จน จนมาก และปานกลาง เพื่อนที่เรียนด้วยกันคนนึงมาจากประเทศยากจนในแถบแอฟริกา เพื่อนมาแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด หมอนหนึ่งใบ และไบเบิลหนึ่งเล่ม พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนไอ้เราก็งูๆ ปลาๆ ถึงแม้ว่าเราสองคนจะสื่อสารกันไม่ค่อยได้ แต่ก็พยายามเริ่มสอนเค้าใช้คอมพิวเตอร์ พยายามหาเสื้อผ้ามือสองมาให้ใส่ไปก่อน ภายในเวลาไม่กี่เดือนเพื่อนเริ่มพูดภาษาอังกฤษได้ เริ่มใช้อินเตอร์เน็ตเป็น ผ่านไปไม่กี่ปี อ้าวเพื่อนเรียนจบด็อกเตอร์ที่อเมริกาแล้ว ตอนแรกๆ เราไม่รู้หรอกว่าเพื่อนพื้นเพเป็นคนอย่างไรมาจากไหน เราไม่ได้สนใจว่าทำไมสีผิวเพื่อนไม่เหมือนเรา แต่เรารู้ว่าเพื่อนไม่ได้แตกต่างไปจากเราตรงที่เราสองคนมีความพยายามมากที่จะทำทุกๆ วันให้ดีที่สุด (เพื่อนพยายามมากกว่าเราหลายสิบเท่า!) ถึงแม้เค้าจะไม่มีอะไรติดตัวมาเลย นอกจาก faith ความศรัทธาที่เต็มเปี่ยม ที่เค้าพกติดตัวมากับไบเบิลเล่มเล็กๆ ขาดๆ เล่มนั้น ถ้าเรารู้จักคนอื่นที่เราแทบไม่มีอะไรเหมือนกับเค้าเลย ในความต่างนั้นเราจะเห็นสิ่งที่เรามีใกล้เคียงกับเค้ามากที่สุด ส่วนมากไม่ใช่เรื่องของกายภาพ แต่เป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าเรารู้จักสร้าง relationship และคบกับคนหลายประเภทได้ เราจะทำงานกับคนได้หลากหลายรูปแบบ
5.หาครูเป็นของตัวเอง
ครั้งนึงเคยไปหาประสบการณ์ฝึกงานที่องค์กรระหว่างประเทศแห่งนึงตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัย มี speaker คนนึงซึ่งเป็นพนักงานในองค์กร มาพูดถึงประสบการณ์ในการทำงานของเค้าให้พวกนักศึกษาฝึกงานอย่างพวกเราฟัง เราคิดว่านี้คือช่วงกำไรชีวิตเลยละ เพราะเราได้เรียนรู้จากคนที่แก่กว่าอีกแล้ว (ข้อที่หนึ่ง!) เค้าบอกว่าทั้งชีวิตเราต้องหาค้นหาครูของตัวเอง หรือ mentors of your life ตั้งแต่เรียนหนังสือมาส่วนมากมีคนบอกว่าวิชานี้ใครสอน พอโตขึ้นมาหน่อยเราเลือกวิชาเลือกอาจารย์ที่สอนเองได้ แต่ในห้องเรียน along the way แห่งนี้ เรามีสิทธิ์เลือกครูเป็นของตัวเอง เราจำคำแนะนำอันนี้ได้แม่นยำเลย แล้วดีใจมากที่เรามีเมนเทอร์ มีครูเป็นของตัวเองอยู่หลายคนตั้งแต่นั้นมา ครูที่แนะนำว่าเลือกทำงานกับใครสำคัญกว่าเลือกบริษัทชื่อดัง ครูที่แนะนำว่าควรเลือกเรียนสิ่งที่เราชอบกับครูที่เราอยากเรียนด้วย มากกว่าเลือกโรงเรียนที่ดังแต่ชื่อ เค้าบอกว่าครูคนนี้ของเรา เราต้องเลือกอย่างรอบคอบ เพราะเราจะเป็นคนยังไง ก็ขึ้นอยู่กับคนที่เราแวดล้อมนั้นแหละ ทุกคนที่เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย ถามทุกเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ด้วย (ข้อสอง!) คือคนที่มีอิทธิพลกับความคิดและพฤติกรรมของเรามากที่สุด ครูของเราที่มองข้ามไม่ได้คือพ่อกับแม่ คนที่แนะนำทุกเรื่องที่โรงเรียนไม่ได้สอนดังแต่เด็กจนโตจนเราแก่ ก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ แต่นอกจากท่าน เราก็ต้องมีครูคนอื่นเช่นกันที่ทำให้เรามองมุมที่กว้างขึ้น ไกลขึ้น หรือใกล้เคียงกับความฝันที่เราอยากไปถึงมากที่สุด
ถ้าอยากไปถึงจุดหมายที่ไหน อยากโตขึ้นเป็นคนแบบไหน ให้หาครูที่นำทางเราได้ และที่สำคัญ คือนำใจเราให้ไปถึงจุดที่ดีงามที่สุดได้ด้วยเช่นกัน
“Along the way” ห้องเรียนที่ไม่มีใครเช็กชื่อ ตอนที่ 1 โดย คุณวัลลภา วู
วัยรุ่นเป็นวัยที่รู้สึกเหมือนชีวิตครึ่งๆ กลางๆ จะเด็กก็ไม่เด็ก ไม่ใช่เบบี้ระดับประถม แต่อีกใจนึงคิดว่ารุ่นพี่ม.6 ก็โตมากแล้ว พวกเค้าคงรู้อนาคตตัวเองแล้วละว่าจะเรียนอะไร แต่กว่าจะถึงตอนนั้น “อีกยาวไกล”
ทว่าผ่านไปพริบตา อ้าว โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่น่า ที่ผ่านมาไม่เห็นมีคนบอกเลยว่าจาก ม.ปลายไปมหาลัย หน้าที่หลักคือค้นหาตัวเอง มีแต่บอกว่าต้องเรียนวิชาบังคับอะไรบ้าง ทำไมไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าปีหนึ่งถึงปีสี่เป็นช่วงที่เราต้องได้ลองนู่นลองนี่มากที่สุด มีแต่บอกว่าใครเรียนจบก่อนคือเก่งที่สุด แล้วทำไมโลกที่ทำงานเค้าบอกว่าคือโลกแห่งความจริงอันโหดร้าย อย่ามัวแต่เป็นแม่พระ
ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ทำไมหนอ ไม่มีใครเคยบอกเราว่าห้อง “along the way” เป็นห้องเรียนชีวิต ที่ช่วยเรา transit ชีวิตตัวเองระหว่างวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ ห้องเรียนที่เราต้องลงทะเบียนเรียนเอง หัวข้อที่ต้องเรียนก็ต้องคิดเอง เหมือนกับลิสต์คำถามชวนปวดหัวข้างต้น ไม่มีใครบังคับให้เรียน ไม่มีครูเช็กชื่อ แต่กลับมีการสอบหลายครั้ง สอบตกได้หลายครั้ง สอบซ่อมได้บ้าง แต่ทุกครั้งที่กล้าเดินเข้าสนามสอบและสู้ ก็จะเลื่อนขั้นผ่านไปได้เสมอ
เอากระดาษมาหนึ่งแผ่น มานั่งลิสต์ดูห้องเรียน along the way ของตัวเอง ว่าที่ผ่านมาเราเรียนรู้และได้ทำข้อสอบชีวิตอะไรมาบ้าง ก็ได้มาแชร์กันดังนี้คะ
1. คบคนแก่
ตอนเด็กๆ ก็ชอบเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่โชคดีตรงที่บ้านมีคนแก่กว่าเยอะ ครอบครัวก็มีลุงป้าน้าอาเยอะแยะมากมายที่อายุมากกว่า เลยอยู่มาในครอบครัวที่เวลากินข้าวเย็น เค้าก็ชวนกันคุยเรื่องของผู้ใหญ่ ไอ้เราก็เลยซึมซับการชอบฟังมาตั้งแต่เด็ก ไม่เข้าใจแต่จำได้ดี จนกระทั่งโตมา เราถึงได้ยินถึงความหมายของสิ่งที่เราได้เคยฟังมาตั้งแต่เล็กๆ การรู้จักคนที่แก่กว่าเรา ทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตจากคนที่เค้าผ่านทั้งเรื่องร้ายเรื่องดีมาแล้ว แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า เราต้องทำตามที่เค้าบอกทุกเรื่องไป ให้จำไว้ว่าชีวิตของเราในแต่ละยุคสมัยไม่เหมือนกัน แต่ประสบการณ์ ความเจ็บปวด ความสุข ความทุกข์ ของคนที่เห็นและรู้มามาก เราเอา input ตรงนั้นมาช่วยเสริมการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจของเราได้เสมอ สิ่งที่เราได้จากเค้าคือแนวทาง ส่วนเส้นทางถ้าเราอยากเลือกเอง ก็เลือกได้เต็มที่
2.ถามทุกเรื่องที่ไม่รู้
ตอนเรียนที่เมืองไทยไม่ค่อยกล้าถาม จะไปแอบถามเอานอกห้องเรียน ตอนไปสอบทุนการศึกษาไปสิงคโปร์ก็แอบเอาแนวข้อสอบเลขที่เป็นภาษาอังกฤษไปถามครูคณิตศาสตร์ ครูมองเราด้วยสายตาเอ็นดู และบอกเราว่าไม่เคยมีใครเอาข้อสอบยากๆ แปลกๆ แบบนี้มาถามครู เธอนี่แปลกกว่าเพื่อน เราจำครูได้แม่น เพราะว่าครูเองก็เป็นครูคนเดียวที่เอาเวลานอกมาแก้โจทย์คณิตศาสตร์ช่วยเราเข้าใจหลักสูตรนอกห้องเรียน นั้นแหละคือการเรียนรู้ หรือ learning ไม่ใช่ education มันไม่ต้องมีแบบแผน แต่มันคือความอยากรู้อยากเห็น อยากค้นหา เริ่มต้นจากตัวเองไม่ใช่คนอื่นต้องมาสั่ง
พอเรียนปริญญาตรีที่เมืองนอก ครูบอกให้ตั้งคำถามก่อนเริ่มเรียน นั้นแหละเค้าเรียกว่า learning ก่อนเรียนต้องอ่านหนังสือก่อนมาเรียน พออ่านแล้วบางอย่างมันงงใช่ไหม มันก็มีคำถามอยู่ในใจ แรกๆ ถามคำแบบเอาแบบที่ตัวเองตอบได้ (เผื่อว่าครูเรียกตอบจะได้ตอบได้ไม่อายเพื่อน) แต่พอเราเข้าใจหัวใจของมัน เราถามเลย ครูก็ไม่คะยั้นคะยอให้เราหาคำตอบทันที เค้าจะแนะนำว่าเราต้องมององค์ประกอบอะไรบ้างเพื่อหาคำตอบ เค้าไม่ได้สนใจคำตอบ แต่สนใจว่าเราจะวางแผนไปหาคำตอบยังไงต่างหาก เราเลยถึงบางอ้อ ไม่รู้อะไรให้ถาม บางคำถามมันไม่ต้องมีคำตอบตอนนี้ก็ได้ แต่ขอให้ถามไว้ก่อน ถ้าไม่กล้าก็ถามในสมุดไดอารี่ของตัวเอง บางสิ่งที่เราอยากได้ อย่างเช่นขอขึ้นเงินเดือน ขอวันหยุดพักร้อนเพิ่ม “ถ้าเราไม่ถามไม่ขอ เราจะไม่เคยได้มันมาเลย” (แล้วบ้างครั้งก็ขอได้แค่ครั้งเดียวด้วยนะจ๊ะ!)
3.Build Relationship, Not Connection.
ตลอดทั้งชีวิตให้สะสมสร้างความสัมพันธ์อันดีไว้กับคนรู้จัก กับเพื่อน อย่ามัวแต่สร้าง connection อย่างเดียว เรามองว่า connection มีไว้เผื่อใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ หรือการที่เราต้องการผลประโยชน์จากคนอื่นวันใดวันนึงที่เราต้องการความช่วยเหลือหรือเดือดร้อน แต่ relationship หรือความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า จริงใจกว่า รู้สึกอุ่นใจและสบายใจกว่า
สำหรับ connection พอเราหมดประโยชน์กับเค้าแล้ว เค้าก็อาจจะเดินจากเราไปไม่ได้ใยดีอะไรมากมาย วันดีคืนดีก็อาจจะโผล่มาหาเราใหม่ บอกว่านึกถึงเราขึ้นมาพอดี เอาอย่างนี้ก็แหละกันเรามาเกื้อหนุนกันแบบนี้ แต่ความสัมพันธ์คือกลุ่มคนที่ไม่มีผลประโยชน์อันใดก็นึกถึง ป่วย ไม่สบาย หรือไม่มีอะไรสบายดีก็นึกถึง เพื่อนที่เราคบสนิทสนมมาตั้งแต่วัยเด็ก เราอาจจะมองว่า อ้อ นั่นไงเพื่อนที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีด้วย “ตั้งแต่เด็ก” เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่แค่ connection หรอกแต่เวลาเปลี่ยนคนเราเปลี่ยนแปลงเสมอ relationship กลายเป็น connection ได้ และ connection ก็อาจจะพัฒนากลายเป็น relationship ได้เช่นกัน เราต้องทำความเข้าใจกับความแตกต่าง ช่องว่าง และการลื่นไหลของสองอย่างนี้ให้ดี
4.เป็นเพื่อนให้ได้กับทุกคน ทุกชาติ ทุกชนชั้น ทุกสีผิว ทุกพื้นเพ
โชคดีที่เรียนมาในโรงเรียนรัฐบาล พอไปอยู่เมืองนอกก็มีเพื่อนหลายชาติ เราได้คบเพื่อนที่หลากหลาย มาจากทั้งครอบครัวที่รวย รวยมาก จน จนมาก และปานกลาง เพื่อนที่เรียนด้วยกันคนนึงมาจากประเทศยากจนในแถบแอฟริกา เพื่อนมาแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุด หมอนหนึ่งใบ และไบเบิลหนึ่งเล่ม พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนไอ้เราก็งูๆ ปลาๆ ถึงแม้ว่าเราสองคนจะสื่อสารกันไม่ค่อยได้ แต่ก็พยายามเริ่มสอนเค้าใช้คอมพิวเตอร์ พยายามหาเสื้อผ้ามือสองมาให้ใส่ไปก่อน ภายในเวลาไม่กี่เดือนเพื่อนเริ่มพูดภาษาอังกฤษได้ เริ่มใช้อินเตอร์เน็ตเป็น ผ่านไปไม่กี่ปี อ้าวเพื่อนเรียนจบด็อกเตอร์ที่อเมริกาแล้ว ตอนแรกๆ เราไม่รู้หรอกว่าเพื่อนพื้นเพเป็นคนอย่างไรมาจากไหน เราไม่ได้สนใจว่าทำไมสีผิวเพื่อนไม่เหมือนเรา แต่เรารู้ว่าเพื่อนไม่ได้แตกต่างไปจากเราตรงที่เราสองคนมีความพยายามมากที่จะทำทุกๆ วันให้ดีที่สุด (เพื่อนพยายามมากกว่าเราหลายสิบเท่า!) ถึงแม้เค้าจะไม่มีอะไรติดตัวมาเลย นอกจาก faith ความศรัทธาที่เต็มเปี่ยม ที่เค้าพกติดตัวมากับไบเบิลเล่มเล็กๆ ขาดๆ เล่มนั้น ถ้าเรารู้จักคนอื่นที่เราแทบไม่มีอะไรเหมือนกับเค้าเลย ในความต่างนั้นเราจะเห็นสิ่งที่เรามีใกล้เคียงกับเค้ามากที่สุด ส่วนมากไม่ใช่เรื่องของกายภาพ แต่เป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าเรารู้จักสร้าง relationship และคบกับคนหลายประเภทได้ เราจะทำงานกับคนได้หลากหลายรูปแบบ
5.หาครูเป็นของตัวเอง
ครั้งนึงเคยไปหาประสบการณ์ฝึกงานที่องค์กรระหว่างประเทศแห่งนึงตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัย มี speaker คนนึงซึ่งเป็นพนักงานในองค์กร มาพูดถึงประสบการณ์ในการทำงานของเค้าให้พวกนักศึกษาฝึกงานอย่างพวกเราฟัง เราคิดว่านี้คือช่วงกำไรชีวิตเลยละ เพราะเราได้เรียนรู้จากคนที่แก่กว่าอีกแล้ว (ข้อที่หนึ่ง!) เค้าบอกว่าทั้งชีวิตเราต้องหาค้นหาครูของตัวเอง หรือ mentors of your life ตั้งแต่เรียนหนังสือมาส่วนมากมีคนบอกว่าวิชานี้ใครสอน พอโตขึ้นมาหน่อยเราเลือกวิชาเลือกอาจารย์ที่สอนเองได้ แต่ในห้องเรียน along the way แห่งนี้ เรามีสิทธิ์เลือกครูเป็นของตัวเอง เราจำคำแนะนำอันนี้ได้แม่นยำเลย แล้วดีใจมากที่เรามีเมนเทอร์ มีครูเป็นของตัวเองอยู่หลายคนตั้งแต่นั้นมา ครูที่แนะนำว่าเลือกทำงานกับใครสำคัญกว่าเลือกบริษัทชื่อดัง ครูที่แนะนำว่าควรเลือกเรียนสิ่งที่เราชอบกับครูที่เราอยากเรียนด้วย มากกว่าเลือกโรงเรียนที่ดังแต่ชื่อ เค้าบอกว่าครูคนนี้ของเรา เราต้องเลือกอย่างรอบคอบ เพราะเราจะเป็นคนยังไง ก็ขึ้นอยู่กับคนที่เราแวดล้อมนั้นแหละ ทุกคนที่เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย ถามทุกเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ด้วย (ข้อสอง!) คือคนที่มีอิทธิพลกับความคิดและพฤติกรรมของเรามากที่สุด ครูของเราที่มองข้ามไม่ได้คือพ่อกับแม่ คนที่แนะนำทุกเรื่องที่โรงเรียนไม่ได้สอนดังแต่เด็กจนโตจนเราแก่ ก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ แต่นอกจากท่าน เราก็ต้องมีครูคนอื่นเช่นกันที่ทำให้เรามองมุมที่กว้างขึ้น ไกลขึ้น หรือใกล้เคียงกับความฝันที่เราอยากไปถึงมากที่สุด
ถ้าอยากไปถึงจุดหมายที่ไหน อยากโตขึ้นเป็นคนแบบไหน ให้หาครูที่นำทางเราได้ และที่สำคัญ คือนำใจเราให้ไปถึงจุดที่ดีงามที่สุดได้ด้วยเช่นกัน