สวัสดีค่ะ เรากำลังจะเลิกทำอาชีพหมอเป็นอาชีพหลัก โดยใช้เวลาตัดสินใจมาประมาณ1ปี และนี่คือเหตุผล 10ข้อ
1. เหนื่อยกาย
คิดดูแล้วหมอทำงาน มากกว่า 300ชั่วโมงต่อเดือน วันที่อยู่เวร=ทำงานติดต่อกัน 32 ชั่วโมง
เริ่มงาน (ราวน์เช้า) 7:30 น. เลิกงาน 16:00น. *ของวันถัดไป* ถ้าวันนั้นเวรเยิน วันต่อมาคุณจะเบลอๆไปทั้งวัน การทำงานก็จะแย่ลง ช้าลง ผิดพลาดง่ายขึ้น และอารมณ์แปรปรวน ไปจนถึงเย็นวันนั้น คุณถึงจะได้นอน
วันต่อมาไปทำงานอีกแล้ว ไม่มีเวรวอร์ดหรอก
แต่ดันมีเวร ER ที่ต้องไปอยู่ตอนเที่ยงคืน หลังเลิกงานคุณเลยรีบไปนอนแต่นอนไม่ค่อยหลับ และตื่นมาด้วยความมึนๆ หน่วงๆ ไปเริ่มงานตอนเที่ยงคืน จนถึงแปดโมง ซึ่งเหมือนจะเป็นอิสระแล้วแต่ไม่ใช่
เพราะคุณต้องทำงานต่อตามปกติ
คุณต้องรีบไปราวน์เช้าต่อ ซึ่งปกติจะต้องเริ่มไปราวน์ 7:30 แต่เวร ER ออก 8:00 แล้วต้องส่งเวรอีกสักพัก และคุณมี conference ตอน 8:00 แล้วน้ำก็ยังไม่ได้อาบ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน คุณต้องเลือกว่าจะทำอะไร
ปรากฏว่าคุณเลือกทางที่ดูฉลาดที่สุดคือ เข้าไปนั่งกินข้าวใน conference โดยยังไม่อาบน้ำ //staff ในห้องก็จะเห็นintern หน้าเมือกๆ เข้ามาสายๆนั่งกินข้าวแล้วรีบออกไปโดยconferenceยังไม่จบ (แล้วก่นด่าในใจว่ามานั่งกินข้าวนี่หว่า)
คุณรีบกลับไปราวน์เพื่อพรีเซ็นต์เคสที่วอร์ด ปรากฏว่าคุณราวน์ไม่ทัน คุณยังhang คุณตอบคำถาม staff ไม่ได้ แล้วความเฟลก็เริ่มมาเยือนถ้าคุณเป็นพวก perfectionist
แล้วเย็นวันนั้นก็เสียไปกับการนอนอีกเพราะคุณทำงานติดต่อกันมาแล้ว 16 ชม.
นอกจากนี้ อินเทิร์น1 บางวอร์ดต้องราวน์ทุกเสาร์อาทิตย์ก่อน(แม้ไม่ได้อยู่เวร) ถึงจะไปพักได้
คุณทำงานจนไม่มีเวลาคิดอะไร นอกจากคิดว่าเมื่อไหร่จะได้นอน หรือเมื่อไหร่ชีวิตแบบนี้จะจบสักที
2. เหนื่อยใจกับผู้ร่วมงานบางคน
แน่นอน คุณเป็นหมอ ตำแหน่งในหน้าที่การงานคือ leader ปรากฏว่าคุณเพิ่งจบมาใหม่ ไปอยู่ ER ทำงานกับพยาบาลที่อยู่มาก่อนหน้าคุณกว่าสิบปี
เขาไม่respect คุณหรอก เพราะคุณไม่ใช่ specialist (หมอเฉพาะทาง)
ทั้งๆที่คุณไม่ใช่ แต่คุณกลับถูกกดดันให้อยู่ER ดึกคนเดียว คุณ order ยาบางอย่าง แต่พยาบาล ไม่ชอบใจ เพราะต้อง monitorคนไข้ เลยพูดมาลอยๆดังๆว่า ต้องให้ขนาดนี้เลยหรอ เห็นหมอคนอื่นไม่เห็นต้องให้ขนาดนี้ แต่ไม่คุยกับเรา เราก็เลยเป็นต้องเป็นฝ่ายเข้าไปคุย หรือ คุณใส่ ETT ยังไม่เซียนปรากฏว่าคุณใส่เคสอุบัติเหตุกระอักเลือดไม่เข้า พยบ.ผู้เชี่ยวชาญก็เดินมาโชว์ความเก๋าใส่ให้เสร็จสรรพโดยไม่คุยกับเรา เช่นว่าให้พี่ใส่ให้ไหม พยบ.คนอื่นก็ชมรุ่นพี่ยกใหญ่
แล้วคุณก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวต่อไป
เครื่อง ultrasound และเปลก็ต้องเข็นเอง บางทีผ้าห่มเวรยังไม่มีให้ ออกไปขอก็บอกไม่มี
3. เหนื่อยใจกับคนไข้บางราย
หมอ: สวัสดีค่ะมารับยาโรคหัวใจขาดเลือดต่อจากสถาบันทรวงอกหรอคะ
ขณะดูรายการยาเราก็ได้กลิ่นบุหรี่แรงมาก
หมอ: ยังสูบบุหรี่อยู่หรอคะ
คนไข้: ใช่ค่ะ
หมอ: ทำไมละ เป็นโรคหัวใจขนาดนี้แล้วนะคะ
คนไข้: ไม่เป็นไรหรอก ผมเบิกได้ ถ้าเป็นอะไรหมอก็รักษาผมเองแหละ
หมอ:
4. การเสียสละที่ไม่มีใครมองเห็น
OPD เริ่ม 8:00 คุณเดินมาตรวจที่ OPD ตอน10:30 น. คุณได้ยินเสียงพูดลอยมาจากคนไข้ที่นั่งรออยู่ว่า 'มาสายจังวะ' หลายคนก็คงตัดสินแล้วว่าก็หมอมาสายจริงนี่ แต่ความจริงคือหมอคนนี้มีหน้าที่ราวน์วอร์ดในวันนี้ แต่เดินมา'ช่วย'ตรวจOPDหลังราวน์เสร็จเลยมาเวลานี้
หรืออยู่ER แล้วเพิ่งได้พัก 13:00 คุณกลับมาตอน 14:00 แล้วคนไข้ก็พูดตามหลังคุณว่า 'เพิ่งจะมา'
หรือคุณอยู่เวรรพช.วันหยุดคนเดียวทั้งรพ. แล้วมีคนไข้ฉุกเฉินทั้งใส่ท่อช่วยหายใจ หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมอง ต่างๆมากมาย คุณเลยมาเริ่มราวน์ตอนบ่ายสอง ญาติเริ่มอารมณ์เสียพร้อมบ่นว่า หมอมาทำงานกี่โมง
หมออยู่ในระบบราชการที่รักษาคนไข้เท่าไหร่ ก็ได้เงินเท่าเดิม
แต่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันหน้าที่หมออยู่แล้ว ผมเสียภาษี คุณก็ต้องตรวจ
หรือบางคน ยังเข้าใจว่าค่าบริการผู้ป่วยนอกนี่เงินเข้าหมอนะ ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด
5. คนที่นับถือหมอแทบไม่เหลือแล้วละ
เราชอบเวลาที่ตรวจผู้สูงอายุ เพราะเขาฟังเรา เชื่อเราและขอบคุณเราอย่างใจจริง เคยบอกยายว่าอย่ายกมือไหว้หมอเลย ยายอายุเยอะกว่าหมอตั้งเยอะ ยายก็บอกว่า ไม่เป็นไร ยายนับถือเพราะเป็นหมอ
ตัดภาพมาที่เด็กวัยรุ่น เดินเข้าห้องตรวจมา เราทักสวัสดีค่าพร้อมยกมือระดับอก ยังไม่ทักเราตอบเลยจร้าาาาา
6. ระบบสาธารสุขที่ทำเพื่อคนทั้งประเทศ ยกเว้นบุคคลากรทางการแพทย์
ด้วยระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ใครๆก็มารักษาได้ เราเห็นด้วยกับระบบนี้ในแง่ที่ทำให้เราสามารถรักษาใครได้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงเงินในกระเป๋าเขา
แต่มันเป็นดาบสองคม
ด้วยระบบที่การหาหมอเป็นของฟรี เข้าถึงง่าย คล้ายกับของตาย ยังไงหมอก็ต้องรักษา แล้วทำไมฉันจะต้องดูแลตัวเอง
กินเหล้าเยอะแล้วอ้วกเป็นเลือดมา หมอรักษาฟรี เลิกอ้วกแล้ว กลับบ้านไปกินเหล้าแล้วอ้วกมาใหม่
เป็นหอบหืด/ถุงลมโป่งพอง สูบบุหรี่แล้วเหนื่อย แต่มียาพ่นแก้เหนื่อยฟรี เลยไม่ค่อยเหนื่อยแล้ว สูบต่อสิครัชรออะไร
แล้วคุณก็ทำงานหนักต่อไป
7. ไฟที่ค่อยๆมอดลง
จากที่คุณเคยตรวจคนไข้ละเอียดเว่อร์วังประดุจญาติมิตรครั้งยังจบมาใหม่ๆ คุณก็ค้นพบว่า คนไข้คนอื่น

รอตรวจอีกเยอะวะ เพื่อนร่วมงานโหลดงาน พี่พยบ.ก็เครียดเพราะต้อง deal กับคนไข้ที่รออยู่ คุณก็เลยทำแค่มาตรฐาน และเกือบลืมไปแล้วว่าตรวจละเอียดแบบสมัยนศพ.นั้นทำยังไง
8. สุขภาพ
คุณเคยพยายามซื้อรองเท้าวิ่งมาไว้ที่หอเพื่อจะวิ่งหลังเลิกงาน แล้วฝุ่นก็เริ่มเกาะ เพราะ
จากข้อ1 คุณเหนื่อยและอยากกิน/อยากนอนมากกว่าที่จะไปออกกำลังกาย
9. เสี่ยงเป็นโรคติดต่อ
สวัสดีค่า HIV ไวรัสตับอักเสบบี,ซี วัณโรค
ไม่รู้วันไหนที่คุณจะ Jackpot ได้สิ่งเหล่านี้มาจากอุบัติเหตุ กระเด็นเข้าตา หายใจเข้าไปตอนใส่ ETT เข็มตำ ตอนที่คุณง่วงๆ นอนน้อยๆ ภูมิคุ้มกันต่ำๆ
10. ทางออกที่ไม่อยากไป
ถ้าคุณอ่านข้อ1-9 มา คุณคงรู้แล้วว่านี่คือเรื่องเล่าของintern หรือหมอชดใช้ทุน คุณอาจจะบอกว่า เพราะเป็นinternไงมันก็จะเหนื่อยแบบนี้ ทำไมไม่หาทางอื่นละ
- ไปเรียนต่อ ไม่มีสาขาที่อยากเรียน +ไม่อยากเข้าไปอยู่ในระบบโรงเรียนแพทย์อีกแล้ว มันต้องเข้าไปฝ่าฟันอะไรอีกเยอะ(หมอเฉพาะทางเดี๋ยวนี้ไม่เรียนต่อกันง่ายๆนะจ๊ะ เส้นสาย ความสามารถ ผลการเรียน การอยู่เป็น) พอเรียนจบแล้วก็ต้องมาเจอคนไข้ทัศนะคติแบบเดิมอีกอยู่ดีไหม
- ไปเป็นหมอเอกชน อ่าเงินดีนะ แต่ความก้าวหน้าน้อย(เพราะไม่ได้เรียนต่อ) และถูกระบบทุนนิยมบังคับให้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบ
- ไปอยู่คลินิกเสริมความงาม: มันไม่ใช่จริตเรา และ
ตลาดมันล้นแล้วไหมเธอ
- เป็นหมอรพช.ต่อไป เสี่ยงมากเลยนะถ้าทำพลาด ไม่มีคำว่า 'ผู้เชี่ยวชาญ' มารองรับ และยังต้องโทรคุยกับศูนย์รีเฟอร์ที่พยบ. บางคนไม่น่ารัก+ยิ่งเราแก่ๆไปต้องโทรขอรีเฟอร์กับหมอรุ่นน้องไปอีก
- ไปเรียนต่อต่างประเทศ: ตัดทิ้งไปเลย ยากมากคร่าา และต้องไปต่างบ้านต่างเมืองอีก คิดถึงบ้านจ้าา
อยากบอกน้องๆม.ปลายที่อยากเป็นหมอ ขอให้คิดให้ดี ให้ถี่ถ้วน ว่าทำไมถึงอยากเป็นหมอ แล้วการเป็นหมอในประเทศไทยมันตอบโจทย์ไหม
ข้อดีของการเป็นหมอมันก็มีมากมาย พี่ก็ยังดีใจที่ได้เป็นหมอ มีประสบการณ์และความรู้ดีๆมากมายติดตัว
แต่การเป็นหมอ กับการเป็นหมอที่ทำงานในประเทศไทย มันไม่เหมือนกัน...
10 Reasons Why I Quit my Job
1. เหนื่อยกาย
คิดดูแล้วหมอทำงาน มากกว่า 300ชั่วโมงต่อเดือน วันที่อยู่เวร=ทำงานติดต่อกัน 32 ชั่วโมง
เริ่มงาน (ราวน์เช้า) 7:30 น. เลิกงาน 16:00น. *ของวันถัดไป* ถ้าวันนั้นเวรเยิน วันต่อมาคุณจะเบลอๆไปทั้งวัน การทำงานก็จะแย่ลง ช้าลง ผิดพลาดง่ายขึ้น และอารมณ์แปรปรวน ไปจนถึงเย็นวันนั้น คุณถึงจะได้นอน
วันต่อมาไปทำงานอีกแล้ว ไม่มีเวรวอร์ดหรอก
แต่ดันมีเวร ER ที่ต้องไปอยู่ตอนเที่ยงคืน หลังเลิกงานคุณเลยรีบไปนอนแต่นอนไม่ค่อยหลับ และตื่นมาด้วยความมึนๆ หน่วงๆ ไปเริ่มงานตอนเที่ยงคืน จนถึงแปดโมง ซึ่งเหมือนจะเป็นอิสระแล้วแต่ไม่ใช่
เพราะคุณต้องทำงานต่อตามปกติ
คุณต้องรีบไปราวน์เช้าต่อ ซึ่งปกติจะต้องเริ่มไปราวน์ 7:30 แต่เวร ER ออก 8:00 แล้วต้องส่งเวรอีกสักพัก และคุณมี conference ตอน 8:00 แล้วน้ำก็ยังไม่ได้อาบ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน คุณต้องเลือกว่าจะทำอะไร
ปรากฏว่าคุณเลือกทางที่ดูฉลาดที่สุดคือ เข้าไปนั่งกินข้าวใน conference โดยยังไม่อาบน้ำ //staff ในห้องก็จะเห็นintern หน้าเมือกๆ เข้ามาสายๆนั่งกินข้าวแล้วรีบออกไปโดยconferenceยังไม่จบ (แล้วก่นด่าในใจว่ามานั่งกินข้าวนี่หว่า)
คุณรีบกลับไปราวน์เพื่อพรีเซ็นต์เคสที่วอร์ด ปรากฏว่าคุณราวน์ไม่ทัน คุณยังhang คุณตอบคำถาม staff ไม่ได้ แล้วความเฟลก็เริ่มมาเยือนถ้าคุณเป็นพวก perfectionist
แล้วเย็นวันนั้นก็เสียไปกับการนอนอีกเพราะคุณทำงานติดต่อกันมาแล้ว 16 ชม.
นอกจากนี้ อินเทิร์น1 บางวอร์ดต้องราวน์ทุกเสาร์อาทิตย์ก่อน(แม้ไม่ได้อยู่เวร) ถึงจะไปพักได้
คุณทำงานจนไม่มีเวลาคิดอะไร นอกจากคิดว่าเมื่อไหร่จะได้นอน หรือเมื่อไหร่ชีวิตแบบนี้จะจบสักที
2. เหนื่อยใจกับผู้ร่วมงานบางคน
แน่นอน คุณเป็นหมอ ตำแหน่งในหน้าที่การงานคือ leader ปรากฏว่าคุณเพิ่งจบมาใหม่ ไปอยู่ ER ทำงานกับพยาบาลที่อยู่มาก่อนหน้าคุณกว่าสิบปี
เขาไม่respect คุณหรอก เพราะคุณไม่ใช่ specialist (หมอเฉพาะทาง)
ทั้งๆที่คุณไม่ใช่ แต่คุณกลับถูกกดดันให้อยู่ER ดึกคนเดียว คุณ order ยาบางอย่าง แต่พยาบาล ไม่ชอบใจ เพราะต้อง monitorคนไข้ เลยพูดมาลอยๆดังๆว่า ต้องให้ขนาดนี้เลยหรอ เห็นหมอคนอื่นไม่เห็นต้องให้ขนาดนี้ แต่ไม่คุยกับเรา เราก็เลยเป็นต้องเป็นฝ่ายเข้าไปคุย หรือ คุณใส่ ETT ยังไม่เซียนปรากฏว่าคุณใส่เคสอุบัติเหตุกระอักเลือดไม่เข้า พยบ.ผู้เชี่ยวชาญก็เดินมาโชว์ความเก๋าใส่ให้เสร็จสรรพโดยไม่คุยกับเรา เช่นว่าให้พี่ใส่ให้ไหม พยบ.คนอื่นก็ชมรุ่นพี่ยกใหญ่
แล้วคุณก็อยู่อย่างโดดเดี่ยวต่อไป
เครื่อง ultrasound และเปลก็ต้องเข็นเอง บางทีผ้าห่มเวรยังไม่มีให้ ออกไปขอก็บอกไม่มี
3. เหนื่อยใจกับคนไข้บางราย
หมอ: สวัสดีค่ะมารับยาโรคหัวใจขาดเลือดต่อจากสถาบันทรวงอกหรอคะ
ขณะดูรายการยาเราก็ได้กลิ่นบุหรี่แรงมาก
หมอ: ยังสูบบุหรี่อยู่หรอคะ
คนไข้: ใช่ค่ะ
หมอ: ทำไมละ เป็นโรคหัวใจขนาดนี้แล้วนะคะ
คนไข้: ไม่เป็นไรหรอก ผมเบิกได้ ถ้าเป็นอะไรหมอก็รักษาผมเองแหละ
หมอ:
4. การเสียสละที่ไม่มีใครมองเห็น
OPD เริ่ม 8:00 คุณเดินมาตรวจที่ OPD ตอน10:30 น. คุณได้ยินเสียงพูดลอยมาจากคนไข้ที่นั่งรออยู่ว่า 'มาสายจังวะ' หลายคนก็คงตัดสินแล้วว่าก็หมอมาสายจริงนี่ แต่ความจริงคือหมอคนนี้มีหน้าที่ราวน์วอร์ดในวันนี้ แต่เดินมา'ช่วย'ตรวจOPDหลังราวน์เสร็จเลยมาเวลานี้
หรืออยู่ER แล้วเพิ่งได้พัก 13:00 คุณกลับมาตอน 14:00 แล้วคนไข้ก็พูดตามหลังคุณว่า 'เพิ่งจะมา'
หรือคุณอยู่เวรรพช.วันหยุดคนเดียวทั้งรพ. แล้วมีคนไข้ฉุกเฉินทั้งใส่ท่อช่วยหายใจ หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมอง ต่างๆมากมาย คุณเลยมาเริ่มราวน์ตอนบ่ายสอง ญาติเริ่มอารมณ์เสียพร้อมบ่นว่า หมอมาทำงานกี่โมง
หมออยู่ในระบบราชการที่รักษาคนไข้เท่าไหร่ ก็ได้เงินเท่าเดิม
แต่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันหน้าที่หมออยู่แล้ว ผมเสียภาษี คุณก็ต้องตรวจ
หรือบางคน ยังเข้าใจว่าค่าบริการผู้ป่วยนอกนี่เงินเข้าหมอนะ ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด
5. คนที่นับถือหมอแทบไม่เหลือแล้วละ
เราชอบเวลาที่ตรวจผู้สูงอายุ เพราะเขาฟังเรา เชื่อเราและขอบคุณเราอย่างใจจริง เคยบอกยายว่าอย่ายกมือไหว้หมอเลย ยายอายุเยอะกว่าหมอตั้งเยอะ ยายก็บอกว่า ไม่เป็นไร ยายนับถือเพราะเป็นหมอ
ตัดภาพมาที่เด็กวัยรุ่น เดินเข้าห้องตรวจมา เราทักสวัสดีค่าพร้อมยกมือระดับอก ยังไม่ทักเราตอบเลยจร้าาาาา
6. ระบบสาธารสุขที่ทำเพื่อคนทั้งประเทศ ยกเว้นบุคคลากรทางการแพทย์
ด้วยระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้ใครๆก็มารักษาได้ เราเห็นด้วยกับระบบนี้ในแง่ที่ทำให้เราสามารถรักษาใครได้เต็มที่โดยไม่ต้องห่วงเงินในกระเป๋าเขา
แต่มันเป็นดาบสองคม
ด้วยระบบที่การหาหมอเป็นของฟรี เข้าถึงง่าย คล้ายกับของตาย ยังไงหมอก็ต้องรักษา แล้วทำไมฉันจะต้องดูแลตัวเอง
กินเหล้าเยอะแล้วอ้วกเป็นเลือดมา หมอรักษาฟรี เลิกอ้วกแล้ว กลับบ้านไปกินเหล้าแล้วอ้วกมาใหม่
เป็นหอบหืด/ถุงลมโป่งพอง สูบบุหรี่แล้วเหนื่อย แต่มียาพ่นแก้เหนื่อยฟรี เลยไม่ค่อยเหนื่อยแล้ว สูบต่อสิครัชรออะไร
แล้วคุณก็ทำงานหนักต่อไป
7. ไฟที่ค่อยๆมอดลง
จากที่คุณเคยตรวจคนไข้ละเอียดเว่อร์วังประดุจญาติมิตรครั้งยังจบมาใหม่ๆ คุณก็ค้นพบว่า คนไข้คนอื่น
8. สุขภาพ
คุณเคยพยายามซื้อรองเท้าวิ่งมาไว้ที่หอเพื่อจะวิ่งหลังเลิกงาน แล้วฝุ่นก็เริ่มเกาะ เพราะ
จากข้อ1 คุณเหนื่อยและอยากกิน/อยากนอนมากกว่าที่จะไปออกกำลังกาย
9. เสี่ยงเป็นโรคติดต่อ
สวัสดีค่า HIV ไวรัสตับอักเสบบี,ซี วัณโรค
ไม่รู้วันไหนที่คุณจะ Jackpot ได้สิ่งเหล่านี้มาจากอุบัติเหตุ กระเด็นเข้าตา หายใจเข้าไปตอนใส่ ETT เข็มตำ ตอนที่คุณง่วงๆ นอนน้อยๆ ภูมิคุ้มกันต่ำๆ
10. ทางออกที่ไม่อยากไป
ถ้าคุณอ่านข้อ1-9 มา คุณคงรู้แล้วว่านี่คือเรื่องเล่าของintern หรือหมอชดใช้ทุน คุณอาจจะบอกว่า เพราะเป็นinternไงมันก็จะเหนื่อยแบบนี้ ทำไมไม่หาทางอื่นละ
- ไปเรียนต่อ ไม่มีสาขาที่อยากเรียน +ไม่อยากเข้าไปอยู่ในระบบโรงเรียนแพทย์อีกแล้ว มันต้องเข้าไปฝ่าฟันอะไรอีกเยอะ(หมอเฉพาะทางเดี๋ยวนี้ไม่เรียนต่อกันง่ายๆนะจ๊ะ เส้นสาย ความสามารถ ผลการเรียน การอยู่เป็น) พอเรียนจบแล้วก็ต้องมาเจอคนไข้ทัศนะคติแบบเดิมอีกอยู่ดีไหม
- ไปเป็นหมอเอกชน อ่าเงินดีนะ แต่ความก้าวหน้าน้อย(เพราะไม่ได้เรียนต่อ) และถูกระบบทุนนิยมบังคับให้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบ
- ไปอยู่คลินิกเสริมความงาม: มันไม่ใช่จริตเรา และ
ตลาดมันล้นแล้วไหมเธอ
- เป็นหมอรพช.ต่อไป เสี่ยงมากเลยนะถ้าทำพลาด ไม่มีคำว่า 'ผู้เชี่ยวชาญ' มารองรับ และยังต้องโทรคุยกับศูนย์รีเฟอร์ที่พยบ. บางคนไม่น่ารัก+ยิ่งเราแก่ๆไปต้องโทรขอรีเฟอร์กับหมอรุ่นน้องไปอีก
- ไปเรียนต่อต่างประเทศ: ตัดทิ้งไปเลย ยากมากคร่าา และต้องไปต่างบ้านต่างเมืองอีก คิดถึงบ้านจ้าา
อยากบอกน้องๆม.ปลายที่อยากเป็นหมอ ขอให้คิดให้ดี ให้ถี่ถ้วน ว่าทำไมถึงอยากเป็นหมอ แล้วการเป็นหมอในประเทศไทยมันตอบโจทย์ไหม
ข้อดีของการเป็นหมอมันก็มีมากมาย พี่ก็ยังดีใจที่ได้เป็นหมอ มีประสบการณ์และความรู้ดีๆมากมายติดตัว
แต่การเป็นหมอ กับการเป็นหมอที่ทำงานในประเทศไทย มันไม่เหมือนกัน...