ซัมเมอร์นี้ ไปมโนว่าเป็นเจ้าหญิงในปราสาทที่อิตาลีกันมั้ย? (ฮันนี๋...เบบี๋ ไปด้วย)

ช่วงนี้ยุโรปอยู่ในช่วงใบไม้ผลิ ใกล้จะฤดูร้อนแล้ว อยากจะชวนเพื่อนๆมาเที่ยวที่ยุโรปกันค่ะ ดอกไม้สวยมาก
เราเอาทริปที่ไปมาเมื่อพฤษาคมปีที่แล้วมาแชร์ เผื่อเพื่อนๆอยากจะวางแผนมาเที่ยวกัน
ทริปนี้สามีบอกอยากจะไปเยี่ยมเพื่อนที่อิตาลี เมืองอยู่ใกล้ๆหอเอนเมืองปิซ่า เราก็รีบบอกนางเลยว่าเคยเจอใน AirBNB ว่ามีปราสาทให้พักได้ (ซึ่งจริงๆแล้วปราสาทที่เอาไปโชว์นางไม่ได้ใกล้เมืองนี้เลยสักนิด ห่างออกไปอีกตั้ง 350 กม. อิอิ) ด้วยความอยากมโนว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงอาศัยอยู่ในปราสาทสักครั้งก็อ้อนสามีจนนางยอมไปค่ะ
ขอเอารูปปราสาทมาโชว์ก่อนเลย ^^

แต่ก่อนจะถึงปราสาทของเรา ก็ต้องไปเยี่ยมเพื่อนนางก่อน...
ใครที่เคยไปเที่ยวหอเอนเมืองปิซ่ามาแล้วจะรู้ว่า ผู้คนช่างเยอะนัก และเราต้องมีความสามารถในการหามุมเพื่อแบกตึกได้อย่างแนบเนียบ มือไม่เกินเข้าไปในตึก หรือไม่ห่างออกจากตัวตึก และไม่ติดผู้คนมากนัก อิอิ

หอเอนเมืองปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี ความน่าสนใจอีกอย่างของหอเอนปิซาแห่งนี้คือการมาตามรอยกาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลก  เนื่องจากหอระฆังแห่งนี้นั้นเคยเป็นสถานที่ที่กาลิเลโอใช้ในการทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งในขณะนั้นเขาเรียนอยู่ที่มหาลัยปิซา โดยการทดลองนั้นทำโดยการใช้ลูกบอล 2 ลูกที่มีน้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมาเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งบอล 2 ลูกนั้นก็ได้ตกลงถึงพื้นพร้อมกันตามที่กาลิเลโอคาดการณ์ไว้นั่นเอง และที่สำคัญหอเอนเมืองปิซ่า เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วย ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย สาระมีเท่านี้กระทู้เรา 555

ดูจำนวนคนซะก่อน ธรรมดาที่ไหนกัน แล้วพอดูแต่ละคนโพสท่าคนละมุม ก็ตลกดีเหมือนกัน อิอิ
มีมุมอื่นๆด้วยนะ ที่ไม่เคยเห็นใครถ่ายมา เช่น รูปปั้นข้างๆ หรือม้าที่พาเที่ยวรอบๆ
หลังจากเราหลบผู้คนอยู่สักพัก ก็ได้มุมนี้มาค่ะ (กว่าจะได้มุมนี้ ขยับจนมือสั่นเลย 555)
ในรั้วเดียวกัน ไม่ได้มีเฉพาะหอเอนนะคะ ยังมีอื่นๆอีก
ก็หอเอนเนี๊ยะเป็นแค่หอระฆัง แต่ดังกว่าตัวโบสถ์ที่เป็นสถานที่หลัก เพราะว่ามันเอนแล้วไม่ล้มค่ะ
เอาภาพอีก 2 อาคารหลักมาฝากด้วยค่ะ
Battistero – หอศีลจุ่มเอาไว้ประกอบพิธีล้างบาปสำหรับเด็กเกิดใหม่หรือผู้ที่ต้องการเข้าศาสนาคริสต์
และ Pisa Cathedral – โบสถ์คาทอลิกแห่งเมืองปิซ่า เปิดให้ชมด้วยนะคะ แต่เราไม่ได้เข้าไป เพราะทุกคนที่ไปด้วยหน้าตาแบบไม่ไหวกับแดดแล้ว ร้อนมาก อ่อ ลืมบอกไป หอเอนเปิดให้ขึ้นไปชมบนยอดได้ด้วยนะคะ แต่ต้องซื้อตั๋วขึ้นไปค่ะ ราคาประมาณ 800 บาท แอบแพงอยู่นะ

มาถึงอิตาลีทั้งที ต้องไปกินพิซซ่าแบบดั้งเดิม เผาด้วยเตาถ่าน ร้านที่ไปเป็นร้านเล็กๆ ชือ IL Cappellaccio ถึงร้านจะเล็กแต่คนแน่นร้านมาก เห็นเพื่อนบอกว่าเป็นร้านดัง บางคนมาช้าถึงกับต้องต่อคิวเลยทีเดียว สิ่งที่น่าตกใจคือพิซซ่าถาดใหญ่มากกกกกก (ดูเทียบขนาดจากแก้วเบียร์ได้) มีขนาดเดียวไม่ต้องคิดมาก แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือคนฝรั่งนี่เค้าไม่นิยมกินแชร์กัน เลยสั่งกันคนละถาด เราไปกัน 6 คน สั่ง 6 ถาด และก็กินไม่หมดตามคาด 555
เช้าวันถัดมาเป็นจังหวะดีที่เรามาในวันหยุดสุดสัปดาห์ซึ่งเค้ามีตลาดนัดพอดีเลย เราเลยไปเดินช๊อปสักหน่อย
ตลาดนัดที่นี่คล้ายกับที่ไทย ขายพวกเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ กระเป๋าก๊อปเกรดเอ ต้นไม้ต่างๆ เราไม่ได้ซื้ออะไรมามากเพราะยังต้องเดินทางต่อ ไปแค่ดูบรรยากาศตลาดเค้าพอ แต่ก็ได้กระโปรงอินเดียมานะ สวยดี แต่ไม่ทน ซักไปสองทีขอบลุ่ยแล้ว ( T T )
ช่วงบ่ายเรามีไปเที่ยวเมืองเก่า...ลุกกา Lucca เมืองนี้จัดเป็นเมืองท่องเที่ยว มีร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆมาเปิดเยอะเลย แต่เมืองก็ยังคงความน่ารักอยู่มาก มีโบสถ์อยู่หลายแห่งในเมืองทั้งที่เมืองเล็ก (อันนี้งงเหมือนกันว่าทำไม) เราไปเยี่ยมชมโบสถ์ Chiesa di San Michele in Foro โบสถ์นี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 795  มีรูปปั้นของอัครเทวดามีคาเอลอยู่บนยอด และด้านล่างมีรูปปั้นของพระแม่มารีอา ซึ่งสร้างโดย Matteo Civitali เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงของเมือง ด้านในใหญ่โตสวยงาม
ด้านนอกยิ่งใหญ่อลังการมาก เห็นเทวดาบนยอดมั้ย นั่นแหละอัครเทวดามีคาเอล
นี่คือรูปปั้นพระแม่มารีอา ที่ปั้นโดยศิลปินของที่นี่
ด้านข้างโบสถ์จ้า จะเห็นว่าโบสถ์ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ดูคนที่นั่งอยู่สิตัวเล็กนิดเดียวเอง
ด้านในก็สวยไม่แพ้กัน ถึงแม้จะไม่ได้สวยแบบโบสถ์ใหญ่ๆในโรม แต่เรื่องความขลังนี่ไม่แพ้กันแน่นอน และใต้รูปพระเยซูก็มีพระศพอยู่ในแท่นนั้นด้วย (ถ้าเราจำไม่ผิดน่าจะเป็นพระศพของโป๊บท่านหนึ่ง) เพิ่มบรรยกาศความขลังเข้าไปอีก
พอออกมานอกโบสถ์ ก็เห็นรูปปั้นที่จตุรัสลานหน้าโบสถ์ ที่ไม่ได้เข้ากับสถาปัตยกรรมด้านหลังเลยสักนิด เพราะมีความโมเดิลแบบสุดๆ น่าจะเป็นศิลปินที่นำผลงานโชว์ที่จตุรัส ซึ่งรูปปั้นและฉากหลังมีความคอนทราสกันสุดๆ
ชมรอบๆ เมืองกันค่ะ บรรยากาศโดยรอบน่ารักมาก มีร้านอาหาร ร้านกาแฟเยอะมาก แต่ละร้านน่ารักทั้งนั้นเลย และภายในเมืองเก่านี่ เค้าเดินและขี่จักรยานกันเท่านั้น ต้องจอดรถไว้ที่จอดรถแบบเสียเงินค่าฝากรถหรือหาที่จอดแบบฟรีรอบๆถนนที่จอดได้ แต่หาที่จอดค่อนข้างยาก ถนนในเมืองเก่ามันเล็กไม่สะดวกให้ขับรถเข้ามาค่ะ
เรายังไม่จบกับเมืองเก่านะจ๊ะ ประเทศเก่าแก่มีประวัติอันยาวนาน ย่อมมีเมืองเก่าเยอะเป็นธรรมดา
ขอแนะนำเมืองเก่าอีกเมือง เป็นเมืองเล็กๆ เล็กกว่าเมืองก่อนหน้า ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว เมืองชื่อ La California ลา แคริฟอร์เนีย ถูกต้องแล้วค่า คนอ่านอาจจะงงนิดนึงว่านี่ยังอยู่อิตาลีใช่มั้ย ไม่ใช่อเมริกา ก็ถูกต้องอีก เรายังอยู่กันที่อิตาลีค่ะ แต่เมืองนี้ชื่อเหมือนแคลิฟอร์เนียที่อเมริกา เค้ามีเรื่องเล่าตลกๆที่มาของชื่อคือ ในสมัยก่อนคนจากตอนใต้ของอิตาลีต้องการจะเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย แล้วเรือที่พามาก็ขึ้นฝั่งที่นี่ และคิดว่าที่นี่เป็นแคลิฟอร์เนียจริงๆ แต่มารู้ภายหลัง ก็ตั้งรกรากอยู่ที่นี่แล้วใช้ชื่อแคลิฟอร์เนียไปซะเลย

ดูประตูทางเข้าเมืองนึกว่าปราสาทอัศวิน อิอิ


บรรยกาศในเมืองก็น่ารักไม่แพ้เมืองแรกนะคะ และเหมือนว่าเมืองนี้จะปลูกดอกไม้มากกว่าเมืองแรกซะอีก
ช่วงที่มาดอกไม้กำลังบานสวยมาก ช่วยตกแต่งให้ที่นี่ดูสดใสขึ้นเยอะเลย
จบแล้วกับภาระกิจเยี่ยมเพื่อนค่ะ จากนี้ก็ถึงปราสาทของเราสักที

ขอต่อในคอมเม้นนะคะ เพราะรูปเยอะมาก 5555
อาจถ่ายรูปไม่สวยแต่เราชอบถ่ายรูป อิอิ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่