//// “ทุกคนสมควรได้รับโอกาสแก้ไขชีวิตตนเอง”
สุรา อาชญากรรม ยาเสพติด ช่วยให้“เจมส์ โบเวน” Loser แห่งมหานครลอนดอนนอนหลับข้างถนนได้ในยามค่ำคืน และยังช่วยเขาให้ด้านชาจากความหนาวเย็นของอากาศและความโดดเดี่ยวในหัวใจ
9 เดือนที่เร่ร่อนอยู่ข้างถนนนั้น เจมส์หวิดตายจากเฮโรอีนอยู่หลายครั้ง แต่เจมส์ก็ไม่เคยคิดจะกลับไปในที่ที่ตนเดินจากมา ทำไมนะ??? ทำไม ฉันตั้งคำถามต่อเจมส์กี่ครั้งก็ขี้เกียจจะนับ แถมไม่มีการรามือให้ที่จะถากถางเขาอยู่ในทุกหน้ากระดาษที่เปิดผ่าน “Loser เอ๊ย!!!”
“การนอนข้างถนนในกรุงลอนดอนทำลายศักดิ์ศรีและความมีตัวตนของเรา ที่เลวร้ายที่สุดคือมันจะเปลี่ยนความคิดของผู้คนเกี่ยวกับตัวเรา พวกเขาเห็นเราอยู่ข้างถนนแต่ปฏิบัติกับเราราวกับว่าไม่มีตัวตน พวกเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรา ในไม่ช้าเราก็จะไม่มีเพื่อนแท้อยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเป็นคนเร่ร่อนเราก็แทบจะไม่มีทางเลือก” เจมส์ โบเวนตอบคำถามของฉันอย่างตรงไปตรงมา
คำตอบนั้นทำให้ฉันเห็นภาพตัวเองชัดแจ๋วราวกับมองในกระจก ฉันเป็นคนแบบนั้นไง เป็นคนที่ปฏิบัติกับคนเร่ร่อนราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน เป็นคนที่จะไม่ยื่นโอกาสให้พวกเขาแม้จะมี เป็นคนที่จะผลักไสให้ชีวิตพวกเขาไร้ทางเลือกที่แทบจะไม่มีเลย แล้วฉันผิดตรงไหนที่ฉันเป็นคนแบบนี้ ฉันถามเจมส์ โบเวนต่อไปอย่างไม่ลดละ
หลังปล่อยให้ตนเองใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างถนนมาปีกว่า ๆ องค์กรการกุศลสำหรับคนไร้บ้านส่งเจมส์เข้าไปอยู่ในบ้านพักผู้ด้อยโอกาส ซึ่งเขาต้องอาศัยอยู่ร่วมกับผู้ติดเฮโรอีนและโคเคน ทุกคนต่างขโมยของผู้อื่นอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา และแม้จะเข้ารับคำปรึกษาเพื่อบำบัดอาการติดยา แต่เจมส์รู้ตัวดีว่าท่ามกลางวังวนเช่นนี้เขาไม่มีโอกาสกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้อีกแน่นอน
การย้ายออกมาอยู่แฟลตเล็ก ๆ แบบที่คนธรรมดาเขาอยู่กัน เป็นก้าวแรกของการทวงชีวิตของตนคืนมา และการเล่นดนตรีเปิดหมวกในสวนสาธารณะทุกคืนก็ช่วยให้เจมส์มีชีวิตแบบคนธรรมดา มีเงินจ่ายค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า และมีอาหารการกิน ที่สำคัญแฟลตเล็ก ๆ แห่งนี้คือที่ที่เขาได้พบกันกับ “บ๊อบ” แมวส้มตัวนั้น
แมวสีส้ม ร้องดังเหมียวเสียงเศร้าๆ ในโถงทางเดินของแฟลตซึ่งเจมส์อาศัยอยู่ ในคืนวันที่อากาศยังหนาวและเขาเพิ่งกลับจากการเล่นดนตรีเปิดหมวก
แม้จะถูกชะตากันทันทีทั้งคนและแมว แต่ข้อกังวลนานาประการของเจมส์ อาทิ แมวตัวนี้มีเจ้าของอยู่ไหม หลงมาจากไหนหรือเปล่า ที่สำคัญคือ นักดนตรีเปิดหมวกที่กำลังเลิกยาเสพติดใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำแบบนี้ยังจะสามารถรับผิดชอบชีวิตใครหรือชีวิตใด ๆ ได้อีกหรือ
เจมส์ผ่านเลยแมวสีส้มตัวนั้นไป แม้ใจจะคัดค้านการกระทำของตัวเอง
“We don’t meet people by accident. They are meant to cross our path for a reason”
“ไม่มีหรอก...เรื่องบังเอิญ...ในโลกใบนี้ ทุกเรื่อง....มีวาระของมัน”
ถ้อยคำที่ว่า ช่างเหมาะกับสถานการณ์ของเจมส์กับบ๊อบที่สุดใน 3 โลก
บ๊อบ ยังคอยเจมส์อยู่ที่เดิมด้วยอาการบาดเจ็บ ด้วยอาการอ่อนล้า เจมส์ใช้เวลาถึง 2 วันจึงตัดสินใจยอมให้ “บ๊อบ”เข้ามาในห้องพักของเขา แล้ว “บ๊อบ”ก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเจมส์จากนั้นเป็นต้นมา
เขาเจียดเงินน้อยนิดที่มีพามันไปรักษาในคลินิกสงเคราะห์จนมันหายดี พามันไปทำหมัน พาหมันไปฝังไมโครชิป เลี้ยงดูมันเท่าที่กำลังของคนหาเช้ากินค่ำจะทำได้เพื่อให้มันเป็นแมวสีส้มสดใส และพามันติดตามเขาไปเล่นดนตรีเปิดหมวกด้วย
“การมีบ๊อบอยู่ด้วยทำให้ผมได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับผู้คน พวกเขาจะถามถึงบ๊อบและในขณะเดียวกันผมก็จะมีโอกาสอธิบายถึงสถานการณ์ของตัวเอง พวกเขาจะถามว่ามันมาจากไหน แล้วผมก็จะสามารถเล่าให้ฟังว่าเรามาเจอกันได้อย่างไร ช่วยกันหาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าอาหาร ค่าไฟ และค่าแก๊สยังไงบ้าง ผู้คนจะตั้งใจฟังผมมากขึ้น
การเห็นผมอยู่กับแมวทำให้คนเร่ร่อนอย่างผมดูอ่อนโยนลงในสายตาของพวกเขา มันทำให้ผมเป็นมนุษย์หลังจากที่เคยไม่มีชีวิตจิตใจมาก่อน ผมกำลังได้ตัวตนกลับคืนมา จากที่ไม่เคยมีใครเห็นความสำคัญ ตอนนี้ผมกำลังจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ”
การได้รู้สึกว่าตนเองก็เป็นมนุษย์นั้น ฉันเข้าใจว่ามันสำคัญต่อตัวตนของคนในการมีชีวิตต่อไป แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือมันมีความรู้สึกยังไงกันนะ ฉันก็คิดของฉันไปเองตามประสาว่าการใช้ชีวิตบนท้องถนนเป็นเรื่องง่าย แต่เจมส์ โบเวนทำให้ฉันเข้าใจและเห็นภาพชัดว่า “มันไม่ง่าย” และเมื่อการใช้ชีวิตบนท้องถนนมันไม่ใช่เรื่องง่าย ก็อย่าไปคิดว่าการเลิกใช้ชีวิตแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ “ง่าย ๆ” เจมส์ โบเวนพยายามหาอาชีพอื่นทำเพื่อให้มีรายได้มากพอสำหรับเลี้ยงตัวเองและบ๊อบ และการตัดสินใจเลิกยาเสพติดขั้นเด็ดขาดนั่นอย่างไรที่เจมส์ทำให้คนแบบฉันรู้สึกผิดที่ไปพิพากษาคนแบบเขา
48 ชั่วโมงที่เจมส์ โบเวนอยู่กับอาการถอนยา ในภาวะที่ทรมานขนาดนั้นความอ่อนแอมักจะกำชัยชนะไว้เสมอ จิตใต้สำนึกพยายามชักจูงเขาว่ากลับมาใช้ยาอีกครั้งก็น่าจะดีกว่าทนทุกข์ทรมานอยู่กับอาการถอนยาแบบนี้ แต่แมวบ๊อบอยู่ตรงนั้น ตรงที่เจมส์ โบเวนเข้า ๆ ออก ๆ ในโลกของภาพหลอน แล้วเสียงครางเบา ๆ ของบ๊อบก็เชื่อมเขาไว้กับโลกแห่งความจริง บ๊อบทำให้เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ นั่นก็ทำให้คนแบบฉันแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เปล่าหรอกหนา ฉันไม่ได้ซาบซึ้งในความรักที่มีต่อกันของคนกับแมวที่เขาพรรณาไว้ในหนังสือ แต่ฉันนับถือความกล้าหาญของ Loser ที่พยายามจะกลับไปมีชีวิตที่เขาเคยขว้างทิ้งไป พยายามจะขอโอกาสแม้รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีวันได้จากใครเลยก็ตาม การแสดงความสำนึกผิดโดยพยายามกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นนั้น
If this isn’t courage, I don’t know what is. นี่แหละความกล้าหาญที่แท้ทรู
ความงดงามของเรื่องราวแบบนี้ไม่ว่าคะแนนจะเต็มเท่าไหร่ เอาไปเท่านั้น หรือถ้าให้ได้มากกว่านั้นฉันก็จะให้ เรื่องราวของเจมส์ โบเวนและบ๊อบ แมวเตะฝันข้างถนนสอนฉันว่า “ทุกคนสมควรได้รับโอกาสแก้ตัว” และฉันก็จะพยายามไม่น้อยไปกว่าเจมส์ โบเวน ในการมองคนอื่น เห็นคนอื่น “เป็นคน” เท่าเทียมกับที่ฉันเป็น ไม่ว่าคนอื่นเหล่านั้นจะเป็นพระราชาหรือว่าคนไร้บ้านก็ตาม
“มันอาจไม่สัมฤทธิผลในวันนี้ วันพรุ่งนี้ แต่ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการเริ่มต้น” ฉันว่าอย่างนั้น
#บ๊อบแมวเตะฝันข้างถนน : #AStreetCatNamedBob
#เจมส์โบเวน : เขียน #ธิดารัตน์เจริญชัยชนะ : แปล
#Springbooks 2557
[CR] รีวิวหนังสือ "บ๊อบแมวเตะฝันข้างถนน"
สุรา อาชญากรรม ยาเสพติด ช่วยให้“เจมส์ โบเวน” Loser แห่งมหานครลอนดอนนอนหลับข้างถนนได้ในยามค่ำคืน และยังช่วยเขาให้ด้านชาจากความหนาวเย็นของอากาศและความโดดเดี่ยวในหัวใจ
9 เดือนที่เร่ร่อนอยู่ข้างถนนนั้น เจมส์หวิดตายจากเฮโรอีนอยู่หลายครั้ง แต่เจมส์ก็ไม่เคยคิดจะกลับไปในที่ที่ตนเดินจากมา ทำไมนะ??? ทำไม ฉันตั้งคำถามต่อเจมส์กี่ครั้งก็ขี้เกียจจะนับ แถมไม่มีการรามือให้ที่จะถากถางเขาอยู่ในทุกหน้ากระดาษที่เปิดผ่าน “Loser เอ๊ย!!!”
“การนอนข้างถนนในกรุงลอนดอนทำลายศักดิ์ศรีและความมีตัวตนของเรา ที่เลวร้ายที่สุดคือมันจะเปลี่ยนความคิดของผู้คนเกี่ยวกับตัวเรา พวกเขาเห็นเราอยู่ข้างถนนแต่ปฏิบัติกับเราราวกับว่าไม่มีตัวตน พวกเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรา ในไม่ช้าเราก็จะไม่มีเพื่อนแท้อยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเป็นคนเร่ร่อนเราก็แทบจะไม่มีทางเลือก” เจมส์ โบเวนตอบคำถามของฉันอย่างตรงไปตรงมา
คำตอบนั้นทำให้ฉันเห็นภาพตัวเองชัดแจ๋วราวกับมองในกระจก ฉันเป็นคนแบบนั้นไง เป็นคนที่ปฏิบัติกับคนเร่ร่อนราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน เป็นคนที่จะไม่ยื่นโอกาสให้พวกเขาแม้จะมี เป็นคนที่จะผลักไสให้ชีวิตพวกเขาไร้ทางเลือกที่แทบจะไม่มีเลย แล้วฉันผิดตรงไหนที่ฉันเป็นคนแบบนี้ ฉันถามเจมส์ โบเวนต่อไปอย่างไม่ลดละ
หลังปล่อยให้ตนเองใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างถนนมาปีกว่า ๆ องค์กรการกุศลสำหรับคนไร้บ้านส่งเจมส์เข้าไปอยู่ในบ้านพักผู้ด้อยโอกาส ซึ่งเขาต้องอาศัยอยู่ร่วมกับผู้ติดเฮโรอีนและโคเคน ทุกคนต่างขโมยของผู้อื่นอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา และแม้จะเข้ารับคำปรึกษาเพื่อบำบัดอาการติดยา แต่เจมส์รู้ตัวดีว่าท่ามกลางวังวนเช่นนี้เขาไม่มีโอกาสกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้อีกแน่นอน
การย้ายออกมาอยู่แฟลตเล็ก ๆ แบบที่คนธรรมดาเขาอยู่กัน เป็นก้าวแรกของการทวงชีวิตของตนคืนมา และการเล่นดนตรีเปิดหมวกในสวนสาธารณะทุกคืนก็ช่วยให้เจมส์มีชีวิตแบบคนธรรมดา มีเงินจ่ายค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้า และมีอาหารการกิน ที่สำคัญแฟลตเล็ก ๆ แห่งนี้คือที่ที่เขาได้พบกันกับ “บ๊อบ” แมวส้มตัวนั้น
แมวสีส้ม ร้องดังเหมียวเสียงเศร้าๆ ในโถงทางเดินของแฟลตซึ่งเจมส์อาศัยอยู่ ในคืนวันที่อากาศยังหนาวและเขาเพิ่งกลับจากการเล่นดนตรีเปิดหมวก
แม้จะถูกชะตากันทันทีทั้งคนและแมว แต่ข้อกังวลนานาประการของเจมส์ อาทิ แมวตัวนี้มีเจ้าของอยู่ไหม หลงมาจากไหนหรือเปล่า ที่สำคัญคือ นักดนตรีเปิดหมวกที่กำลังเลิกยาเสพติดใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำแบบนี้ยังจะสามารถรับผิดชอบชีวิตใครหรือชีวิตใด ๆ ได้อีกหรือ
เจมส์ผ่านเลยแมวสีส้มตัวนั้นไป แม้ใจจะคัดค้านการกระทำของตัวเอง
“We don’t meet people by accident. They are meant to cross our path for a reason”
“ไม่มีหรอก...เรื่องบังเอิญ...ในโลกใบนี้ ทุกเรื่อง....มีวาระของมัน”
ถ้อยคำที่ว่า ช่างเหมาะกับสถานการณ์ของเจมส์กับบ๊อบที่สุดใน 3 โลก
เขาเจียดเงินน้อยนิดที่มีพามันไปรักษาในคลินิกสงเคราะห์จนมันหายดี พามันไปทำหมัน พาหมันไปฝังไมโครชิป เลี้ยงดูมันเท่าที่กำลังของคนหาเช้ากินค่ำจะทำได้เพื่อให้มันเป็นแมวสีส้มสดใส และพามันติดตามเขาไปเล่นดนตรีเปิดหมวกด้วย
“การมีบ๊อบอยู่ด้วยทำให้ผมได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับผู้คน พวกเขาจะถามถึงบ๊อบและในขณะเดียวกันผมก็จะมีโอกาสอธิบายถึงสถานการณ์ของตัวเอง พวกเขาจะถามว่ามันมาจากไหน แล้วผมก็จะสามารถเล่าให้ฟังว่าเรามาเจอกันได้อย่างไร ช่วยกันหาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้อง ค่าอาหาร ค่าไฟ และค่าแก๊สยังไงบ้าง ผู้คนจะตั้งใจฟังผมมากขึ้น
การเห็นผมอยู่กับแมวทำให้คนเร่ร่อนอย่างผมดูอ่อนโยนลงในสายตาของพวกเขา มันทำให้ผมเป็นมนุษย์หลังจากที่เคยไม่มีชีวิตจิตใจมาก่อน ผมกำลังได้ตัวตนกลับคืนมา จากที่ไม่เคยมีใครเห็นความสำคัญ ตอนนี้ผมกำลังจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ”
การได้รู้สึกว่าตนเองก็เป็นมนุษย์นั้น ฉันเข้าใจว่ามันสำคัญต่อตัวตนของคนในการมีชีวิตต่อไป แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือมันมีความรู้สึกยังไงกันนะ ฉันก็คิดของฉันไปเองตามประสาว่าการใช้ชีวิตบนท้องถนนเป็นเรื่องง่าย แต่เจมส์ โบเวนทำให้ฉันเข้าใจและเห็นภาพชัดว่า “มันไม่ง่าย” และเมื่อการใช้ชีวิตบนท้องถนนมันไม่ใช่เรื่องง่าย ก็อย่าไปคิดว่าการเลิกใช้ชีวิตแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ “ง่าย ๆ” เจมส์ โบเวนพยายามหาอาชีพอื่นทำเพื่อให้มีรายได้มากพอสำหรับเลี้ยงตัวเองและบ๊อบ และการตัดสินใจเลิกยาเสพติดขั้นเด็ดขาดนั่นอย่างไรที่เจมส์ทำให้คนแบบฉันรู้สึกผิดที่ไปพิพากษาคนแบบเขา
48 ชั่วโมงที่เจมส์ โบเวนอยู่กับอาการถอนยา ในภาวะที่ทรมานขนาดนั้นความอ่อนแอมักจะกำชัยชนะไว้เสมอ จิตใต้สำนึกพยายามชักจูงเขาว่ากลับมาใช้ยาอีกครั้งก็น่าจะดีกว่าทนทุกข์ทรมานอยู่กับอาการถอนยาแบบนี้ แต่แมวบ๊อบอยู่ตรงนั้น ตรงที่เจมส์ โบเวนเข้า ๆ ออก ๆ ในโลกของภาพหลอน แล้วเสียงครางเบา ๆ ของบ๊อบก็เชื่อมเขาไว้กับโลกแห่งความจริง บ๊อบทำให้เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ นั่นก็ทำให้คนแบบฉันแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เปล่าหรอกหนา ฉันไม่ได้ซาบซึ้งในความรักที่มีต่อกันของคนกับแมวที่เขาพรรณาไว้ในหนังสือ แต่ฉันนับถือความกล้าหาญของ Loser ที่พยายามจะกลับไปมีชีวิตที่เขาเคยขว้างทิ้งไป พยายามจะขอโอกาสแม้รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีวันได้จากใครเลยก็ตาม การแสดงความสำนึกผิดโดยพยายามกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นนั้น
If this isn’t courage, I don’t know what is. นี่แหละความกล้าหาญที่แท้ทรู
ความงดงามของเรื่องราวแบบนี้ไม่ว่าคะแนนจะเต็มเท่าไหร่ เอาไปเท่านั้น หรือถ้าให้ได้มากกว่านั้นฉันก็จะให้ เรื่องราวของเจมส์ โบเวนและบ๊อบ แมวเตะฝันข้างถนนสอนฉันว่า “ทุกคนสมควรได้รับโอกาสแก้ตัว” และฉันก็จะพยายามไม่น้อยไปกว่าเจมส์ โบเวน ในการมองคนอื่น เห็นคนอื่น “เป็นคน” เท่าเทียมกับที่ฉันเป็น ไม่ว่าคนอื่นเหล่านั้นจะเป็นพระราชาหรือว่าคนไร้บ้านก็ตาม
“มันอาจไม่สัมฤทธิผลในวันนี้ วันพรุ่งนี้ แต่ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการเริ่มต้น” ฉันว่าอย่างนั้น
#บ๊อบแมวเตะฝันข้างถนน : #AStreetCatNamedBob
#เจมส์โบเวน : เขียน #ธิดารัตน์เจริญชัยชนะ : แปล
#Springbooks 2557
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้