มันเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว..สมัยที่ผมยังเป็นหนุ่มน้อยริรักแรกเมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม
มันเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว..สมัยที่ผมยังเป็นหนุ่มน้อยริรักแรกเมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม
สมัยที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงทุกหมู่บ้าน ถนนหนทางยังโรยกรวดสีแดง สัญญานโทรศัพท์ยังต้องใช้เสาโทรเลขเป็นเส้นทางลำเลียงเสียงอยู่เลย
บุคคลที่กล่าวถึงในเรื่องนั้นก็มีอยู่จริง หากแต่เปลี่ยนชื่อไปบ้าง
แต่เชื่อว่าถ้าพวกเขาได้มาอ่านเรื่องนี้ เขาต้องจำได้แน่นอนว่าเป็นเขา

ตอนนั้น ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยม มีเพื่อนสนิทมากอยู่ประมาณห้าหกคน
เราเรียนอยู่ในโรงเรียนชายล้วน จับกลุ่มกันไปเดินเที่ยวห้างบ้าง ไปดูหนังบ้าน และไปเหล่สาวบ้าง
คำว่า "เหล่สาว" เป็นคำฮิตสมัยนั้น..อันหมายถึงการไปแอบดูหญิงงามต่างโรงเรียน
ด้วยความเพียรพยายามของเพื่อนผมคนหนึ่ง ก็สามารถพิชิตใจนักเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งจนได้
พวกที่เหลือรวมทั้งผมต่างก็อิจฉา ขอให้มันช่วยบอกแฟนของมันให้พาเพื่อน ๆ ของเธอมาให้เรารู้จักบ้าง
เพื่อนคนที่ว่าก็แน่เหมือนกัน ชักจูงเพื่อนของแฟนมาได้กลุ่มหนึ่ง นัดกันที่สยามสแควร์ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสถานที่เดียวที่วัยรุ่นจะต้องนัดเจอกันในสมัยนั้น
ต่างก็ทำความรู้จัก บ้างก็แสดงออกนอกหน้าว่าชอบ บ้างก็รู้สึกเฉย ๆ
ส่วนผม ..ติดใจในความน่ารักของสาวน้อยนางหนึ่ง
แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกไว้ ด้วยรู้ตัวดีว่าคงไม่สมหวังเป็นแน่  เพราะเธอสวยเกินความหล่อของผมไปมาก
การชอบใครสักคนแต่ไม่กล้าแสดงออก เป็นความรู้สึกที่ใครไม่เคยจะไม่รู้
อกแทบระเบิดกันทีเดียว

กลุ่มของเราและของพวกเธอคบกันได้ระยะหนึ่ง บ้างก็ในฐานะเพื่อน บ้างก็ในฐานะแฟน
พากันไปเที่ยวทะเลเช้าไปเย็นกลับ พากันไปเที่ยวเธคเต้นรำกันตามโอกาสที่พ่อแม่จะอนุญาต
นับว่าสนิทกันในระดับหนึ่ง จนผมกล้าเอ่ยปากชวนพวกเธอไปเที่ยวค้างคืนที่ต่างจังหวัดซึ่งเป็นบ้านยายของผมเอง อยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี
บอกพวกเธอและเพื่อน ๆ ว่าที่นั่นเต็มไปด้วยธรรมชาติของท้องนาท้องไร่ มีคลองชลประทานให้กระโดดเล่นน้ำได้ทั้งวัน อีกทั้งยังมีบึงมีสระน้ำให้ตกปลาได้อีกต่างหาก
ทุกคนสนใจ จะเพราะความชอบหรือเพราะความเกรงใจผมก็ไม่รู้ล่ะ นัดหมายได้ตรงกันได้ในช่วงปิดเทอม กะว่าจะไปค้างซักสองคืนแล้วค่อยกลับ
สมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้ การมีช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันในสถานที่ที่แปลกใหม่ดูจะเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคู่รักจะต้องหาโอกาสนั้นให้ได้
ไม่เหมือนสมัยนี้แค่โทรศัพท์เครื่องเดียวก็แทนความในใจได้ทั้งหมดแล้ว

เราไปนั่งรถบขส.ที่ตลาดหมอชิต จำได้ว่าหลังจากซื้อตั๋วแล้ว พวกเราพากันขึ้นไปนั่งครองส่วนท้ายของรถคันนั้นทั้งสิบคน คุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทาง

สิบคนที่ไปด้วยกัน แบ่งเป็นหญิงห้า ชายห้า อายุอานามไล่เรี่ยกัน

ตอนนั้นเราขึ้นรถประมาณหกโมงเย็น กว่ารถจะออกจากตลาดหมอชิตได้ก็ร่วมหนึ่งทุ่ม

รถวิ่งออกไปนานพอสมควร พวกเราเฮฮากันด้วยเสียงไม่ดังนัก เพราะเกรงใจผู้โดยสารคนอื่น บางคนเริ่มหลับนก บางคนมองออกไปนอกรถ ปล่อยให้ใบหน้ารับลมเย็นยามค่ำคืนจนผมเผ้าปลิวไสว คนที่ผม "ชอบ" อยู่นั้น เธอก็กำลังทำอย่างนั้นเช่นกัน

เธอมีชื่อว่า "แก้ว" ครับ เธอสวยมาก ใบหน้าของเธอสวยเย็น ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก ทั้งหวาน ทั้งเศร้า ทั้งน่ารัก ทั้งน่าทนุถนอม ตากลมแป๋ว ไว้ผมม้า เครื่องเคราหน้าตาช่างพอเหมาะพอดีเสียทุกสัดส่วน

ผมชอบมองใบหน้าผู้หญิงที่กำลังปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติ ไม่มีจริตไม่มีมารยา ทุกอย่างใสบริสุทธิ์จนผมแอบอมยิ้มไปโดยไม่รู้สึกตัว

รถวิ่งมาแล้วเกือบสามชั่วโมง ก็เข้าตัวจังหวัดสิงห์บุรี ผมบอกให้เพื่อน ๆ เตรียมตัว อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงที่หมาย ซึ่งห่างจากตัวเมืองไม่ไกลเท่าไหร่

ในขณะที่พวกเรากำลังหยิบกระเป๋าซึ่งใส่ไว้บนชั้นเหนือศีรษะแก้วก็ถามผมเบา ๆ ว่า
"ต่อ.." เป็นชื่อเล่นของผมน่ะครับ "-นายจำได้แน่หรือว่าจะลงที่ไหน ฉันไม่เห็นจะมีอะไรให้สังเกตได้เลย มืดมิดเหมือนกันไปหมดอย่างนี้"

"จำได้สิ เคยมาตั้งแต่เล็กจนโต แล้วอีกอย่างเราบอกกระเป๋ารถไว้แล้ว ว่าถึงวัดพระนอนแล้วให้บอกด้วย เราเลยจากวัดนั้นไปไม่ไกลหรอก ข้างทางจะเป็นศาลาทาหลังคาสีส้ม ตรงข้ามจะเป็นทางเดินเข้าวัดยาง บ้านยายของเราเลยวัดไปนิดเดียว..ทำไมล่ะ กลัวหลงเหรอ?"

แก้วส่ายหน้า ผมที่ปรกหน้าผากสะบัดตามไปด้วย "เปล่า..แค่เป็นห่วงเท่านั้น"
ผมอยากจะพูดอะไรมากกว่านั้น..แต่ก็ไม่กล้า เชื่อไหมว่าแม้จะรู้จักกันมานานพอสมควร แต่ผมก็ยังไม่ค่อยกล้าได้คุยกับเธอตรง ๆ ยาว ๆ สักที
มันอึกอักอย่างไงบอกไม่ถูก

เมื่อถึงที่หมาย พวกเราลงจากรถเรียงแถวตามลำดับไหล่แยกชายหญิงอย่างเด่นชัด ผมเหลือบมานาฬิกามันบอกเวลาว่าสี่ทุ่มกว่าจะห้าทุ่มแล้ว แม้จะยังไม่ดึกนักแต่ที่บ้านนอกหรือชนบทนั้นเวลาอย่างนี้ถือว่าดึกมาก ไม่มีบ้านสักหลังที่เปิดไฟ แม้แต่ป้ายหน้าวัดยางนั้นก็มืด แม้จะไม่สนิทนัก แต่ก็ยังมืดอยู่ดี

หนุ่มน้อยและสาวน้อยรวมสิบคน เก้กังกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินเรียงแถวกันข้ามถนน โดยมีผมเป็นผู้นำในฐานะเจ้าของสถานที่

ผมพาพวกเราเดินเข้าไปในทางที่ทอดไปสู่วัดยาง สายลมกรูเกรียวค่อนข้างหนาวพัดมาเป็นระยะ
ความมืดทำให้เห็นหมู่ต้นไม้ยืนตะคุ่มเป็นหย่อม ๆ รายล้อมตัวเรา บ้างต่ำบ้างสูง
บ้างแผ่กว้างบ้างยื่นกิ่งก้านเงื้อง่าคล้ายแขนคนกวักมือหยอย ๆ
เดินไปได้ไม่ถึงร้อยเมตร ขบวนแถวก็แปรเป็นขบวนกลุ่ม
เพราะไม่มีใครจะยอมอยู่หลังเป็นคนสุดท้าย หนทางข้างหน้าก็มืดมิด ไฟฉายก็มีเพียงกระบอกเดียวที่ผมถืออยู่
ลำแสงลำจิ๊ดเดียววับแวบไปมาด้วยเพระคนถือไม่กล้าส่องไกล เกรงจะส่องไปเห็นอะไรเข้า

"เฮ้ย..ไอ้ต่อ..ทำไมมันน่ากลัวอย่างงี้วะ รู้งี้มาตอนกลางวันดีกว่า"
เป็นเสียงแหบแหบของเพื่อนผมคนหนึ่ง ชื่อวิโรจน์ หน้าตาหล่อเหมือนแขกขาว เป็นที่เอ็นดูจากสาว ๆ เป็นพิเศษ
แต่ที่ผมเห็นตอนนั้นก็คือใบหน้าอันหล่อเหล่านั้นมีแต่ตาเหลือกขาวล่อกแล่กไปมา

"เอ็งต้องโทษไอ้นพนี่ กว่าจะเสด็จได้ก็เกือบเย็น.." ผมหันไปทาง "นพ" ผู้ซึ่งเป็นตี๋แทบร้อยเปอร์เซนต์
ผิวขาวยังกะหยวกตาตี่ขีดเป็นเส้นดินสอเส้นเดียว มันเถียงเบา ๆ ว่า "ก็พ่อข้าให้ช่วยทำงานก่อนนี่หว่า.."
คุณพ่อของเขาเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมเล็ก ๆ ครับ อยู่แถวทุ่งครุนี่เอง

"ว่าแต่ว่า เมื่อไหร่จะถึง ทำไมเดินเข้ามาลึกอย่างนี้"
"แล้วทำไมไม่เห็นมีใครออกมารับ?" เป็นเสียงของ "นา" สาวสวยอีกคนหนึ่ง ที่ผมรู้สึกว่าเธอออกจะห้าวคล้ายผู้ชายอยู่สักหน่อย เธอถามด้วยเสียงตำหนิเต็มที่
แต่ก่อนที่ผมจะตอบว่าอะไร "แก้ว" สาวน้อยในใจผมก็ขัดขึ้นเรียบ ๆ ว่า
"จะบ่นไปทำไมนะ รีบเดิน ๆ เข้าดีกว่า มัวเถียงกันอยู่ได้"

ทุกคนเห็นจริงตามนั้น
นอกจากความเงียบแล้วยังมีเสียงลมหายใจของพวกเราสิบคนดังฟืดฟาดผสมกับเสียงจิ้งหรีดเรไรที่กรีดร้องไม่หยุดหย่อน นาน ๆ ครั้งจะมีเสียงหมาเห่าดังมาแต่ไกล

ให้ตายเถอะ ทำไมถึงไม่มีบ้านคนอยู่เลย??
ผมจำได้ว่าเลยปากทางเข้าวัดมาได้ไม่ไกล จะต้องมีบ้านของลุงเวกคนรู้จักอยู่ทางซ้ายมือ ถัดไปอีกไม่เกินร้อยเมตร จะต้องเป็นบ้านของป้าขาว เพื่อนสนิทของแม่ แต่นี้เดินมาเกือบกิโลแล้วยังไม่เห็นวี่แววสักนิด

แต่ผมยังไม่เปิดปากพูดออกไป กลัวเพื่อน ๆ จะเสียขวัญกันไปมากกว่านี้ อาจจะเป็นได้ว่าทั้งลุงเวกและป้าขาวต่างย้ายบ้านไปหมดแล้ว หรือไม่ก็ความมืดทำให้ผมมองไม่เห็นบ้านที่ว่าก็เป็นได้

สองข้างทางเวลานั้นรกครึ้มไปด้วยป่าละเมาะ มองดูบนฟ้าเห็นจันทร์ลอยเด่นแต่หม่นแสงทั้ง ๆ ที่ไม่มีเมฆมาบดบัง
ดวงดาวใหญ่น้อยส่งแสงมาช่วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
วิบวับวิบวับคล้ายดวงไฟที่ไส้กำลังจะขาดอย่างไงอย่างงั้น

ลมกลางคืนพัดวูบมาอีกครั้ง พร้อมกับเสียงเห่าของหมาที่มองไม่เห็นตัว
พวกเราบีบวงล้อมของกลุ่มให้เล็กเข้ามา มีมือเย็น ๆ มาจับหมับเข้าที่มือของผมจนผมใจหาย หันไปมองเห็นเป็นมือของแก้ว เธอเบิกตาโพลง เม้มริมฝีปาก มองไกลออกไปยังหนทางเดินข้างหน้า

เป็นสัมผัสแรกที่ผมได้รับจากเธอ..
ช่างอบอุ่นและให้รู้สึกภาคภูมิใจเป็นยิ่งนัก ผมคงเป็นที่พึ่งของเธอได้ อย่างน้อยก็ยามนี้
ผมอยากจะคว้ามือนั้นมากุมไว้ใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้า

ด้วยความฮึกเหิม ผมส่งเสียงจุ๊จุ๊เสียงลั่น เพื่อให้หมาที่ส่งเสียงอยู่นั้นหยุดเห่า ได้ผล มันเงียบไป ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น
ตามมาด้วยเสียงหงีดงิ๋ง แล้วเสียงหอนโหยหวนชนิดเยือกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ

พวกเราทุกคนหยุดกึก มือไม้เกาะกุมกันยั้วเยี้ย
"เฮ่ย..ท่าจะไม่ได้เรื่องแล้วงัย ถอยหลังกลับยังทันนาโว้ย ไอ้ต่อ.." สุนัย เพื่อนอีกคนหนึ่งของผมพูดเสียงกระเส่าหวาดกลัว หมอนี่เรื่องตีรันฟันแทนไม่เคยยั่น แต่เรื่องผีสางแม่นางโกงนี่เก่งกว่า วิ่งได้เร็วกว่าใครเขาเพื่อน

"มาได้ครึ่งทางแล้วน่า..จะไปกลัวอะไรวะ พวกเรามีเยอะแยะ เดินอีกหน่อยก็ถึงแล้ว" ผมบอกออกไป ทั้งที่อีกใจหนึ่งนั้นบอกกับตัวเองว่าอีกไกลนัก ต้องผ่านหน้าวัด ผ่านสวนมะม่วงของป้าแหนบ ทะลุสวนกล้วยเล็ก ๆ ของใครไม่รู้อีกทีหนึ่ง ถึงจะทะลุถึงบ้านยาย

เสียงหมายังหอนอยู่อย่างนั้น ใครไม่เคยได้ยินเสียงจริง ๆ รับรองว่าจะนึกถึงความสยองพองขุมขนได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบ มันเยือกเย็นแผ่ซ่านเข้าไปในไขกระดูก ดังกระชั้นไล่หลังแล้วเลยไปข้างหน้า เปลี่ยนทางมาทางขวาทั้งใกล้และไกล เหมือนพวกมันพร้อมใจกันโก่งคอหอนพร้อมพร้อมกันนับสิบตัวด้วยความสามัคคี

พวกเราก้าวเดินต่อไป ประตูทางเข้าวัดเห็นตะคุ่มอยู่ข้างหน้า
ต่างก็เดินตัวลีบขยับชิดไปทางด้านซ้าย เพราะหน้าวัดอยู่ด้านขวา
มองเข้าไปในวัดที่สุดวังเวงนั้น เห็นยอดเมรุทะมึนอยู่ ด้านข้างนั้นเป็นศาลาสวดศพ ลึกเข้าไปหลังกุฏิพระนั่นย่อมต้องเป็นโกดังเก็บศพแน่แล้ว

ผมกลั้นหายใจขณะเดินผ่านวัด และก็เชื่อว่าเพื่อน ๆ ที่มาด้วยก็คงจะหายใจไม่สะดวกปอดเหมือนกับผม เราทุกคนเงียบกริบ
มือเย็นชืดนั้นยังเกาะอยู่ที่ข้อมือ กำแน่นจนรู้สึกได้ถึงอาการหวาดกลัวของเธอที่ทวีขึ้นทุกขณะ
กำแพงวัดนั้นก็ดูเหมือนจะยาวไม่มีสิ้นสุด หมาก็ยังส่งเสียงอยู่อย่างนั้น จริง ๆ แล้วผมเป็นคนรักหมา แต่ตอนนั้นผมรับรองว่าถ้ามีหมาตัวใดโผล่ออกมาให้เห็น ผมต้องไล่เตะมันแน่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่