ผมเริ่มจากศูนย์ และติดลบมีลูกอ่อน เรียกว่า ชีวิตแย่มากๆ แต่เก็บเกียว ปัญญา ความรู้ ความสามารถ ไว้เต็มกระบุง ก่อนหน้านั้น ที่สามารถพลิกฐานะครอบครัวได้ ตลอดมา 20 กว่าปีที่ผ่านมา และยังสามารถมีรายได้ยาวไปอีกแม้เกษียณ (ทุนพื้นฐานที่เป็นเฉพาะตัวติดตัวจากการปฏิบัติธรรม คือ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นพื้น มีศีล มีขันติ อดทน และจบ ป.ตรีวิทยาศาสตร์)
ทุนนั่นก็คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบใหญ่ควบคุมได้เกือบทั้งบริษัท ที่พัฒนาโครงสร้างระบบได้สมบูรณ์ด้วยตนเอง เมื่อ 23-24 ปีที่แล้ว แต่ผมเริ่มจากไม่มีความรู้คอมพิวเตอร์ คือเป็น 0 ก่อนหน้านั้นไปอีกประมาณ 6 ปี เริ่มจากได้งานไปดูแลโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์เบื้องต้น พวก เวิอร์ดจุฬา Lotus Dbase เรียนรู้ด้วยตนเอง จนเป็นครูสอนเอง หัดเขียนโปรแกรม Dbase ฝันว่าจะไปเป็นโปรแกรมเมอร์ เพื่อทำให้ครอบครัวดีขึ้น เผือลูกที่ยังเล็ก
เปลี่ยนงานเขาไม่รับเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่รับเป็นชับพอร์ตสอนโปรแกรมพื้นฐาน Windows 3.1 และ Officse(Word Excel อื่นๆ) ให้กับลูกค้าที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็เอาเพราะเงินเดือนดีขึ้นจากเดิม แต่เมื่อกลับถึงห้องเช่า ผมก็หัดเขียนโปรแกรม Foxpro บน Dos ถึงเที่ยงคืนทุกวัน และไปสอนคอมพิวเตอร์เบื้องต้นเป็นรายได้เสริม แต่รวมๆ แล้วยังได้เงินเพียงกระติสเดียว ต้องรัดเข็มขัดอย่างหนักเมื่อต้องการซื้อผ่อนคอนโดหรือบ้านเล็กๆ ชั้นเดียวในราคา 2.4 แสน หรือ 4.7 แสน
โชคช่วยเมื่อผมโดนไล่ออกจากงาน มันเป็นนโยบายของบริษัทขายคอมพิวเตอร์นั้นเอง เหมือนเป็นกับดัก คือรับเด็กจบใหม่หรือคนใหม่ในส่วนของชับพอร์ตโปรแกรมพื้นฐาน เริ่มต้นทำไปปีกว่าก็ไล่ออกแล้วรับใหม่ ช่วงผมเข้ามาใหม่ก็โดนให้อีกไป 2 คน ผมก็งง แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก รับมาใหม่ 1 คน ผมทำไปเกือบปี เพือนร่วมงานผมโดนให้ออก รับคนใหม่มาอีก 1 คน ปลายปีถึงคิวผมโดนให้ออก แบบไม่ทันทั้งตัวเหมือนคนเก่า ผมแทบเป็นลมในตอนนั้นเมื่อคิดถึงค่าใช้จ่ายลูก และผ่อนดาวบ้านหลังเล็กชั้นเดียวที่ยังไม่ได้อยู่ ด้วยสมัยนั้นยังไม่มีกฏหมายแรงงานที่ควบคุมได้
ผมต้องรีบหางานใหม่ เพื่อนร่วมงานเก่าจึงบอกให้ไปทำงานกับเขา ได้ไปเป็นฃับพอร์ตโปรแกรมระบบห้าง และ POS นั้นแหละที่ผมทำงานไปหัดเขียนโปรแกรมไป ใช้เวลา 3 ปี จนได้ระบบใหญ่ทั้งระบบของตนเอง ที่เขียนด้วย Foxpro บน Dos และได้ทดลองขายใช้จริง จนมั่นใจว่าใช้ได้ ผมต้องเลือกว่าต้องเปิดธุรกิจของตนเอง หรือไปเป็นระดับบริหารให้กับบริษัท เมื่อ 24 ปี ที่แล้ว แต่สุขภาพผมแย่มากๆ ภรรยาบอกว่าถ้าผมีลูกค้าเพียง 5 ที่ ร่างกายผมก็ไม่ใหวแล้ว คงไปไม่รอดในเรื่องสุขภาพ หางานบริหารบริษัทเดียวดีกว่า จึงตัดสินใจหางาน เป็นผู้จัดการคอมพิวเตอร์ .
นั้นแหละโครงสร้างโปรแกรมระดับใหญ่ทั้งหมดที่ผมพัฒนาไว้ด้วยตนเอง ที่ผมนำมากินใช้อย่างไม่หมดสิ้น เพราะมันไม่ใช่ แค่เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นจะทำได้เป็นอย่างนี้ได้ แต่ต้องรู้และเขียนได้โครงสร้างทั้งระบบ ใช้งานได้จริง และจัดการเคลื่องคอม ระบบแลน และเชพเวอร์ ได้ จากทุนตรงนั้นผมก็พลิกฐานะครอบครัวขึ้นมาได้จนถึงปัจจุบัน และสร้างทุนยามเกษียณสำรองไว้ แต่ก็แปลกสำหรับผมเหมือน ทุน 1 ล้าน ได้มาเดือนละ 4.x พันบาทต่อเดือน เท่านั้น
เช่นบ้านเช่า ทุน 9.2 แสน ได้ต่อเดือน 4,000 บาท (หักเค่าอื่น 500บาท ออกไปแล้ว) ยังไม่คิดราคาถ้าขายไป ก็ 1 ล้านกว่า
คอนโด ทุน 8.2 แสน ได้ต่อเดือน 3,500 บาท (หักค่าอื่น 1,000 บาท ออกไปแล้ว) ยังไม่คิดราคาถ้าขายไป ก็ 1 ล้าน(ยังผ่อนอยู่)
เกษียณ ทุนทำงานเกิน 180 เดือน ได้ 4,150 บาท ต่อเดือน
ประสบการเล่นหุ้นแบบเล่นๆ เสมอตัวมา 6 ปี ขาดทุนดอกเบื้ย ในต้น 1 แสน เริ่มเอาจริง คือฝึกเล่นมาทุกแบบก็ยังไม่ได้ จึงได้สูตรส่วนตัวหวังปันผลเป็นหลักได้แก่
*** เก็บปันผลตามฤดู(เงินพอร์ตลดได้) + เก็บปันผลกองทุนในหุ้น(เงินพอร์ตคงที) + เศษเงินเล่นหุ้นคาดการณ์เพื่อได้เงินเพิ่มในพอร์ต >> ผลออกมาได้ ได้ปันผลเฉลียอยู่ 4-5 % ต่อปี ***
คือ ทุนในพอร์ต เฉลี่ยที่ 1 แสน ได้ปันผลออกมาประมาณ 400 บามต่อเดือน ผมได้ทดลองมาแล้ว 1 ปีก็ได้ตามนั้น ผมก็เริ่มเพิ่มเงินเข้าไปเป็นทุนในพอร์ตทุกเดือนค่อยๆ เติมไปที่ละน้อย ต้งเป้าไว้ที่ 5 แสน หรือ 1 ล้าน
สรุป คือในหัน ก็ได้ตามที่กล่าวคือ ทุน 1 ล้าน ได้ต่อเดือน 4,000 บาท เช่นเดิม
แต่ลงทุนที่ดินชื่อเก็บไว้ 5 ปีกว่าขึ้นไป ถ้าขายได้กำไร 100 % คือซื้อ 5.3 แสน ถ้าขาย 1 ล้านกว่า
และผมก็เกษียณ สิ้นเมษานี้ แต่ต้นทุน ปัญญา ความรู้ การพัฒนา ก็ยังทำให้ผมมีรายต่อไปได้อีก... เหตการณ์ดังนี้
แม่ของผมตอนนี้ อายุ 95 ปี ติดเตียงมา 6-7 ปี ไม่ขอเจาะคอ ไม่กินอาหารทางสายยางแย่ลงในกระเพาะ กลืนอาหารไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน หยอดน้ำเอา และเมื่อหยุดหายใจก็ไม่ต้องปั่มหัวใจขึ้นมา นี้เป็นข้อประสงค์ของแม่ผม ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน แต่ก็กลับอยู่ได้ตามปกติจนถึงปัจจุบัน และความจำ และสติสมบูรณ์อยู่เช่นเดิม
แต่เมื่อผมได้ยื่นเกษียณเมื่อจะสิ้นเมษานี้ ก็อายุครบ 60 ปี เพื่อจะเอาแม่มาดูแลเองที่บ้าน และได้เปรยกับแม่ให้พอทราบตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทุกอย่างกลับกลายเป็นตรงกันข้าม.
กลายเป็นว่าแม่กลับกังวลมากเลยทีเดียว ว่าผมจะดูแลแกได้ดีอย่างที่เขาดูแลหรือเปล่า? และต้องล้วงอุจาระแม่ออกทุกวันกลัวลูกชายจะลำบาก แม่มีความกังวลอย่างออกหน้าทุกครั้งเมื่อผมไปเยี่ยมก็จะถามทุกครั้ง และเปรยว่าเอาคนดูแลท่านไปดูที่บ้านด้วย เรียกว่าสถานการณ์กลับกัน แม่คงรู้และเปรียบเทียบถึงความแตกต่างกัน ตอนที่พี่ผมเอาไปดูแล มันแตกต่างกับที่ศูนย์ดูแล แบบหน้ามือกับหลังมือเลยทีเดียว
ออ.. อีกอย่างหนึ่งแม่ไม่รู้สึกเหงามาก อย่างไรก็มีลูกหลานมาเยียมเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะผมเป็นคนจ่ายเงินค่าดูแลเป็นหลัก มีพี่เพียงคนเดียวที่ช่วยผมเพียง 2 พันบาทต่อเดือน แค่นี้ก็ชื้นใจผมแล้วและพอมีกำลังใจ ผมจึงได้บอกกับพี่ๆ ว่า ไม่เป็นไร ขอให้ พี่ๆ 2 คนมาเยียมแม่ทุกอาทิตย์เพียง 1 วัน และผมก็จะไปเยี่ยมแม่แบบไม่ให้ตรงกัน แม่จึงรู้สึกว่าไม่ได้ห่างจากลูกจนกลัวถูกทอดทิ้ง (ดูแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องสำคัญทางด้านจิตใจของแม่มาก)
แต่ผมได้ยื่นเสนอไปแล้วก็ต้องเกษียณสิ้นเมษานี้ ไปใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลจากภรรยา แต่เมื่อแม่กังวล ก็ต้องปรีเช้นเสนองานให้ทางบริษัท ได้เห็นระดับงานที่ผมได้เตรียมไว้ทุกอย่างในระบบคอมพิวเตอร์ ที่ผมพัฒนา ทั้งแบบระบบเก่า และระบบใหม่ ทำควบคู่กันไปมาตลอด คือผมไม่ยอมตกยุคในทางความรู้ทั้งเทคโนโลยีเก่าและใหม่ หมายความว่าผมมีค่ากับบริษัทอยู่ตลอด คือ
แม้ผมจะให้บริษัท ใช้โปรแกรม Foxpro บน Dos 6.2 และใช้ Netware Server 5 เพื่อประโยชน์กับบริษัท เพราะประหยัด และสามารถควบคุมทั้งระบบได้โดยเพียงคนเดียว กับธุรกิจระดับ 100 ล้านต่อปี
แต่ผมก็ได้พัฒนา ระบบใหม่ควบคู่กันไปโดยตลอด ทั้ง V.FOX สำหรับ Widows และ V.BASIC มาตามลำดับ และ ขึ้นเป็น V.BASIC.net เผื่ออนาคตมาตามลำดับ บน Windows server (และเคยลองเล่น Linux Server อยู่พักหนึ่ง)
ผมจึงสามารถต่ออายุงาน เป็นปีต่อปีไปได้อีก โดยรับเงินเกษียนตามกฏหมาย 300 วัน เอามาชำระหนี้คอนโดที่พึงซื้อใหม่เมื่อ 2 ปีที่แล้วได้แบบหมดหนี้ ปลดภาระไปได้อีก พ้นไปจากการเป็นคนจนเงินสดไปได้ และออกจากระบบประกันสังคม แต่ยังทำงานต่อโดยมีรายได้เท่าเดิม และ บ. ก็ประสงค์ให้ทำไปเรื่อยๆ (เพราะผมคนเดียวคุ้มค่ามาก สำหรับบริษัท และก็คุ้มค่าสำหรับผม แม้อายุเกิน 60 ปี ไปแล้ว ก็มีงานมีรายได้ไปเรื่อยๆ จนผมขอหยุดเองเมื่อไม่ไหว) ก็ตัดความกังวลของแม่ไปได้เปราะหนึ่ง และผมก็ยังได้เงินเพิ่มต่อเดือน จากบำนาณประกันสังคม อีก 4x,xx บาทต่อเดือน ความจริงรู้อยู่แล้วว่า ตนเองมีความสามารถและต้องประกองสุขภายที่แย่ แต่เมื่อไม่โค่งเงินเดือนรับแบบพอประมาณที่ บ.จ่ายได้ แบบกินยาวได้เรื่อยๆ แบบเงินเดือนไม่ฟู้ฟ้า ตามบริษัทเห็นสมควรไม่เคยขอขึ้นเงินเดือน แม้จะมีผู้เสนอเงินเดือนไม่ต่ำกว่าแสน ตอนอายุ 53-54 ก็ปฏิเสธไป ประกองสุขภาพไว้ดีกว่า ด้วยเหตุที่ทำไว้แล้ว ผลก็จะมีรายได้ยาว แบบไม่ไหวค่อยหยุด ก็มองแล้วเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่กินแบบไม่มากแต่ยาวๆ .
หมายเหตุ ผมอธิบายเยอะ พิมพ์เยอะ ก็เผื่อมีประโยชน์กับผู้อ่านมาเจอ ไม่มากก็น้อย ตามเจตนา
ต้นทุน ปัญญา ความรู้ การพัฒนา ทำให้เกิดมีทุนต่างๆ ได้ และแม้เกษียณแล้วยังต่อได้สำหรับผม
ทุนนั่นก็คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบใหญ่ควบคุมได้เกือบทั้งบริษัท ที่พัฒนาโครงสร้างระบบได้สมบูรณ์ด้วยตนเอง เมื่อ 23-24 ปีที่แล้ว แต่ผมเริ่มจากไม่มีความรู้คอมพิวเตอร์ คือเป็น 0 ก่อนหน้านั้นไปอีกประมาณ 6 ปี เริ่มจากได้งานไปดูแลโรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์เบื้องต้น พวก เวิอร์ดจุฬา Lotus Dbase เรียนรู้ด้วยตนเอง จนเป็นครูสอนเอง หัดเขียนโปรแกรม Dbase ฝันว่าจะไปเป็นโปรแกรมเมอร์ เพื่อทำให้ครอบครัวดีขึ้น เผือลูกที่ยังเล็ก
เปลี่ยนงานเขาไม่รับเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่รับเป็นชับพอร์ตสอนโปรแกรมพื้นฐาน Windows 3.1 และ Officse(Word Excel อื่นๆ) ให้กับลูกค้าที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็เอาเพราะเงินเดือนดีขึ้นจากเดิม แต่เมื่อกลับถึงห้องเช่า ผมก็หัดเขียนโปรแกรม Foxpro บน Dos ถึงเที่ยงคืนทุกวัน และไปสอนคอมพิวเตอร์เบื้องต้นเป็นรายได้เสริม แต่รวมๆ แล้วยังได้เงินเพียงกระติสเดียว ต้องรัดเข็มขัดอย่างหนักเมื่อต้องการซื้อผ่อนคอนโดหรือบ้านเล็กๆ ชั้นเดียวในราคา 2.4 แสน หรือ 4.7 แสน
โชคช่วยเมื่อผมโดนไล่ออกจากงาน มันเป็นนโยบายของบริษัทขายคอมพิวเตอร์นั้นเอง เหมือนเป็นกับดัก คือรับเด็กจบใหม่หรือคนใหม่ในส่วนของชับพอร์ตโปรแกรมพื้นฐาน เริ่มต้นทำไปปีกว่าก็ไล่ออกแล้วรับใหม่ ช่วงผมเข้ามาใหม่ก็โดนให้อีกไป 2 คน ผมก็งง แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก รับมาใหม่ 1 คน ผมทำไปเกือบปี เพือนร่วมงานผมโดนให้ออก รับคนใหม่มาอีก 1 คน ปลายปีถึงคิวผมโดนให้ออก แบบไม่ทันทั้งตัวเหมือนคนเก่า ผมแทบเป็นลมในตอนนั้นเมื่อคิดถึงค่าใช้จ่ายลูก และผ่อนดาวบ้านหลังเล็กชั้นเดียวที่ยังไม่ได้อยู่ ด้วยสมัยนั้นยังไม่มีกฏหมายแรงงานที่ควบคุมได้
ผมต้องรีบหางานใหม่ เพื่อนร่วมงานเก่าจึงบอกให้ไปทำงานกับเขา ได้ไปเป็นฃับพอร์ตโปรแกรมระบบห้าง และ POS นั้นแหละที่ผมทำงานไปหัดเขียนโปรแกรมไป ใช้เวลา 3 ปี จนได้ระบบใหญ่ทั้งระบบของตนเอง ที่เขียนด้วย Foxpro บน Dos และได้ทดลองขายใช้จริง จนมั่นใจว่าใช้ได้ ผมต้องเลือกว่าต้องเปิดธุรกิจของตนเอง หรือไปเป็นระดับบริหารให้กับบริษัท เมื่อ 24 ปี ที่แล้ว แต่สุขภาพผมแย่มากๆ ภรรยาบอกว่าถ้าผมีลูกค้าเพียง 5 ที่ ร่างกายผมก็ไม่ใหวแล้ว คงไปไม่รอดในเรื่องสุขภาพ หางานบริหารบริษัทเดียวดีกว่า จึงตัดสินใจหางาน เป็นผู้จัดการคอมพิวเตอร์ .
นั้นแหละโครงสร้างโปรแกรมระดับใหญ่ทั้งหมดที่ผมพัฒนาไว้ด้วยตนเอง ที่ผมนำมากินใช้อย่างไม่หมดสิ้น เพราะมันไม่ใช่ แค่เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นจะทำได้เป็นอย่างนี้ได้ แต่ต้องรู้และเขียนได้โครงสร้างทั้งระบบ ใช้งานได้จริง และจัดการเคลื่องคอม ระบบแลน และเชพเวอร์ ได้ จากทุนตรงนั้นผมก็พลิกฐานะครอบครัวขึ้นมาได้จนถึงปัจจุบัน และสร้างทุนยามเกษียณสำรองไว้ แต่ก็แปลกสำหรับผมเหมือน ทุน 1 ล้าน ได้มาเดือนละ 4.x พันบาทต่อเดือน เท่านั้น
เช่นบ้านเช่า ทุน 9.2 แสน ได้ต่อเดือน 4,000 บาท (หักเค่าอื่น 500บาท ออกไปแล้ว) ยังไม่คิดราคาถ้าขายไป ก็ 1 ล้านกว่า
คอนโด ทุน 8.2 แสน ได้ต่อเดือน 3,500 บาท (หักค่าอื่น 1,000 บาท ออกไปแล้ว) ยังไม่คิดราคาถ้าขายไป ก็ 1 ล้าน(ยังผ่อนอยู่)
เกษียณ ทุนทำงานเกิน 180 เดือน ได้ 4,150 บาท ต่อเดือน
ประสบการเล่นหุ้นแบบเล่นๆ เสมอตัวมา 6 ปี ขาดทุนดอกเบื้ย ในต้น 1 แสน เริ่มเอาจริง คือฝึกเล่นมาทุกแบบก็ยังไม่ได้ จึงได้สูตรส่วนตัวหวังปันผลเป็นหลักได้แก่
*** เก็บปันผลตามฤดู(เงินพอร์ตลดได้) + เก็บปันผลกองทุนในหุ้น(เงินพอร์ตคงที) + เศษเงินเล่นหุ้นคาดการณ์เพื่อได้เงินเพิ่มในพอร์ต >> ผลออกมาได้ ได้ปันผลเฉลียอยู่ 4-5 % ต่อปี ***
คือ ทุนในพอร์ต เฉลี่ยที่ 1 แสน ได้ปันผลออกมาประมาณ 400 บามต่อเดือน ผมได้ทดลองมาแล้ว 1 ปีก็ได้ตามนั้น ผมก็เริ่มเพิ่มเงินเข้าไปเป็นทุนในพอร์ตทุกเดือนค่อยๆ เติมไปที่ละน้อย ต้งเป้าไว้ที่ 5 แสน หรือ 1 ล้าน
สรุป คือในหัน ก็ได้ตามที่กล่าวคือ ทุน 1 ล้าน ได้ต่อเดือน 4,000 บาท เช่นเดิม
แต่ลงทุนที่ดินชื่อเก็บไว้ 5 ปีกว่าขึ้นไป ถ้าขายได้กำไร 100 % คือซื้อ 5.3 แสน ถ้าขาย 1 ล้านกว่า
และผมก็เกษียณ สิ้นเมษานี้ แต่ต้นทุน ปัญญา ความรู้ การพัฒนา ก็ยังทำให้ผมมีรายต่อไปได้อีก... เหตการณ์ดังนี้
แม่ของผมตอนนี้ อายุ 95 ปี ติดเตียงมา 6-7 ปี ไม่ขอเจาะคอ ไม่กินอาหารทางสายยางแย่ลงในกระเพาะ กลืนอาหารไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน หยอดน้ำเอา และเมื่อหยุดหายใจก็ไม่ต้องปั่มหัวใจขึ้นมา นี้เป็นข้อประสงค์ของแม่ผม ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน แต่ก็กลับอยู่ได้ตามปกติจนถึงปัจจุบัน และความจำ และสติสมบูรณ์อยู่เช่นเดิม
แต่เมื่อผมได้ยื่นเกษียณเมื่อจะสิ้นเมษานี้ ก็อายุครบ 60 ปี เพื่อจะเอาแม่มาดูแลเองที่บ้าน และได้เปรยกับแม่ให้พอทราบตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทุกอย่างกลับกลายเป็นตรงกันข้าม.
กลายเป็นว่าแม่กลับกังวลมากเลยทีเดียว ว่าผมจะดูแลแกได้ดีอย่างที่เขาดูแลหรือเปล่า? และต้องล้วงอุจาระแม่ออกทุกวันกลัวลูกชายจะลำบาก แม่มีความกังวลอย่างออกหน้าทุกครั้งเมื่อผมไปเยี่ยมก็จะถามทุกครั้ง และเปรยว่าเอาคนดูแลท่านไปดูที่บ้านด้วย เรียกว่าสถานการณ์กลับกัน แม่คงรู้และเปรียบเทียบถึงความแตกต่างกัน ตอนที่พี่ผมเอาไปดูแล มันแตกต่างกับที่ศูนย์ดูแล แบบหน้ามือกับหลังมือเลยทีเดียว
ออ.. อีกอย่างหนึ่งแม่ไม่รู้สึกเหงามาก อย่างไรก็มีลูกหลานมาเยียมเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะผมเป็นคนจ่ายเงินค่าดูแลเป็นหลัก มีพี่เพียงคนเดียวที่ช่วยผมเพียง 2 พันบาทต่อเดือน แค่นี้ก็ชื้นใจผมแล้วและพอมีกำลังใจ ผมจึงได้บอกกับพี่ๆ ว่า ไม่เป็นไร ขอให้ พี่ๆ 2 คนมาเยียมแม่ทุกอาทิตย์เพียง 1 วัน และผมก็จะไปเยี่ยมแม่แบบไม่ให้ตรงกัน แม่จึงรู้สึกว่าไม่ได้ห่างจากลูกจนกลัวถูกทอดทิ้ง (ดูแล้วเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องสำคัญทางด้านจิตใจของแม่มาก)
แต่ผมได้ยื่นเสนอไปแล้วก็ต้องเกษียณสิ้นเมษานี้ ไปใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลจากภรรยา แต่เมื่อแม่กังวล ก็ต้องปรีเช้นเสนองานให้ทางบริษัท ได้เห็นระดับงานที่ผมได้เตรียมไว้ทุกอย่างในระบบคอมพิวเตอร์ ที่ผมพัฒนา ทั้งแบบระบบเก่า และระบบใหม่ ทำควบคู่กันไปมาตลอด คือผมไม่ยอมตกยุคในทางความรู้ทั้งเทคโนโลยีเก่าและใหม่ หมายความว่าผมมีค่ากับบริษัทอยู่ตลอด คือ
แม้ผมจะให้บริษัท ใช้โปรแกรม Foxpro บน Dos 6.2 และใช้ Netware Server 5 เพื่อประโยชน์กับบริษัท เพราะประหยัด และสามารถควบคุมทั้งระบบได้โดยเพียงคนเดียว กับธุรกิจระดับ 100 ล้านต่อปี
แต่ผมก็ได้พัฒนา ระบบใหม่ควบคู่กันไปโดยตลอด ทั้ง V.FOX สำหรับ Widows และ V.BASIC มาตามลำดับ และ ขึ้นเป็น V.BASIC.net เผื่ออนาคตมาตามลำดับ บน Windows server (และเคยลองเล่น Linux Server อยู่พักหนึ่ง)
ผมจึงสามารถต่ออายุงาน เป็นปีต่อปีไปได้อีก โดยรับเงินเกษียนตามกฏหมาย 300 วัน เอามาชำระหนี้คอนโดที่พึงซื้อใหม่เมื่อ 2 ปีที่แล้วได้แบบหมดหนี้ ปลดภาระไปได้อีก พ้นไปจากการเป็นคนจนเงินสดไปได้ และออกจากระบบประกันสังคม แต่ยังทำงานต่อโดยมีรายได้เท่าเดิม และ บ. ก็ประสงค์ให้ทำไปเรื่อยๆ (เพราะผมคนเดียวคุ้มค่ามาก สำหรับบริษัท และก็คุ้มค่าสำหรับผม แม้อายุเกิน 60 ปี ไปแล้ว ก็มีงานมีรายได้ไปเรื่อยๆ จนผมขอหยุดเองเมื่อไม่ไหว) ก็ตัดความกังวลของแม่ไปได้เปราะหนึ่ง และผมก็ยังได้เงินเพิ่มต่อเดือน จากบำนาณประกันสังคม อีก 4x,xx บาทต่อเดือน ความจริงรู้อยู่แล้วว่า ตนเองมีความสามารถและต้องประกองสุขภายที่แย่ แต่เมื่อไม่โค่งเงินเดือนรับแบบพอประมาณที่ บ.จ่ายได้ แบบกินยาวได้เรื่อยๆ แบบเงินเดือนไม่ฟู้ฟ้า ตามบริษัทเห็นสมควรไม่เคยขอขึ้นเงินเดือน แม้จะมีผู้เสนอเงินเดือนไม่ต่ำกว่าแสน ตอนอายุ 53-54 ก็ปฏิเสธไป ประกองสุขภาพไว้ดีกว่า ด้วยเหตุที่ทำไว้แล้ว ผลก็จะมีรายได้ยาว แบบไม่ไหวค่อยหยุด ก็มองแล้วเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่กินแบบไม่มากแต่ยาวๆ .
หมายเหตุ ผมอธิบายเยอะ พิมพ์เยอะ ก็เผื่อมีประโยชน์กับผู้อ่านมาเจอ ไม่มากก็น้อย ตามเจตนา