จากที่เคยแชร์ประสบการณ์การเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าไปแล้วนั้น ช่วงที่สงสัยว่าตัวเองป่วยจากการทำแบบทดสอบจากกรมสุขภาพจิต และ มีการข้าพบนักจิตวิทยาจากรถคลายเครียสเคลื่อนที่ ของกทม.(รถคลายเครียสจะมาที่งานเราเดือนละ1ครั้ง มีการทำแบบทดสอบ แสกนนิ้วเพื่อทดสอบ(ต้องไม่ทาสีที่เล็บด้วยน้า) แล้วนำผลไปพบนักจิตวิทยา มีเก้าอี้นวดไฟฟ้าไว้ให้คลายเครียสด้วย ทุกอย่างที่บอกมานี้ฟรีหมด แต่เราไม่ทราบว่ารถนี้ไปที่ไหนบ้าง อาจต้องโทรถามทางกทม.) เราจองคิวแพทย์แบบนอกเวลาที่ศิริราช รอคิวประมาณ 2 เดือน ช่วงที่รอนั้นก็พยายามหาข้อมูลทางinternet และ หนังสือ บางเล่มเราได้อ่านจากห้องสมุดที่ทำงาน บางเล่มเราไปหาซื้อ จะบอกว่าเดินเข้าร้านหนังสือแบบเขิลๆนิดนึงตอนแรก พอถามพนักงานๆไม่ต้องหาข้อมูลในคอมเลย พาเดินไปที่ชั้นหนังสือไวมาก ประหนึ่งมีคนมาหาหนังสือแบบนี้บ่อย วันนี้จะมาแนะนำให้อ่าน 5 เล่ม
1.เล่มแรกชื่อ
เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง
เราหาข้อมูลในgoogleเห็นชื่อหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย เนื่องจากได้รางวัลยอดเยี่ยมนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปีพุทธศักราช 2557 เป็นเรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เป็นเรื่องในช่วงวัยกำลังใช้ชีวิต บรรยายได้ถึงอารมณ์ ความรู้สึก ตั้งแต่มีอาการ จนถึงขั้นตอนการรักษา เราอ่านจบในคืนเดียว เข้าใจทุกอารมณ์ของผู้เขียน มีสอดแทรกความรู้ให้คนอ่านด้วย ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการที่ให้เราไปหมอมากขึ้น
2.
Depression Diary #มันไม่ได้เศร้าอย่างที่คิดหรอกนะ
แค่ชื่อหนังสือก็ชวนให้อ่านแล้ว เราได้เล่มนี้มาจากห้องสมุดเหมือนกัน เราค่อนข้างเข้าใจผู้เขียนอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่ผู้เขียนต้องเผชิญเป็นวัยเรียนมหาลัย ซึ่งเราก็เริ่มป่วยช่วงนั้นเหมือนกัน เรารู้สึกว่าผู้เขียนสู้กับโรคนี้ได้เก่งมากเหลือเกิน ถ้าเป็นปริญญาคิดว่าน่าจะได้เหรียญทองไปเลย ผู้เขียนโชคดีที่มีเพื่อนเข้าใจ แม้เพียงคนเดียวเราก็นับว่าดีมากๆแล้ว ตอนนั้นสมัยเรียนเราไม่มีแม้ใครสักคนที่จะเข้าใจว่าเราป่วย ไม่แปลกหรอกเมื่อเรามาย้อนคิดดู พราะเราเองยังไม่รู้ว่าเราป่วยเลย ทุกคนก็ช่วยราอย่างดีที่สุดแล้ว เราชอบที่ผู้เขียนแบ่งปันประสลการณ์ กับครอบครัว คนรอบข้าง การรักษา ชอบเหลือเกิน มันทำให้รู้ว่ามีคนที่เป็นแบบเราเหมือนกันน่ะ! สุดท้ายชอบที่หน้าปกเขียนว่า
เป็นหนังสือที่คนเป็นโรคซึมเศร้าควรอ่าน
ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้ายิ่งต้องอ่าน
3.ไม่มีความเจ็บปวดใดที่คุณเอาชนะไม่ได้
เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่ได้มากจากห้องสมุด เป็นเรื่องเล่าของจิตแพทย์ที่เกาหลี รักษาคนไข้ แล้วมาเล่าเรื่องราวให้เราฟัง ทั้งสาเหตุของโรค และวิธีการที่คุณหมอรักษา บ้างก็ให้ดูหนัง หรือ อ่านหนังสือที่คุณหมอแนะนำ คุณหมอจะเขียนสรุปไว้ให้เราอ่าน เหมือนเพิ่มมุมมองให้เรามากขึ้น
4.โรคซึมเศร้า
หลังจากห้องสมุดไม่มีให้เราอ่านแล้ว เราเลยหาข้อมูลเพิ่มได้หนังสือเล่มนี้มา ไม่รอช้าไปร้านหนังสือสอยมาอ่านอย่างรวดเร็ว ผู้เขียนเป็นแพทย์คนไทยจากเพจชื่อดัง ในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา การเลี้ยงลูก และ มีหนังสือเล่มนี้ที่ชื่อหนังสือตรงไปตรงมาดี อธิบายโรคนี้ตามแบบหมอ จะมีศัพท์เฉาะที่คนไม่ได้ทำงานสายนี้มาอ่านแล้วจะเป็นเรื่องใหม่ๆชวนให้เพิ่มเติมเป็นความรู้ ทำให้เราข้าใจโรคนี้ในแบบลึกลงไปเสมือนเรียนวิชาชีววิทยา
5.สามวันดีสี่วันเศร้า
หลังจากที่เราเข้าสู่วงการนี้อย่างเต็มตัว พยายามหาข้อมูลอ่าน ดู ฟัง ทั้งจาก facebook Youtube Podcast และอื่นๆได้ทราบว่ามีคนในวงการบันเทิงป่วยเหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือคุณทราย เจริญปุระ เราชอบเวลาที่คุณทรายสัมภาษณ์มาก มีหลายคลิปทำให้เรายิ้มได้ คุณทรายเล่าเรื่องตัวเองในมุมที่ต่างออกไป ไว้จะหามาแปะให้ดูกัน เล่มนี้เป็นเรื่องเล่าของตัวคุณทรายเอง อีกความโชคดีของคุณทรายในมุมเราคือ ที่บ้านคุณทรายเข้าใจโรคนี้ ซึ่งต่างไปจากบ้านอื่นๆเช่นบ้านเราที่ไม่เชื่อว่าโรคนี้มีอยู่จริง คุณทรายเก่งมากในความคิดเราเพราะด้วยอาชีพที่ต้องใช้ความรู้สึกในการแสดง แล้วยังต้องต่อสู้กับโรคที่เกี่ยวกับอารณ์อีก
สุดท้าย เราเข้ารับการรักษามาได้ระยะหนึ่งแล้วปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ กินยาตรงเวลา และ ปฏิบัติตามคำแนะนำของนักจิตวิทยาจากการทำจิตบำบัด มีหลายอย่างได้เราได้รับจากการป่วยครั้งนี้ถ้ามีโอกาสเราจะแบ่งปันให้อ่านกัน
รีวิวหนังสือเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
1.เล่มแรกชื่อ เรื่องเล่าจากยอดภูเขาน้ำแข็ง
เราหาข้อมูลในgoogleเห็นชื่อหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย เนื่องจากได้รางวัลยอดเยี่ยมนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปีพุทธศักราช 2557 เป็นเรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เป็นเรื่องในช่วงวัยกำลังใช้ชีวิต บรรยายได้ถึงอารมณ์ ความรู้สึก ตั้งแต่มีอาการ จนถึงขั้นตอนการรักษา เราอ่านจบในคืนเดียว เข้าใจทุกอารมณ์ของผู้เขียน มีสอดแทรกความรู้ให้คนอ่านด้วย ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการที่ให้เราไปหมอมากขึ้น
2. Depression Diary #มันไม่ได้เศร้าอย่างที่คิดหรอกนะ
แค่ชื่อหนังสือก็ชวนให้อ่านแล้ว เราได้เล่มนี้มาจากห้องสมุดเหมือนกัน เราค่อนข้างเข้าใจผู้เขียนอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่ผู้เขียนต้องเผชิญเป็นวัยเรียนมหาลัย ซึ่งเราก็เริ่มป่วยช่วงนั้นเหมือนกัน เรารู้สึกว่าผู้เขียนสู้กับโรคนี้ได้เก่งมากเหลือเกิน ถ้าเป็นปริญญาคิดว่าน่าจะได้เหรียญทองไปเลย ผู้เขียนโชคดีที่มีเพื่อนเข้าใจ แม้เพียงคนเดียวเราก็นับว่าดีมากๆแล้ว ตอนนั้นสมัยเรียนเราไม่มีแม้ใครสักคนที่จะเข้าใจว่าเราป่วย ไม่แปลกหรอกเมื่อเรามาย้อนคิดดู พราะเราเองยังไม่รู้ว่าเราป่วยเลย ทุกคนก็ช่วยราอย่างดีที่สุดแล้ว เราชอบที่ผู้เขียนแบ่งปันประสลการณ์ กับครอบครัว คนรอบข้าง การรักษา ชอบเหลือเกิน มันทำให้รู้ว่ามีคนที่เป็นแบบเราเหมือนกันน่ะ! สุดท้ายชอบที่หน้าปกเขียนว่า
เป็นหนังสือที่คนเป็นโรคซึมเศร้าควรอ่าน
ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้ายิ่งต้องอ่าน
3.ไม่มีความเจ็บปวดใดที่คุณเอาชนะไม่ได้
เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่ได้มากจากห้องสมุด เป็นเรื่องเล่าของจิตแพทย์ที่เกาหลี รักษาคนไข้ แล้วมาเล่าเรื่องราวให้เราฟัง ทั้งสาเหตุของโรค และวิธีการที่คุณหมอรักษา บ้างก็ให้ดูหนัง หรือ อ่านหนังสือที่คุณหมอแนะนำ คุณหมอจะเขียนสรุปไว้ให้เราอ่าน เหมือนเพิ่มมุมมองให้เรามากขึ้น
4.โรคซึมเศร้า
หลังจากห้องสมุดไม่มีให้เราอ่านแล้ว เราเลยหาข้อมูลเพิ่มได้หนังสือเล่มนี้มา ไม่รอช้าไปร้านหนังสือสอยมาอ่านอย่างรวดเร็ว ผู้เขียนเป็นแพทย์คนไทยจากเพจชื่อดัง ในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยา การเลี้ยงลูก และ มีหนังสือเล่มนี้ที่ชื่อหนังสือตรงไปตรงมาดี อธิบายโรคนี้ตามแบบหมอ จะมีศัพท์เฉาะที่คนไม่ได้ทำงานสายนี้มาอ่านแล้วจะเป็นเรื่องใหม่ๆชวนให้เพิ่มเติมเป็นความรู้ ทำให้เราข้าใจโรคนี้ในแบบลึกลงไปเสมือนเรียนวิชาชีววิทยา
5.สามวันดีสี่วันเศร้า
หลังจากที่เราเข้าสู่วงการนี้อย่างเต็มตัว พยายามหาข้อมูลอ่าน ดู ฟัง ทั้งจาก facebook Youtube Podcast และอื่นๆได้ทราบว่ามีคนในวงการบันเทิงป่วยเหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือคุณทราย เจริญปุระ เราชอบเวลาที่คุณทรายสัมภาษณ์มาก มีหลายคลิปทำให้เรายิ้มได้ คุณทรายเล่าเรื่องตัวเองในมุมที่ต่างออกไป ไว้จะหามาแปะให้ดูกัน เล่มนี้เป็นเรื่องเล่าของตัวคุณทรายเอง อีกความโชคดีของคุณทรายในมุมเราคือ ที่บ้านคุณทรายเข้าใจโรคนี้ ซึ่งต่างไปจากบ้านอื่นๆเช่นบ้านเราที่ไม่เชื่อว่าโรคนี้มีอยู่จริง คุณทรายเก่งมากในความคิดเราเพราะด้วยอาชีพที่ต้องใช้ความรู้สึกในการแสดง แล้วยังต้องต่อสู้กับโรคที่เกี่ยวกับอารณ์อีก
สุดท้าย เราเข้ารับการรักษามาได้ระยะหนึ่งแล้วปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ กินยาตรงเวลา และ ปฏิบัติตามคำแนะนำของนักจิตวิทยาจากการทำจิตบำบัด มีหลายอย่างได้เราได้รับจากการป่วยครั้งนี้ถ้ามีโอกาสเราจะแบ่งปันให้อ่านกัน