จุดเร่ิ่มต้นทริปเกิดจาก การที่อยากพาแฟนไปห่มผ้าพระธาตุปีเกิด ที่วัดพระธาตุพนม เรากับแฟนจึงจัดทำทริปไปทำบุญเส้นทางอีสาน โดยใช้การเดินทางด้วยรถยนต์เป็นหลัก กำหนดเส้นทางด้วย Google map ในวันแรกก็จะเดินทางประมาณนี้ครับ
Day 1

โดยเราเริ่มเดินทางจากแถวเซ็นทรัลพระราม 9 ในเวลาประมาณ 5.15 น. ประมาณ 8.30 น. เราก็ถึงวัดโนนกุ่ม ไปสักการะหลวงพ่อโต องค์ใหญ่กันก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเดินทาง ด้วยวัดโนนกุ่ม ตั้งอยู่ฝั่งขาออกจากกรุงเทพฯ ริมถนนมิตรภาพ ทำให้สะดวกในการแวะเข้าไปสักการะก่อนเดินทางกันต่อ

เมื่อเข้าไปภายในโบสถ์ ด้านหน้าขวามือจะมีจุดให้ร่วมทำบุญ ดอกไม้ ธูปเทียน ด้านซ้ายมือ จะเป็นตู้บูชาพระเครื่องและพระพุทธรูปครับ ช่วงกลางโบสถ์จะมีจุดให้นั่งสวดมนต์ชินบัญชร พร้อมบทสวดให้สาธุชนได้บูชากันตามอัธยาศัย ด้านในจะเป็นองค์หลวงปู่โต สามารถปิดทองได้ และถ้ามีเวลาก็สามารถเดินเวียนประทักษิณา โดยเริ่มเดินทางขวามือของหลวงปู่โตครับ

เมื่ออกจากโบสถ์แล้ว ด้านซ้ายมือ จะเห็นโบสถ์อีกหลัง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินราชองค์จำลอง โดยระหว่างทาง จะมีระฆังแขวนไว้เรียงรายตามทางเดิน ด้านหน้าของโบสถ์ จะมีจุดให้เติมน้ำมันตะเกียง ตรงนี้หยอดตู้ทำบุญ แล้วหยิบกาน้ำมัน ไปเทเติมที่ตะเกียงด้านซ้ายมือได้เลยนะครับ

หลังจากสักการะบูชา ทำบุญกันเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าเดินทางไปจังหวัดมุกดาหารกันครับ มาถึงมุกดาหารเวลาประมาณบ่าย 2.45 น. สถานที่ท่องเที่ยวที่เราไม่ควรพลาดก็คือ แก่งกะเบา ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำโขง ที่แก่งกะเบา จะเป็นโขดหินจำนวนมาก ที่อยู่ริมแม่น้ำโขง โดยบริเวณนั้นจะมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน สามารถเลือกเข้าไปทานได้ตามอัธยาศัยนะครับ วันนี้เราเลือกที่จะทานร้าน ศิริชัยหมูหัน อยู่ริมด้านซ้ายมือของแก่งกะเบา (หันหน้าเข้าริมแม่น้ำโขงนะครับ) มีลานจอดรถให้บริการค่อนข้างกว้าง

หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็รีบมุ่งหน้าไปยังวัดพระธาตุพนมฯ เพื่อทำการห่มผ้าพระธาตุนะครับ ตรงนี้ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ประมาณ 20 กว่านาที เราก็จะมาถึงวัดพระธาตุพนมครับ ในช่วงเทศกาลวันมาฆบูชาของทุกปี ทางวัดจะมีงานห่มผ้าพระธาตุ และในปีนี้ก็เช่นกัน งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-20 กุมภาพันธ์ 2562 ถึงเราจะไปถึงในวันเสาร์ที่ 23 แต่ซุ้มจัดงาน และร้านค้าก็ยังคงมีอยู่ ทำให้ต้องใช้เวลาวนหาที่จอดรถมากกว่าปกติ
สำหรับการบูชาผ้าห่มองค์พระธาตุ ให้เราเดินไปทางด้านซ้ายมือของทางวัดนะครับ ผ่านเต็นท์บูชาดอกไม้ ธูป เทียน แล้วเราจะพบกับเต็นท์ให้บูชาผ้าห่มองค์พระธาตุ และสังฆทาน จีวร ตรงนี้จะมีพระสงฆ์คอยรับสังฆทานอยู่ครับ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือ หลังจากแจ้งความประสงค์ที่จะบูชาผ้าทั้งผืน เจ้าหน้าที่จะให้เราเลือกสีผ้าที่ถูกอัธยาศัย แล้วพาเราไปลงชื่อในสมุดผู้บูชาผ้า เพื่อเป็นหลักฐานของทางวัด
ซึ่งเราสองคนโชคดีมาก ที่ได้พบกับพระครูสุตเจติยานุรักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระธาตุพนม เจ้าคณะตำบลธาตุพนม ท่านเมตตานำสวดและนำแผ่เมตตา กรวดน้ำ ตลอดจนให้ลูกเณรในวัด นำเราสองคนสวดมนต์เดินเวียนประทักษิณารอบองค์พระธาตุพนม 3 รอบ โดยให้แฟนอยู่ด้านหน้า ถือผ้าห่มขึ้นเหนือศรีษะ แล้วเราถือทั้งม้วนตามอยู่ด้านหลัง เมื่อเดินครบแล้ว ท่านนำผ้าไปห่มองค์พระธาตุด้านในให้ ด้วยภายในไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไปนะครับ พวกเราจึงนั่งอธิษฐานอีกครั้งอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า

หลังจากสักการะพระธาตุพนม เสร็จในเวลาประมาณ 18.30 น. เราก็มุ่งหน้าไปยังอุดรธานี ด้วยระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร ประกอบกับเป็นเวลากลางคืน ที่แสงไฟตามทางไม่ค่อยมี ถนนก็เส้นเล็ก เราจึงมาถึงอุดรธานีในเวลาประมาณเกือบ 22.00 น. ด้วยความตั้งใจที่อยากมาเห็นสภาพห้องพักของจริงก่อนเลือกพัก เราจึงไม่ได้จองที่พักมาล่วงหน้า และตั้งใจจะมาเลือกพักแถวบริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ แต่เมื่อมาถึงตัวเมืองอุดรธานี มีการปิดถนนซ่อมแซมหลายจุด ทำให้เราสองคนขับวนไปวนมา จนเห็นป้ายโฆษณาที่พัก Wara Boutique Hotel ที่หน้าปากซอยแห่งหนึ่ง เราจึงตัดสินใจขับรถเข้าไปดูที่พักกัน
ด้านหน้าของโรงแรมจะมีลานจอดรถไว้ให้บริการ หลังจากจอดรถเสร็จแล้ว ก็เดินไปติดต่อห้องพัก สังเกตได้ว่าตัวอาคารตึกยังดูใหม่ น่าจะเพิ่งก่อนสร้างไม่นาน น้องพนักงานต้อนรับด้านหน้าแจ้งว่า ห้องราคา 890 บาท เต็มหมดแล้ว ตอนนี้มีเพียงห้อง Deluxe ราคา 990 บาท พร้อมอาหารเช้า ถึงจะเหนื่อยและเพลียจากการเดินทาง แต่เราก็ขอไปดูห้องพักจริงก่อนทำการชำระเงิน หลังจากดูห้องพัก ก็รู้สึกว่าสะอาด โอเคดี จึงตัดสินใจตกลงพักกันที่นี่ครับ โดยจะมีค่ามัดจำกุญแจอยู่ที่ 500 บาทครับ
ภายในห้องพักกว้างพอสมควร ตกแต่งสไตล์ Loft เดินสายไฟลงในท่อ ภายในห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น สบู่ แชมพู คัตตอนบัด และหมวกคลุมอาบน้ำ แบ่งแยกโซนเปียก ด้วยกำแพงกระจกครึ่งหนึ่ง บนเตียงมีหมอนให้ 4 ใบ มีตู้เย็นขนาดเล็ก พร้อมทีวี LCD ติดผนังไว้ให้บริการ มีโต๊ะ กระจก พร้อมเก้าอี้ ไว้ให้นั่งแต่งตัว บนเตียงนอนมีผ้าเช็ดตัวและผ้าเช็ดผมวางไว้ให้ใช้บริการ ภายในห้องพักมีปลั๊กไฟไว้ให้บริการหลายจุดเลยครับ เพียงพอต่อการชารจ์ไฟได้หลายๆอย่างพร้อมกัน
เตียงนอนก็นุ่มสบายดีนะครับ เสียตรงที่ว่า ด้านล่างเป้นแบบล้อเลื่อน ทำให้แอบยวบ และสั่นคลอนเล็กน้อย และเวลาประมาณห้าทุ่มกว่า สัมผัสได้ว่า เตียงนอนสั่นครับ สั่นขนาดที่ร่างกายเราสั่นตามไปด้วยเลย ลักษณะคล้ายเวลาเรานอนริมถนน มีรถขนาดใหญ่วิ่งผ่าน แต่ก็เป็นเพียงประมาณ 2-3 นาที แล้วทุกอย่างก็สงบ เครื่องปรับอากาศก็เย็นสบายดีครับ แต่ห้องที่เราได้พัก จะมีเสียงดัง กึกๆ ออกมากจากเครื่องปรับอากาศ เป็นระยะครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนของใบพัดแอร์หรือเปล่า ในตอนแรกก็แอบหลอนเล็กน้อย ว่าเสียงอะไร
ห้องอาหารของทางโรงแรมเริ่มในเวลา 6.30-10.00 น. นะครับ คูปองทานอาหาร เราจะได้มาพร้อมกับกุญแจห้อง อย่าลืมส่งให้กับน้องพนักงาน โดยอาหารจะมีให้เลือกทานเป็นเซ็ทครับ ระหว่าง American Set และ Thai Set พร้อมด้วยบริการสลัดผัก ขนมปัง ผลไม้ เครื่องดื่มเติมได้เรื่อยๆครับ มาถึงจังหวัดอุดรธานีทั้งที เราสองคนจึงตัดสินใจเลือก Thai Set เป็นชุดไข่กระทะและขนมปังเวียดนามครับ หลังสั่งอาหารแล้ว ก็เดินไปเลือกโต๊ะที่นั่งรอได้เลยครับ
3 วัน 2 คืน ทริปอีสาน-เวียงจันทน์
Day 1
โดยเราเริ่มเดินทางจากแถวเซ็นทรัลพระราม 9 ในเวลาประมาณ 5.15 น. ประมาณ 8.30 น. เราก็ถึงวัดโนนกุ่ม ไปสักการะหลวงพ่อโต องค์ใหญ่กันก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเดินทาง ด้วยวัดโนนกุ่ม ตั้งอยู่ฝั่งขาออกจากกรุงเทพฯ ริมถนนมิตรภาพ ทำให้สะดวกในการแวะเข้าไปสักการะก่อนเดินทางกันต่อ
เมื่อเข้าไปภายในโบสถ์ ด้านหน้าขวามือจะมีจุดให้ร่วมทำบุญ ดอกไม้ ธูปเทียน ด้านซ้ายมือ จะเป็นตู้บูชาพระเครื่องและพระพุทธรูปครับ ช่วงกลางโบสถ์จะมีจุดให้นั่งสวดมนต์ชินบัญชร พร้อมบทสวดให้สาธุชนได้บูชากันตามอัธยาศัย ด้านในจะเป็นองค์หลวงปู่โต สามารถปิดทองได้ และถ้ามีเวลาก็สามารถเดินเวียนประทักษิณา โดยเริ่มเดินทางขวามือของหลวงปู่โตครับ
เมื่ออกจากโบสถ์แล้ว ด้านซ้ายมือ จะเห็นโบสถ์อีกหลัง เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินราชองค์จำลอง โดยระหว่างทาง จะมีระฆังแขวนไว้เรียงรายตามทางเดิน ด้านหน้าของโบสถ์ จะมีจุดให้เติมน้ำมันตะเกียง ตรงนี้หยอดตู้ทำบุญ แล้วหยิบกาน้ำมัน ไปเทเติมที่ตะเกียงด้านซ้ายมือได้เลยนะครับ
หลังจากสักการะบูชา ทำบุญกันเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าเดินทางไปจังหวัดมุกดาหารกันครับ มาถึงมุกดาหารเวลาประมาณบ่าย 2.45 น. สถานที่ท่องเที่ยวที่เราไม่ควรพลาดก็คือ แก่งกะเบา ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำโขง ที่แก่งกะเบา จะเป็นโขดหินจำนวนมาก ที่อยู่ริมแม่น้ำโขง โดยบริเวณนั้นจะมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน สามารถเลือกเข้าไปทานได้ตามอัธยาศัยนะครับ วันนี้เราเลือกที่จะทานร้าน ศิริชัยหมูหัน อยู่ริมด้านซ้ายมือของแก่งกะเบา (หันหน้าเข้าริมแม่น้ำโขงนะครับ) มีลานจอดรถให้บริการค่อนข้างกว้าง
หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็รีบมุ่งหน้าไปยังวัดพระธาตุพนมฯ เพื่อทำการห่มผ้าพระธาตุนะครับ ตรงนี้ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ประมาณ 20 กว่านาที เราก็จะมาถึงวัดพระธาตุพนมครับ ในช่วงเทศกาลวันมาฆบูชาของทุกปี ทางวัดจะมีงานห่มผ้าพระธาตุ และในปีนี้ก็เช่นกัน งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-20 กุมภาพันธ์ 2562 ถึงเราจะไปถึงในวันเสาร์ที่ 23 แต่ซุ้มจัดงาน และร้านค้าก็ยังคงมีอยู่ ทำให้ต้องใช้เวลาวนหาที่จอดรถมากกว่าปกติ
สำหรับการบูชาผ้าห่มองค์พระธาตุ ให้เราเดินไปทางด้านซ้ายมือของทางวัดนะครับ ผ่านเต็นท์บูชาดอกไม้ ธูป เทียน แล้วเราจะพบกับเต็นท์ให้บูชาผ้าห่มองค์พระธาตุ และสังฆทาน จีวร ตรงนี้จะมีพระสงฆ์คอยรับสังฆทานอยู่ครับ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือ หลังจากแจ้งความประสงค์ที่จะบูชาผ้าทั้งผืน เจ้าหน้าที่จะให้เราเลือกสีผ้าที่ถูกอัธยาศัย แล้วพาเราไปลงชื่อในสมุดผู้บูชาผ้า เพื่อเป็นหลักฐานของทางวัด
ซึ่งเราสองคนโชคดีมาก ที่ได้พบกับพระครูสุตเจติยานุรักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดพระธาตุพนม เจ้าคณะตำบลธาตุพนม ท่านเมตตานำสวดและนำแผ่เมตตา กรวดน้ำ ตลอดจนให้ลูกเณรในวัด นำเราสองคนสวดมนต์เดินเวียนประทักษิณารอบองค์พระธาตุพนม 3 รอบ โดยให้แฟนอยู่ด้านหน้า ถือผ้าห่มขึ้นเหนือศรีษะ แล้วเราถือทั้งม้วนตามอยู่ด้านหลัง เมื่อเดินครบแล้ว ท่านนำผ้าไปห่มองค์พระธาตุด้านในให้ ด้วยภายในไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไปนะครับ พวกเราจึงนั่งอธิษฐานอีกครั้งอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า
หลังจากสักการะพระธาตุพนม เสร็จในเวลาประมาณ 18.30 น. เราก็มุ่งหน้าไปยังอุดรธานี ด้วยระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร ประกอบกับเป็นเวลากลางคืน ที่แสงไฟตามทางไม่ค่อยมี ถนนก็เส้นเล็ก เราจึงมาถึงอุดรธานีในเวลาประมาณเกือบ 22.00 น. ด้วยความตั้งใจที่อยากมาเห็นสภาพห้องพักของจริงก่อนเลือกพัก เราจึงไม่ได้จองที่พักมาล่วงหน้า และตั้งใจจะมาเลือกพักแถวบริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ แต่เมื่อมาถึงตัวเมืองอุดรธานี มีการปิดถนนซ่อมแซมหลายจุด ทำให้เราสองคนขับวนไปวนมา จนเห็นป้ายโฆษณาที่พัก Wara Boutique Hotel ที่หน้าปากซอยแห่งหนึ่ง เราจึงตัดสินใจขับรถเข้าไปดูที่พักกัน
ด้านหน้าของโรงแรมจะมีลานจอดรถไว้ให้บริการ หลังจากจอดรถเสร็จแล้ว ก็เดินไปติดต่อห้องพัก สังเกตได้ว่าตัวอาคารตึกยังดูใหม่ น่าจะเพิ่งก่อนสร้างไม่นาน น้องพนักงานต้อนรับด้านหน้าแจ้งว่า ห้องราคา 890 บาท เต็มหมดแล้ว ตอนนี้มีเพียงห้อง Deluxe ราคา 990 บาท พร้อมอาหารเช้า ถึงจะเหนื่อยและเพลียจากการเดินทาง แต่เราก็ขอไปดูห้องพักจริงก่อนทำการชำระเงิน หลังจากดูห้องพัก ก็รู้สึกว่าสะอาด โอเคดี จึงตัดสินใจตกลงพักกันที่นี่ครับ โดยจะมีค่ามัดจำกุญแจอยู่ที่ 500 บาทครับ
ภายในห้องพักกว้างพอสมควร ตกแต่งสไตล์ Loft เดินสายไฟลงในท่อ ภายในห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น สบู่ แชมพู คัตตอนบัด และหมวกคลุมอาบน้ำ แบ่งแยกโซนเปียก ด้วยกำแพงกระจกครึ่งหนึ่ง บนเตียงมีหมอนให้ 4 ใบ มีตู้เย็นขนาดเล็ก พร้อมทีวี LCD ติดผนังไว้ให้บริการ มีโต๊ะ กระจก พร้อมเก้าอี้ ไว้ให้นั่งแต่งตัว บนเตียงนอนมีผ้าเช็ดตัวและผ้าเช็ดผมวางไว้ให้ใช้บริการ ภายในห้องพักมีปลั๊กไฟไว้ให้บริการหลายจุดเลยครับ เพียงพอต่อการชารจ์ไฟได้หลายๆอย่างพร้อมกัน
เตียงนอนก็นุ่มสบายดีนะครับ เสียตรงที่ว่า ด้านล่างเป้นแบบล้อเลื่อน ทำให้แอบยวบ และสั่นคลอนเล็กน้อย และเวลาประมาณห้าทุ่มกว่า สัมผัสได้ว่า เตียงนอนสั่นครับ สั่นขนาดที่ร่างกายเราสั่นตามไปด้วยเลย ลักษณะคล้ายเวลาเรานอนริมถนน มีรถขนาดใหญ่วิ่งผ่าน แต่ก็เป็นเพียงประมาณ 2-3 นาที แล้วทุกอย่างก็สงบ เครื่องปรับอากาศก็เย็นสบายดีครับ แต่ห้องที่เราได้พัก จะมีเสียงดัง กึกๆ ออกมากจากเครื่องปรับอากาศ เป็นระยะครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนของใบพัดแอร์หรือเปล่า ในตอนแรกก็แอบหลอนเล็กน้อย ว่าเสียงอะไร
ห้องอาหารของทางโรงแรมเริ่มในเวลา 6.30-10.00 น. นะครับ คูปองทานอาหาร เราจะได้มาพร้อมกับกุญแจห้อง อย่าลืมส่งให้กับน้องพนักงาน โดยอาหารจะมีให้เลือกทานเป็นเซ็ทครับ ระหว่าง American Set และ Thai Set พร้อมด้วยบริการสลัดผัก ขนมปัง ผลไม้ เครื่องดื่มเติมได้เรื่อยๆครับ มาถึงจังหวัดอุดรธานีทั้งที เราสองคนจึงตัดสินใจเลือก Thai Set เป็นชุดไข่กระทะและขนมปังเวียดนามครับ หลังสั่งอาหารแล้ว ก็เดินไปเลือกโต๊ะที่นั่งรอได้เลยครับ