พีคมากกับคุณช่อ ตลอดทั้งคลิป

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
พีคมากกับคุณช่อ ตลอดทั้งคลิป พีคสุดๆ ช่วง 1:05:00 เป็นต้นไป
พีคเรื่องการพูดถึง "การปกครองด้วยความกลัว"

ผมอายุ 40 ปี ไม่ได้เป็นแฟนการเมือง เรื่องที่ผมสนใจคือเรื่องต่างๆ ทั่วไป มีผ่านตาข่าวการเมืองบ้าง
แต่ผมรู้สึกมาตลอดว่าเวลาฟังคนที่อยู่ในวงการการเมืองในไทย ทำไมมันดูตลก
ไม่ว่าจะนโยบาย การสัมภาษณ์ การโต้ตอบ การคุมอารมณ์ ความคิดอ่าน

วันนี้ผมได้รับคำตอบแล้วว่า คนที่คมนั้น เขาอยู่ข้างหลังมาโดยตลอด
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นสื่อ เป็นนักวิชาการ เป็นนักคิด นักเขียน และนักธุรกิจที่สนใจสังคม
ส่วนคนที่ออกมา 'เล่น' การเมืองนั้น จะว่าไปเหมือนคนที่กล้าที่จะออกมาเล่นแสดงโชว์
แสดงมีปากอะไรแบบนั้นมากกว่า และแสดงออกชัดเจนว่าเป็นแนว 'รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง'
หรือใกล้ๆ กับสำนวนไทยอื่นๆ ที่หมายถึงคนที่เอาตัวรอดได้ มีพรรคมีพวกได้ เข้ากลุ่มได้ ซึ่งเป็น
กลุ่มที่เน้น 'ต่างตอบแทน' สภาพแบบนี้เห็นได้ชัดมาตลอดจนเราชิน หรืออาจจะนิยามได้ว่า
นี้คงเป็น 'การเมืองแบบไทยๆ' แต่ตัวเราลืมนึกไปว่า คนเรานั้นมันต้อง evolve หรือต้องมีวิวัฒนาการ

การวิวัฒนาการก็เกิดขึ้นได้จากการเรียนรู้ผู้อื่น เริ่มจากเรียนรู้พ่อแม่ ครูอาจารณ์ ผู้ใหญ่ คนที่เก่งกว่า
และปัจจุบัน ก็คือโลกาภิวัตน์ที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากต่างประเทศ มันไม่ใช่เรื่อง 'การเมืองแบบไทยๆ' อีกต่อไป

เมื่อฟังความคิดอ่านของพรรคความหวังใหม่ ผมเห็นแสงสว่างที่เจิดจ้าเหมือนพรรคที่เข้าชิงตำแหน่ง
เป็นรัฐบาลในประเทศที่มีประธานาธิปดีเป็นประมุขอย่างสหรัฐ หรือนายกรัฐมนตรีที่ทรงเกียรต์แบบอังกฤษ
มากกว่า นายกรัฐมนตรีแบบไทยๆ แบบที่ผ่านมา ที่แสดงออกเหมือนกำลังแสดงหนังตลก เมื่อเทียบกับ
การแสดงออกของผู้ที่ทำงานการเมืองในต่างประเทศ

ผมอยากจะเขียนสิ่งๆ หนึ่งในใจ ที่ผมมั่นใจว่ามันใช่ แต่มันพิมพ์ไม่ได้ถ้าอยู่ในประเทศนี้
คือมีการสูญเสียที่เป็นผลทำให้เราต้องโตขึ้น เพราะเราไม่ได้มี hero หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว

แม้ว่าผู้ที่ตื่นขึ้นมาแล้วออกมาสู้จะเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แบบพรรคความหวังใหม่ แต่ก็เป็น
จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทรงพลังมากๆ ผมก็อยากไปร่วมกับพวกเขา

พรรคอนาคตใหม่แสดงออกถึงอุดมการณ์อย่างแรงกล้า ไม่ต่างจากนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่
ในความรู้สึกผม รูปของคุณธนาธรดูเหมือน นศ.ปี 3 ยังไงยังงั้น ซึ่งผมไม่เคยได้สัมผัสถึง
อุดมการของคนที่เล่นการเมืองในเมืองไทยมาก่อนเลยแม้แต่น้อย และความแตกต่างนี้มันชัดเจนมาก
จนการฟัง debate ต่างๆ นั้น ทำให้เรารู้สึกทนฟังพรรคอื่นๆ ได้ยาก เพราะนั่นคือเหล้าเก่าในขวดใหม่
หรืออาจจะแย่กว่านั้นถ้าขวดก็ยังเก่าด้วย

ผมก็เป็นหนึ่งคนที่เคยชินกับการยึดอำนาจ และก็คิดว่า ก็อาจจะบริหารไม่ดีจริงๆ เลยลงเอยแบบนั้น
และยอมรับอำนาจทหาร 'ด้วยความเคยชิน' และก็เป็นหนึ่งคนที่กลัวทหาร และเข้าใจว่า คนส่วนใหญ่
ต้องกลัว โดยรู้สึกผ่านจากแม่ ญาติพี่น้อง มันเป็นเหมือนสิ่งที่สืบทอดต่อๆ กันมาให้เราคิดแบบนั้น

แต่ถ้าเราออกมาจากกะลาเดิมๆ ซึ่งคำพูดของธนาธรทำให้ ความชินอันนั้นมันหลุดออกไป
เราก็จะเห็นได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ผิดจริงๆ นั่นแหล่ะ แต่เรากำลังถูกบังตาหรือลวงตาว่าการสิ่งที่ผิดคือสิ่งที่ถูก
ในสถานการณ์ที่ทำให้เราคิดว่าไม่มีทางออกนอกเหนือจากนั้น แต่จริงๆ แล้ว เรายังไม่ได้มองทะลุเข้าไป
ให้ลึกมากพอ ที่ฝ่ายผู้มีอำนาจมองเห็นความอ่อนแอของการเมืองไทยเป็นเหมือนขนมเค้กที่ทำให้พวกเขา
เข้ามากับภาพลักษณ์ที่ดูชอบธรรมได้เรื่อยๆ เรื่อยๆ เพียงแต่รอดูให้ถูกจังหวะเท่านั้น ซึ่งอาจจะง่ายกว่าที่คิด
และอาจมีสูตร์สำเร็จให้ทำเป็นตำราเลยด้วยซ้ำ

ความอ่อนแอของการเมืองไทยนี้มาจากคนนั่นเอง แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ได้อ่อนแอแค่ฝั่งนักการเมือง
แต่มันคือทั้งระบบ ที่เกื้อหนุน ต่างตอบแทน และระบบที่เซ็ตเอาไว้สำหรับดูดกินผลประโยชน์จาก
คนทุกคนที่วางมาไว้เป็นอย่างดีแล้วต่างหาก อาจพูดได้ว่าคือมันคือรูปแบบของสังคมการเมือง
ซึ่งคนหรือผู้นำที่จะแก้ไขได้ต้องหลุดออกจากกฎตรงนั้นให้ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะเกมการเมือง
มันอาจจะมีกับดัก มีสถานการณ์บังคับ จำยอม และอื่นๆ ซึ่งผมเห็นอุดมการณ์จากแววตาของทั้งสาม
คนที่เป็นคนนำพรรคอนาคตใหม่ และเป็นคนที่มีอุดมการณ์แต่แสดงออกชัดด้วยว่า 'ไม่โง่' จนไม่อาจ
คาดหวังด้วยได้ ทั้งสามทำให้ผมรู้สึกคาดหวังและอยากร่วมไปกับพวกเขา

การพลาดถูกฟ้องคดีต่างๆ จนอาจจะติดคุกกันนั้น แว้บนึงในใจของผม ผมไม่แน่ใจว่ามันคือการแสดง
ออกที่โง่เขลาจนต้องตายของคนที่มีอุดมการณ์แบบที่ผมเคยเห็นมาในอดีตของกลุ่ม น.ศ.ที่ต่อต้านเผด็จการรึเปล่า?
หรือมันเป็นก้าวที่ไม่ได้โง่เขลา แต่เขาจะเอาให้ตายให้ได้ หรือ มันต้องแสดงออกเหลี่ยมนี้ มันถึงจะสามารถต้าน
เผด็จการได้ ซึ่งผมสรุปว่าน่าจะเป็นอย่างสุดท้ายมากกว่า เพราะการกระทำที่ฉลาดที่สุด ในการหลบหลีกพ้นได้
ทุกอย่าง มันก็ไม่ต่างจากสำนวน 'เข้าเมืองตาหลิ่ว' หรือ 'รู้หลบเป็นปีก' เลย ดังนั้น การเปิดช่องโหว่ที่ดูโง่ที่สุด
เพราะฝ่ายตรงข้ามสามารถเข้ามาทำลายได้ ก็อาจจะเป็น move ที่ฉลาดที่สุดได้เช่นกัน

เพียงแต่ว่า ภาพที่เราเห็น กับสิ่งที่เรากำลังสู้อยู่ มันไม่รู้ว่า ฝ่ายตรงข้ามนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน
แต่อย่างที่เคยได้ยินธนาธรพูด เขาเชื่อมั่นว่าพลังที่มาจากประชาชนนั้นใหญ่ที่สุด เขาจึงเชื่อมั่นว่าจะชนะ
แต่ผม และคนส่วนใหญ่ ที่ผ่านมาเราไม่เคยคิดแบบนั้น อย่างที่คุณช่อพูด นาทีที่ 1:10:00 กว่าๆ
คนที่เป็นปากเสียงได้ 'ไม่มีใครกล้า' ซึ่งนั่นอาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า เรื่องที่กำลังจะทำเพื่อแก้ไขอะไรบางอย่างนั้น
มันใหญ่มากซะจนเป็นไปไม่ได้ ขณะที่ผมพิมพ์อยู่ ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้น 'บางอย่าง'ที่ว่านั้น มันคือทั้งประเทศรึเปล่า
ก็อาจจะเป็นได้ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคอนาคตใหม่ได้ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งตื่นขึ้น... แต่มันก็อาจจะไม่ชนะ
หรือยังห่างไกล ก็อาจจะเป็นได้ เพราะ 'กลุ่มคนที่มีพลังเสียง' นั้นเงียบ นี่คือจุดที่ทำให้อีกฝ่ายได้อยู่ฝั่งที่ชนะแบบ
สบายๆ มาอยู่เสมอ เรากำลังถูกครอบงำด้วยอะไรบางอย่างรึเปล่า หรือว่าเราคิดจินตนาการเพ้อฝันไปเอง
ถ้าหากเป็นแค่เรื่องของทหาร มันคงไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ หรือมารวมเรื่องกลุ่มทุน ผลประโยชน์ ที่ทำให้เกิดอำนาจ
ขนาดใหญ่ที่เรามองไม่เห็น แต่มีตัวตนจริงๆ หรือจริงๆ มันคือการรวมกันของอำนาจหลักทั้งหมดในประเทศนี้
ซึ่งในที่สุดฝ่ายประชาชนจะแพ้ เพราะพวกเรายังอ่อนแอเกินไป และพวกเราทุกคนอยู่ในเบ้าหลอมขนาดใหญ่
ที่ล้างสมองพวกเรามาโดยตลอด เรื่อง 'ความชิน' ที่ผมพูดไปก็เป็นหนึ่งในนั้น เรื่อง 'การศึกษา และประวัติศาสตร์'
ก็เป็นตัวสำคัญที่ล้างสมองเรามาเป็นอย่างดี ถ้า concept ไม่แม่นและหนักแน่นพอ เราก็จะหลงทางได้ง่ายๆ

ทั้ง 3 core ของพรรคอนาคตใหม่ ไม่หลงทางแบบนั้น และพยายามให้สติกับทุกๆ คน
แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ หากพรรคอื่นๆ ไม่สนับสนุนพวกเขา ด้วยเพราะทำตามหน้าที่จะต้องแข่งขันกัน
แต่อันที่จริงแล้ว ผมเคยเห็นการเมืองในต่างประเทศ ฝ่ายตรงข้ามนั้นก็สามารถออกมาสนับสนุนพรรค
คู่แข่งได้ ถ้าเขาเห็นว่า นี่จะเป็นความหวังและเป็นอนาคตที่ดีให้กับชาติได้ ผมอยากเห็นภาพแบบนั้น
ผมอยากเห็นคุณอภิสิทธิ์ คุณไอติม และ ผู้สมัครที่เป็น ดร.หรือผู้มีคุณวุฒิสูงๆ ในพรรคอื่นๆ
ออกมาเชียร์คุณธนาธร โดยไม่ต้องยึดตามหน้าที่ว่าต้องแข่งขัน แต่ยึดตามหัวใจของพวกเขา
เพราะถ้าเป็นผม ผมก็จะทำแบบนั้น หรือแม้แต่ลุงตู่ก็ตาม ถ้าผมเป็นท่าน ได้เห็นอุดมการณ์ที่แรงกล้าขนาดนี้
ที่น่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ ผมจะออกมาเชียร์ฝั่งตรงข้าม โดยไม่ต้องกลัวว่าถ้าทำไปแล้ว
จะเหลิง จะทำให้เป็นเผด็จการอำนาจแบบทักษิณที่มีคนนิยมมากเกินไป เพราะนั่นคือการดูถูกวิจารณญาณของ
คนหรือประชาชนอย่างมาก

แต่นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น ซึ่งผมเห็นความหวังเกิดขึ้นมาจริงๆ อย่างไม่เคยคิดฝันมาก่อน
และผมเชื่อว่า ธนาธร (คืออายุเราพอกัน) คุณช่อ และดร.ปิยบุตร เปิดรับทุกคนให้ทำงานด้วยกันอยู่แล้ว
ถ้าจะไปในทางปฎิรูปพัฒนาประเทศ ไม่ใช่แนวทางต่างตอบแทนแบบที่เป็นมา หรือกล้าที่จะขัดอำนาจนายทุน
อำนาจยิ่งใหญ่ต่างๆ ซึ่งเราต้องกล้าออกมาแสดงออก อย่างในคลิปที่คุณช่อพูด ถ้าเรากล้าแสดงออกมา
มันคือการช่วยได้จริงๆ ซึ่งผมหวังว่าโค้งสุดท้าย คนที่มี power คนในสื่อ celeb นักธุรกิจ คนดังต่างๆ จะ
ออกมาเลือกข้างพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งนั่นจะช่วยให้คนกล้ายิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ผลของการเลือกตั้งอาจ
ไม่สำคัญเท่ากับ การออกมา 'แสดงออก' ณ ตอนนี้ให้จงได้ สิ่งที่เราเคยเชื่อว่าใช่ วันนี้มันอาจจะเปลี่ยนได้
เราทุกคนเปลี่ยนได้เสมอ ไม่ใช่ว่าเราเคยเชียร์ใคร ก็ต้องเชียร์คนนั้นไปตลอดกาล เพราะถ้าเปลี่ยนก็แปลว่า
เราเคยเลือกผิด มันไม่ใช่แบบนั้น การเปลี่ยนแปลงก็คือความกล้า มันคือความกล้าที่จะเปลี่ยน

จากที่ดูคลิปคุณช่อ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาพิมพ์อะไรได้ขนาดนี
หวังว่าจะเป็นความเห็นเล็กๆ อันนึง ที่ทำให้บางคนรู้สึกว่าได้ประโยชน์บ้าง
ส่วนถ้ามากินพื้นที่ หรือสร้างความรำคาญให้กับใครก็ต้องขออภัย ผมต้องพิมพ์
แสดงความคิดเห็นเพื่อบอกจุดยืนของผม นอกเหนือจากการไปลงคะแนนในครั้งนี้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่