..........( ประสบการณ์งานเขียน ของข้าพเจ้า)..........
...........เรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ การทำงาน ของนักเขียนหน้าใหม่ เล่าสู่กันฟังนะครับ บอกไว้ก่อน ว่าไม่ใช่หลักวิชาการแต่อย่างใด เป็นวิธีการทำงาน และอุปสรรค ของคนเพิ่งหัดเขียน ทั้งด้านเวลา ด้านความคิด ในมุมต่าง ๆ นำมารวบรวมไว้ เพราะอารมณ์ และความรู้สึก ของความใหม่เอี่ยม ยังคงอยู่ครบถ้วน เอาไว้เปรียบเทียบดู เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่นำไปใช้ทั้งหมดคงไม่ได้แน่ เพราะต่างคน ก็มีแนวทางของตัวเอง
ส่วนท่านใดต้องการวิธีการที่ถูกต้องเพิ่มเติม ต้องไปค้นเอาเองนะครับ ตัวผมเองก่อนลงมือเขียนนั้น หลัก ๆ เกี่ยวกับการตั้งชื่อเรื่อง การบรรยายฉาก เคล็ดลับจากนักเขียนชื่อดัง หรืออื่น ๆ ผมก็ศึกษาจาก เว็บ เด็กดี ดอทคอม พอลงงานไปแล้ว ก็ท่านผู้อ่านนั่นแหละครับ ที่เข้ามาแนะนำ และกลั่นกรอง
ช่วงนี้เห็นคำถามเกี่ยวกับ การต้องการเป็นนักเขียน ผ่านตาอยู่บ่อย ๆ ผมเลยรวบรวมการทำงานของตัวเอง มาแบ่งปันกัน เพราะผมก็นักเขียนหัดใหม่ เรียกว่า ยังไม่ถึงครึ่งปีเลยละ และถ้าบังเอิญ เรื่องนี้จะมีประโยชน์ กับท่านผู้อ่าน สักบรรทัดนึง ผมก็ดีใจสุด ๆ แล้วครับ
ผมเริ่มเขียนเรื่องสั้น เดือน ตุลาคม ๒๕๖๑ ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าฝนพอดี หน้าร้านเลยไม่ค่อยยุ่งเท่าไร วันหนึ่งเขียนได้ สาม ถึง สี่เรื่อง แต่ยังไม่ได้ทวนนะครับ ต้องอ่านซ้ำไปซ้ำมาอย่างน้อย ห้า ถึง สิบรอบ ก่อนจะลงงาน พอมาตอนนี้ อากาศเริ่มร้อน ของเริ่มขายได้ เลยยุ่งหน่อย ๆ เรื่องนึงสองสามอาทิตย์ ยังไม่อยากจะเสร็จ ยิ่งวันไหนเจ้าตัวร้ายไม่ไปโรงเรียนด้วยนะ วันหนึ่งสามบรรทัดยังไม่ได้เลย ตอนนี้ขณะที่นั่งเขียนอยู่นี้ ก็ขึ้นต้นค้างไว้ในคอม สามเรื่อง ถ้าท่านจะย้อนถามว่า อ้าว แล้วมานั่งเขียนเรื่องนี้ทำไม ไปเขียนเรื่องที่ค้างอยู่ไม่ดีกว่าเหรอ ผมขออนุญาต เล่าแทรกไประหว่างทาง ว่ามันต่างกันตรงไหน
ผมรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก บังเอิญที่บ้าน คุณพ่อรับหนังสือฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นประจำ พอเริ่มหัดอ่านหนังสือ ท่านไม่มีการ์ตูน หรืออย่างอื่น ท่านก็เอาฟ้าเมืองไทยนั่นแหละ มาให้หัดอ่านตะกุกตะกักไป รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง คุณพ่อก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ให้ผมอ่านให้ฟัง คำไหนผิด ท่านก็บอกให้ ตอนเด็ก ๆ คำยาก ๆ จะเยอะมาก เพราะเรา ยังไม่คุ้นตา
พอเริ่มคล่องผมก็ค้นหนังสือที่มี มาอ่านหมดเลย แล้วก็ติดอกติดใจ สำนวนและเรื่องราว ที่ท่านเหล่านั้นได้ถ่ายทอดลงมาเป็นตัวอักษร ยุคนั้นนักเขียนที่อยู่ในใจมีด้วยกันหลายท่าน คุณ รงค์ วงษ์สวรรค์ , คุณ อาจินต์ ปัญจพรรค์ , คุณ ปกรณ์ ปิ่นเฉลียว , คุณ สุวรรณี สุคนธา , คุณ ณรงค์ จันทร์เรือง , คุณ มนัส จรรยงค์ , คุณ สุจิตต์ วงษ์เทศ และอีกหลายท่าน ที่นับถือเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าจะยกมาทั้งหมด คงต้องไปตั้งต้นเขียนอีกตอนนึงอย่างแน่นอน
พอโตขึ้นมานิด เริ่มอยากเขียนหนังสือแล้ว ม ๑ เริ่มเขียนกลอน ตอนนั้นได้แค่กลอนแปด นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ทุกวันนี้ก็กลอนแปดเหมือนเดิม เพราะเคยลองแต่ง ฉันท์ โคลง กาพย์ ปรากฏว่าอ่านเองยังไม่รู้เรื่อง เลยถอยมาลองเขียนเรื่องสั้น ในช่วง ม ๔ ตอนนั้นเครื่องพิมพ์ดีดก็ไม่มี และถึงมีก็พิมพ์ไม่เป็น ใช้วิธีเขียนลงกระดาษ คิดไปจนครึ่งเรื่องแล้ว เพิ่งเขียนได้สองบรรทัด แค่บรรยายภาพในห้องนิดเดียว สามวันยังไม่จบ เลยถอดใจ แล้วพอดี จบ ม ๖ ย้ายกลับมาอยู่บ้าน ช่วยงานบ้านด้วย เรียนด้วย เลยเลิกเขียนไปโดยปริยาย
มาได้เริ่มอีกครั้ง ปลายปี ๒๕๖๑ หลังจากวันนั้นมา ๓๕ ปี เท่ากับว่านับหนึ่งใหม่ทั้งหมด เพราะประสบการณ์ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความทรงจำในอารมณ์ทั้งหลาย ที่สะสมมาจากการอ่าน ก็เอาตรงนั้นแหละ มาเขียน เป็นการเขียนออกมาจากความรู้สึกล้วน ๆ พออ่านเองยังมองไม่เห็นอะไร เหมือนมองเงาตัวเองในกระจก ตรงนั้นก็ดี ตรงนี้ก็ดี มองมุมไหนก็ดีไปหมด ยิ่งไม่เคยเขียนอะไรได้ยาวเกินกว่าสองหน้ากระดาษมาก่อน พอได้สี่ห้าหน้า ดีใจแทบนอนไม่หลับเลย
ตัดสินใจลงมาในพันทิป ไอ้ดีใจก็ส่วนนึง แต่ตื่นเต้นมากกว่า พอกดส่งเสร็จ ใจเต้น ตุบ ๆ ๆ โดนอะไรมั่งหว่า นั่งลุ้นว่าจะมีใครอ่านมั้ย ทำอะไรอยู่ตรงไหน แป๊บนึงก็เดินมาดูคอม เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก ไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว
ผ่านไปสักชั่วโมง เริ่มมีบางท่านเข้ามาอ่าน แล้วก็ชวนคุย ถามความเป็นมา ผมก็ตอบไป บางท่านเข้ามาแนะนำ เรื่องจัดวางบรรทัด คำผิด คำซ้ำซ้อน และ การเดินเรื่อง ที่วกไปวนมา ผมจึงมองเห็นหลายจุด ตามที่ทุกท่านได้เมตตาบอกมา โดยเฉพาะตอนจบ มันเหมือนนกปีกหักจะร่อนลงยังไงยังงั้น วนไป วนมา จะลง ๆ ก็ขึ้นไปวน แล้วก็ลงมาอีก สะเปะสะปะอยู่หลายบรรทัดกว่าจะลงได้
พอเริ่มจับจุดได้ ก็หาเวลาแก้ไข ไม่น่าเชื่อนะครับ เฉพาะคำซ้ำ และประโยคที่วนไปวนมา ตัดออกได้สามหน้า ขนาดอักษร
20 ไม่น้อยเลยนะ ที่ไม่ตัดออกตั้งแต่แรก เพราะผมมั่นใจว่ามันคือ วลีเด็ด ประโยคเพชร ประโยคทอง อะไรประมาณนั้น กว่าจะคิดออกมาได้ตั้งครึ่งค่อนวัน จะตัดก็เสียดาย เลยเกะกะ ๆ ให้รุ่นพี่สะกิดเล่นซะอย่างงั้น
ทีนี้ลองอ่านดูอีกที เอ๊ะ ก็รู้เรื่องนี่นา ขนาดตัดออกไปตั้งเยอะ แถมยังอ่านลื่นกว่าเดิมด้วย เลยได้ใจ ตั้งค่าหน้ากระดาษเพื่อขึ้นเรื่องใหม่ทันที ในเวิร์ด ผมจะตั้งกระดาษเป็นแนวนอน ตัวอักษรสีขาว ขนาด
20 และพื้นสีน้ำเงินที่ใกล้เคียงของพันทิป ไม้บรรทัดข้างบนหัวกระดาษ ด้านซ้ายอยู่ที่
0 ด้านขวา อยู่ที่
25 เหตุผลส่วนตัวของผมก็คือ มุมมองจะเหมือนกับวางลงไปแล้ว ตอนตรวจทาน จะคล้ายกับอ่านของจริง ซึ่งครั้งแรกไม่ได้ตั้งแบบนี้ เป็นพื้นสีขาว ตัวอักษรสีดำ ตอนทวนก็ว่าดูดีแล้ว พอก็อปไปวางบนหน้าพันทิป กดส่งเสร็จ มองเห็นวรรคไม่ได้เคาะ คำผิด อะไรอื่น ๆ เต็มไปหมด ส่วนกระดาษแนวนอน ขนาดตัวอักษร
20 นั้น เวลาก็อป ลงไปวาง ย่อหน้า กับสิ้นสุดบรรทัดของเรา จะใกล้เคียงกับในพันทิป
ตั้งค่าหน้ากระดาษเสร็จ นึกไม่ออกสิทีนี้ จะเขียนเรื่องอะไรล่ะ นั่งมองจอว่าง ๆ อยู่เป็นพัก ลุกไปทำนู่นทำนี่เสร็จ ก็กลับมานั่งพิมพ์แล้วก็ลบ ลบแล้วก็พิมพ์ ขึ้นไปได้สี่ห้าบรรทัด ลองอ่านดู แล้วคิดในใจ เออ เราเองยังทนไม่ได้ แล้วคนอื่นเค้าจะคิดยังไง อ่านเองยัง งง เลย ลบอีกแล้ว คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนผ่านไปสามวันจึงคิดได้เรื่องนึง ก็เขียน ๆ แล้วก็วาง อีกสามวันก็คิดได้อีกเรื่องนึง ก็เขียนแล้วก็วาง รุ่นพี่ก็มาให้กำลังใจ มาแนะนำกันเป็นปกติ ผมก็แก้ไขตามที่ท่านแนะนำกันมา
แต่ครั้งนี้มีหลังไมค์มาสิ พอเห็นเลข
1 ตรงรูปซองจดหมายข้างบน ดีใจเลยผม เอาละ งานนี้ มีหลังไมค์ด้วย รีบเปิดอ่านทันทีเลย ข้อความก็ประมาณว่า “คุณคะ เรื่องสั้นของคุณน่ะ มันยังไงคะ ดิฉันเห็นคุณขึ้นต้นมา ก็ บรรยายไป บรรยายไป เรื่อย ๆ เหมือนเรียงความเลยค่ะ ฉันก็ตามคุณไป ตามไป แล้วคุณก็จบ อีชั้น งง ค่า บทสรุปเรื่องราวมันอยู่ตรงไหน ยังไงเหรอค้า”
ผมก็ลองย้อนกลับไปอ่านอีกที จริงแฮะ บรรยายไปเรื่อย ไหลไป ไม่รู้จะไปไหน แล้วก็จบลงดื้อ ๆ ตกลงได้แต่บรรยากาศ ไม่ได้อรรถรสอื่น ถอดใจเลยผม เอาไงดี เรื่องก็คิดไม่ค่อยจะออก พอคิดออกก็เขียนไปเรื่อยเปื่อย นั่งคิดนอนคิดอยู่สามวัน ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
จริง ๆ แล้วเรื่องในหัวน่ะ ผมมีพอสมควรเลย คิดไว้มากมายไปหมด ร่างไว้คร่าว ๆก็มี และตามถนนหนทาง เรื่องราวรอบตัว ที่เห็นอยู่ทุกวัน มันเป็นเรื่องให้เขียนได้ทั้งนั้นแหละ แต่พอจะถ่ายทอดลงมาเป็นตัวหนังสือ เรียบเรียงให้เป็นเรื่องราว เพื่อคนอื่นเค้าอ่านแล้วรับรู้อารมณ์ของเราไปด้วย มันกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
ทำไงดีทีนี้ ไฟดับเลย ไม่ใช่มอดนะ ถ้ามอดมันยังอุ่น ๆ อยู่มั่ง แต่นี่ดับสนิท นึกอะไรไม่ออกสักอย่าง แต่ความอยากเขียนยังมีเกินร้อย อ้าว แล้วจะไปยังไง มีแต่ความอยาก แต่ไม่มีงานออกมา มันก็แน่น อก แย่ สิ
คิดไปคิดมา นึกถึงโรงงานน้ำแข็ง ผมเคยคลุกคลีอยู่ตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่องราวหลายหลากที่คนภายนอกไม่เคยสัมผัส ส่วนคนที่อยู่ ข้างในก็เหนื่อย จนไม่มีเวลาจะมาคุยให้ใครฟัง ผมก็ตัดสินใจ เอาเรื่องนี้ดีกว่า มันไม่ต้องคิด ไม่ต้องสร้างเรื่อง ทั้งหมดอยู่ในหัว ใช้เป็นวิธีเล่าเรื่อง น่าจะคลายเหงาไปได้ ระหว่างที่รอไฟ ในการฝึกเขียนเรื่องสั้น
เป็นที่มาของเรื่องเล่าหลังโรงงาน ซึ่งคุยกันเบา ๆ สบาย ๆ ไม่หนักสมอง ผมเองก็พลอยสบายไปด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งคิดพล็อตเรื่อง แค่คิดว่าจะเอาเรื่องใครมาเล่า
แต่อย่างอื่นยังคงเหมือนกับการเขียนเรื่องสั้น การระวังคำฟุ่มเฟือย ประโยคซ้ำซ้อน ระวังการเล่า วกไปวนมา สรุปก็คือต้องอยู่ในกฎเกณฑ์เดียวกัน กับงานเขียนอื่น ๆ แต่ง่าย ตรงเรื่องราวไม่ต้องแต่งขึ้น แค่เล่าไปตามที่เห็นมา ก็เลยหากินทางเล่าเรื่องอยู่พักนึง
บังเอิญไปเจอในเมล มีอยู่ช่วงนึง อยู่กับลูกสาว งอนกันไปงอนกันมา แล้วบันทึกไว้ ก็เอาออกมาปัดฝุ่น วางให้หลาย ๆ ท่าน ได้ติชมกัน หลังจากลงไปแล้ว นอกจากจะมีหลายท่าน ติดตามอย่างต่อเนื่อง ยังมีบางท่าน เข้ามาพูดคุยในเรื่องราวเดียวกัน บอกเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ อย่างมีความสุข กำลังใจกลับมา ไฟเริ่มครุกรุ่นขึ้น ผมจึงเริ่มฝึกฝนเขียนเรื่องสั้นต่อ พอเขียนเสร็จเรื่องนึงก็ส่งงาน ทุกท่าน ก็ตามให้กำลังใจ และมีคำแนะนำให้ตลอดเวลา ซึ่งทุกอย่างจะไม่ง่ายเลย ถ้าไม่มีท่านทั้งหลาย แล้วเดินอยู่บนเส้นทางนี้ตามลำพัง
( มีต่อครับ )
............. ประสบการณ์ งานเขียน ของข้าพเจ้า ............@@ โดย ลุงแผน
ส่วนท่านใดต้องการวิธีการที่ถูกต้องเพิ่มเติม ต้องไปค้นเอาเองนะครับ ตัวผมเองก่อนลงมือเขียนนั้น หลัก ๆ เกี่ยวกับการตั้งชื่อเรื่อง การบรรยายฉาก เคล็ดลับจากนักเขียนชื่อดัง หรืออื่น ๆ ผมก็ศึกษาจาก เว็บ เด็กดี ดอทคอม พอลงงานไปแล้ว ก็ท่านผู้อ่านนั่นแหละครับ ที่เข้ามาแนะนำ และกลั่นกรอง
ช่วงนี้เห็นคำถามเกี่ยวกับ การต้องการเป็นนักเขียน ผ่านตาอยู่บ่อย ๆ ผมเลยรวบรวมการทำงานของตัวเอง มาแบ่งปันกัน เพราะผมก็นักเขียนหัดใหม่ เรียกว่า ยังไม่ถึงครึ่งปีเลยละ และถ้าบังเอิญ เรื่องนี้จะมีประโยชน์ กับท่านผู้อ่าน สักบรรทัดนึง ผมก็ดีใจสุด ๆ แล้วครับ
ผมเริ่มเขียนเรื่องสั้น เดือน ตุลาคม ๒๕๖๑ ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าฝนพอดี หน้าร้านเลยไม่ค่อยยุ่งเท่าไร วันหนึ่งเขียนได้ สาม ถึง สี่เรื่อง แต่ยังไม่ได้ทวนนะครับ ต้องอ่านซ้ำไปซ้ำมาอย่างน้อย ห้า ถึง สิบรอบ ก่อนจะลงงาน พอมาตอนนี้ อากาศเริ่มร้อน ของเริ่มขายได้ เลยยุ่งหน่อย ๆ เรื่องนึงสองสามอาทิตย์ ยังไม่อยากจะเสร็จ ยิ่งวันไหนเจ้าตัวร้ายไม่ไปโรงเรียนด้วยนะ วันหนึ่งสามบรรทัดยังไม่ได้เลย ตอนนี้ขณะที่นั่งเขียนอยู่นี้ ก็ขึ้นต้นค้างไว้ในคอม สามเรื่อง ถ้าท่านจะย้อนถามว่า อ้าว แล้วมานั่งเขียนเรื่องนี้ทำไม ไปเขียนเรื่องที่ค้างอยู่ไม่ดีกว่าเหรอ ผมขออนุญาต เล่าแทรกไประหว่างทาง ว่ามันต่างกันตรงไหน
ผมรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก บังเอิญที่บ้าน คุณพ่อรับหนังสือฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นประจำ พอเริ่มหัดอ่านหนังสือ ท่านไม่มีการ์ตูน หรืออย่างอื่น ท่านก็เอาฟ้าเมืองไทยนั่นแหละ มาให้หัดอ่านตะกุกตะกักไป รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง คุณพ่อก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ให้ผมอ่านให้ฟัง คำไหนผิด ท่านก็บอกให้ ตอนเด็ก ๆ คำยาก ๆ จะเยอะมาก เพราะเรา ยังไม่คุ้นตา
พอเริ่มคล่องผมก็ค้นหนังสือที่มี มาอ่านหมดเลย แล้วก็ติดอกติดใจ สำนวนและเรื่องราว ที่ท่านเหล่านั้นได้ถ่ายทอดลงมาเป็นตัวอักษร ยุคนั้นนักเขียนที่อยู่ในใจมีด้วยกันหลายท่าน คุณ รงค์ วงษ์สวรรค์ , คุณ อาจินต์ ปัญจพรรค์ , คุณ ปกรณ์ ปิ่นเฉลียว , คุณ สุวรรณี สุคนธา , คุณ ณรงค์ จันทร์เรือง , คุณ มนัส จรรยงค์ , คุณ สุจิตต์ วงษ์เทศ และอีกหลายท่าน ที่นับถือเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าจะยกมาทั้งหมด คงต้องไปตั้งต้นเขียนอีกตอนนึงอย่างแน่นอน
พอโตขึ้นมานิด เริ่มอยากเขียนหนังสือแล้ว ม ๑ เริ่มเขียนกลอน ตอนนั้นได้แค่กลอนแปด นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ทุกวันนี้ก็กลอนแปดเหมือนเดิม เพราะเคยลองแต่ง ฉันท์ โคลง กาพย์ ปรากฏว่าอ่านเองยังไม่รู้เรื่อง เลยถอยมาลองเขียนเรื่องสั้น ในช่วง ม ๔ ตอนนั้นเครื่องพิมพ์ดีดก็ไม่มี และถึงมีก็พิมพ์ไม่เป็น ใช้วิธีเขียนลงกระดาษ คิดไปจนครึ่งเรื่องแล้ว เพิ่งเขียนได้สองบรรทัด แค่บรรยายภาพในห้องนิดเดียว สามวันยังไม่จบ เลยถอดใจ แล้วพอดี จบ ม ๖ ย้ายกลับมาอยู่บ้าน ช่วยงานบ้านด้วย เรียนด้วย เลยเลิกเขียนไปโดยปริยาย
มาได้เริ่มอีกครั้ง ปลายปี ๒๕๖๑ หลังจากวันนั้นมา ๓๕ ปี เท่ากับว่านับหนึ่งใหม่ทั้งหมด เพราะประสบการณ์ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความทรงจำในอารมณ์ทั้งหลาย ที่สะสมมาจากการอ่าน ก็เอาตรงนั้นแหละ มาเขียน เป็นการเขียนออกมาจากความรู้สึกล้วน ๆ พออ่านเองยังมองไม่เห็นอะไร เหมือนมองเงาตัวเองในกระจก ตรงนั้นก็ดี ตรงนี้ก็ดี มองมุมไหนก็ดีไปหมด ยิ่งไม่เคยเขียนอะไรได้ยาวเกินกว่าสองหน้ากระดาษมาก่อน พอได้สี่ห้าหน้า ดีใจแทบนอนไม่หลับเลย
ตัดสินใจลงมาในพันทิป ไอ้ดีใจก็ส่วนนึง แต่ตื่นเต้นมากกว่า พอกดส่งเสร็จ ใจเต้น ตุบ ๆ ๆ โดนอะไรมั่งหว่า นั่งลุ้นว่าจะมีใครอ่านมั้ย ทำอะไรอยู่ตรงไหน แป๊บนึงก็เดินมาดูคอม เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก ไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว
ผ่านไปสักชั่วโมง เริ่มมีบางท่านเข้ามาอ่าน แล้วก็ชวนคุย ถามความเป็นมา ผมก็ตอบไป บางท่านเข้ามาแนะนำ เรื่องจัดวางบรรทัด คำผิด คำซ้ำซ้อน และ การเดินเรื่อง ที่วกไปวนมา ผมจึงมองเห็นหลายจุด ตามที่ทุกท่านได้เมตตาบอกมา โดยเฉพาะตอนจบ มันเหมือนนกปีกหักจะร่อนลงยังไงยังงั้น วนไป วนมา จะลง ๆ ก็ขึ้นไปวน แล้วก็ลงมาอีก สะเปะสะปะอยู่หลายบรรทัดกว่าจะลงได้
พอเริ่มจับจุดได้ ก็หาเวลาแก้ไข ไม่น่าเชื่อนะครับ เฉพาะคำซ้ำ และประโยคที่วนไปวนมา ตัดออกได้สามหน้า ขนาดอักษร 20 ไม่น้อยเลยนะ ที่ไม่ตัดออกตั้งแต่แรก เพราะผมมั่นใจว่ามันคือ วลีเด็ด ประโยคเพชร ประโยคทอง อะไรประมาณนั้น กว่าจะคิดออกมาได้ตั้งครึ่งค่อนวัน จะตัดก็เสียดาย เลยเกะกะ ๆ ให้รุ่นพี่สะกิดเล่นซะอย่างงั้น
ทีนี้ลองอ่านดูอีกที เอ๊ะ ก็รู้เรื่องนี่นา ขนาดตัดออกไปตั้งเยอะ แถมยังอ่านลื่นกว่าเดิมด้วย เลยได้ใจ ตั้งค่าหน้ากระดาษเพื่อขึ้นเรื่องใหม่ทันที ในเวิร์ด ผมจะตั้งกระดาษเป็นแนวนอน ตัวอักษรสีขาว ขนาด 20 และพื้นสีน้ำเงินที่ใกล้เคียงของพันทิป ไม้บรรทัดข้างบนหัวกระดาษ ด้านซ้ายอยู่ที่ 0 ด้านขวา อยู่ที่ 25 เหตุผลส่วนตัวของผมก็คือ มุมมองจะเหมือนกับวางลงไปแล้ว ตอนตรวจทาน จะคล้ายกับอ่านของจริง ซึ่งครั้งแรกไม่ได้ตั้งแบบนี้ เป็นพื้นสีขาว ตัวอักษรสีดำ ตอนทวนก็ว่าดูดีแล้ว พอก็อปไปวางบนหน้าพันทิป กดส่งเสร็จ มองเห็นวรรคไม่ได้เคาะ คำผิด อะไรอื่น ๆ เต็มไปหมด ส่วนกระดาษแนวนอน ขนาดตัวอักษร 20 นั้น เวลาก็อป ลงไปวาง ย่อหน้า กับสิ้นสุดบรรทัดของเรา จะใกล้เคียงกับในพันทิป
ตั้งค่าหน้ากระดาษเสร็จ นึกไม่ออกสิทีนี้ จะเขียนเรื่องอะไรล่ะ นั่งมองจอว่าง ๆ อยู่เป็นพัก ลุกไปทำนู่นทำนี่เสร็จ ก็กลับมานั่งพิมพ์แล้วก็ลบ ลบแล้วก็พิมพ์ ขึ้นไปได้สี่ห้าบรรทัด ลองอ่านดู แล้วคิดในใจ เออ เราเองยังทนไม่ได้ แล้วคนอื่นเค้าจะคิดยังไง อ่านเองยัง งง เลย ลบอีกแล้ว คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนผ่านไปสามวันจึงคิดได้เรื่องนึง ก็เขียน ๆ แล้วก็วาง อีกสามวันก็คิดได้อีกเรื่องนึง ก็เขียนแล้วก็วาง รุ่นพี่ก็มาให้กำลังใจ มาแนะนำกันเป็นปกติ ผมก็แก้ไขตามที่ท่านแนะนำกันมา
แต่ครั้งนี้มีหลังไมค์มาสิ พอเห็นเลข 1 ตรงรูปซองจดหมายข้างบน ดีใจเลยผม เอาละ งานนี้ มีหลังไมค์ด้วย รีบเปิดอ่านทันทีเลย ข้อความก็ประมาณว่า “คุณคะ เรื่องสั้นของคุณน่ะ มันยังไงคะ ดิฉันเห็นคุณขึ้นต้นมา ก็ บรรยายไป บรรยายไป เรื่อย ๆ เหมือนเรียงความเลยค่ะ ฉันก็ตามคุณไป ตามไป แล้วคุณก็จบ อีชั้น งง ค่า บทสรุปเรื่องราวมันอยู่ตรงไหน ยังไงเหรอค้า”
ผมก็ลองย้อนกลับไปอ่านอีกที จริงแฮะ บรรยายไปเรื่อย ไหลไป ไม่รู้จะไปไหน แล้วก็จบลงดื้อ ๆ ตกลงได้แต่บรรยากาศ ไม่ได้อรรถรสอื่น ถอดใจเลยผม เอาไงดี เรื่องก็คิดไม่ค่อยจะออก พอคิดออกก็เขียนไปเรื่อยเปื่อย นั่งคิดนอนคิดอยู่สามวัน ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
จริง ๆ แล้วเรื่องในหัวน่ะ ผมมีพอสมควรเลย คิดไว้มากมายไปหมด ร่างไว้คร่าว ๆก็มี และตามถนนหนทาง เรื่องราวรอบตัว ที่เห็นอยู่ทุกวัน มันเป็นเรื่องให้เขียนได้ทั้งนั้นแหละ แต่พอจะถ่ายทอดลงมาเป็นตัวหนังสือ เรียบเรียงให้เป็นเรื่องราว เพื่อคนอื่นเค้าอ่านแล้วรับรู้อารมณ์ของเราไปด้วย มันกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
ทำไงดีทีนี้ ไฟดับเลย ไม่ใช่มอดนะ ถ้ามอดมันยังอุ่น ๆ อยู่มั่ง แต่นี่ดับสนิท นึกอะไรไม่ออกสักอย่าง แต่ความอยากเขียนยังมีเกินร้อย อ้าว แล้วจะไปยังไง มีแต่ความอยาก แต่ไม่มีงานออกมา มันก็แน่น อก แย่ สิ
คิดไปคิดมา นึกถึงโรงงานน้ำแข็ง ผมเคยคลุกคลีอยู่ตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่องราวหลายหลากที่คนภายนอกไม่เคยสัมผัส ส่วนคนที่อยู่ ข้างในก็เหนื่อย จนไม่มีเวลาจะมาคุยให้ใครฟัง ผมก็ตัดสินใจ เอาเรื่องนี้ดีกว่า มันไม่ต้องคิด ไม่ต้องสร้างเรื่อง ทั้งหมดอยู่ในหัว ใช้เป็นวิธีเล่าเรื่อง น่าจะคลายเหงาไปได้ ระหว่างที่รอไฟ ในการฝึกเขียนเรื่องสั้น
เป็นที่มาของเรื่องเล่าหลังโรงงาน ซึ่งคุยกันเบา ๆ สบาย ๆ ไม่หนักสมอง ผมเองก็พลอยสบายไปด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งคิดพล็อตเรื่อง แค่คิดว่าจะเอาเรื่องใครมาเล่า
แต่อย่างอื่นยังคงเหมือนกับการเขียนเรื่องสั้น การระวังคำฟุ่มเฟือย ประโยคซ้ำซ้อน ระวังการเล่า วกไปวนมา สรุปก็คือต้องอยู่ในกฎเกณฑ์เดียวกัน กับงานเขียนอื่น ๆ แต่ง่าย ตรงเรื่องราวไม่ต้องแต่งขึ้น แค่เล่าไปตามที่เห็นมา ก็เลยหากินทางเล่าเรื่องอยู่พักนึง
บังเอิญไปเจอในเมล มีอยู่ช่วงนึง อยู่กับลูกสาว งอนกันไปงอนกันมา แล้วบันทึกไว้ ก็เอาออกมาปัดฝุ่น วางให้หลาย ๆ ท่าน ได้ติชมกัน หลังจากลงไปแล้ว นอกจากจะมีหลายท่าน ติดตามอย่างต่อเนื่อง ยังมีบางท่าน เข้ามาพูดคุยในเรื่องราวเดียวกัน บอกเล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ อย่างมีความสุข กำลังใจกลับมา ไฟเริ่มครุกรุ่นขึ้น ผมจึงเริ่มฝึกฝนเขียนเรื่องสั้นต่อ พอเขียนเสร็จเรื่องนึงก็ส่งงาน ทุกท่าน ก็ตามให้กำลังใจ และมีคำแนะนำให้ตลอดเวลา ซึ่งทุกอย่างจะไม่ง่ายเลย ถ้าไม่มีท่านทั้งหลาย แล้วเดินอยู่บนเส้นทางนี้ตามลำพัง
( มีต่อครับ )