"มองในมุมมองของเธอ อย่ามองในมุมมองของเรา"
ผมไม่สามารถจะพูดถึงประเด็นทั้งหมดได้เพราะมันแตกประเด็นย่อยไปหลายประเด็นมาก อันนี้ยกมาแค่ประเด็นที่น่าสนใจ แต่อยากบอกว่าแต่ละประเด็นมันทัชความรู้สึกจริงๆนะ
กล่าวก่อนที่มารีวิวย้อนหลังเพราะตอนไปดูในโรงยังไม่ตกตะกอนความคิดได้มากเท่าไหร่ มันยังไม่มากพอที่จะมาเขียนระบายความรู้สึกได้ แต่พอได้มาดูบนNetflixมันเหมือนเป็นการคุยกับเพื่อนเปิดใจกันแค่สองคน มันทำให้มีสมาธิและคิดมากขึ้น เพราะหนังเรื่องนี้เอาจริงๆต้องใช้การตีความอยู่สมควร
หนังเริ่มที่จะเล่าเรื่องตั้งแต่Day0 ของBNK48 ตอนที่เปิดรับออดิชั่น ว่าทุกคนนั้นทำไมมาออดิชั่น ทุกคนต่างมีเหตุผลร้อยแปดที่ต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนล้วนอยากจะลองทำหรือทำตามความฝันที่วาดไว้ในวงการเทพนิยายนี้ หนังไต่ระดับความลึกไปเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงแรกก็เสียเวลาไปกับDAY0เยอะไปนิดนึง แต่ก็เข้าใจว่า อยากจะให้เห็นมุมมองของเมมเบอร์ทั้งหมดว่าทำไม ถึงต้องสละชีวิตเพื่อเข้ามาในอยู่จุดๆนี้
ทุกคนไม่ได้สมบูรณ์แบบ บางคนเต้นไม่ดีร้องก็ไม่ได้ดี เรียนก็อาจจะไม่ได้เก่ง แต่สามารถมาอยู่จุดนี้ได้ เพราะสิ่งที่กรรมการเห็นว่า มีแววพัฒนาได้
ระบบ48Gไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการคนที่ไม่สมบูรณ์แบบแต่มีความต้องการจะพัฒนาตนเองอย่างสูง ซึ่งมันทำให้แฟนคลับได้เห็นพัฒนาการแต่ละคน และเอาใจช่วยอย่างใกล้ชิดจนอินได้
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังก็คือ "เรื่องตัวตนของเมมเบอร์" เอาจริงๆในช่วงแรกทุกคนลองทำตามคาแรคเตอร์หลายๆคน อาจจะเห็นคนนู้นทำตัวน่ารักแล้วยอดตอบรับสูงก็ลองทำตาม ไปๆมาๆจนมันอึดอัด เพราะมันไม่ใช่ตัวของตัวเองเลยสักนิด การจะมาFakeเป็นคนอื่นเพื่อเอาใจแฟนคลับเนี่ยมันไม่ใช่เลย จนหนังเจาะลึกเรื่องนี้ไปที่ว่า การทำตัวแบบนึง มันก็จะมีแฟนคลับอีกส่วนที่ไม่พอใจ จนมันเอาใจไม่ถูกอ่ะว่าจะต้องทำยังไง พอเป็นแบบนึงคนก็ไม่ชอบ พอเป็นแบบที่อีกกลุ่มนึงชอบ อีกกลุ่มก็ไม่ชอบ สรุปแล้วต้องเป็นคนยังไงหละถึงจะพอใจ? สุดท้ายทุกคนก็เลือกที่จะเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจอะไรแม่มแล้ว ใครจะบ่นอะไรก็บ่น ก็ตัวชั้นเป็นคนแบบนี้ ต่อไปนี้จะไม่มีคำว่าหน้ากล้องหลังกล้องสำหรับพวกชั้น
สิ่งต่อไปคือ ประเด็นความสัมพันธ์เรื่องเพื่อนของเมมเบอร์ ว่าเริ่มมาสมนิทกันได้ยังไงแล้วมีคนสนิทด้านนอกที่ไม่ใช่คนในวงมั้ย คือตรงเนี้ยมันทำให้เราเห็นว่า พวกเธอต้องสละเรื่องส่วนตัวเยอะเหมือนกันสำหรับการมายืนอยู่จุดนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
หนังเล่ามาเรื่อยๆดำลึกลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงที่ผมขอเรียกว่า "จุดวิกฤตของวง" หนังเล่าเรื่องสมัยซิงเกิ้ลที่1 ตอนนั้นค่าใช้จ่ายในวงสูงมาก เยอะจนบริษัทไม่สามารถแบกรับได้ไหวในระยะยาว จนต้องลดค่าใช้จ่ายลงเยอะ เช่นการเปลี่ยนทีมช่างแต่งหน้า ไล่มาตั้งแต่ทีมแต่งหน้าที่ราคาถูกลงๆ จนถึงขั้นต้องแต่งหน้าเอง เอาจริง "การโนเนมมันน่ากลัวนะ" คำพูดของเมมเบอร์ท่านนึงที่บอกกับคนดู มันสร้างอิมแพคมากว่าในจุดๆนั้นอ่ะ จุดวิกฤตของวงมันน่ากลัวมากๆ การจะมาอยู่ในจุดที่มีทุกๆวันนี้มันยากมาก มันไม่ได้ใช้โชคเพื่อดังอย่างเดียว แต่มันคือสิ่งที่ทุกฝ่ายในตอนนั้น ทุ่มสุดหมดตัวเพื่อเดิมพันครั้งสุดท้ายในซิงเกิ้ลที่2 เช่น official BNK48 ที่ถึงขั้นต้องไปก้มหัวขอร้องให้สามารถแปลเพลงได้อิสระมากขึ้นอย่างน้อยแค่เพลงนี้ก็พอ ในขฌะที่ผลงานเด่นๆในตอนนั้นไม่มีอะไรเลยที่ทำให้ทางต้นสังกัดญี่ปุ่นพอใจขนาดต้องปล่อย แต่สุดท้ายก็สามารถทำได้สำเร็จ จนสิ่งที่ทุกคนเดิมพันหมดหน้าตักในตอนนั้นมันเป็นสิ่งที่ช่วยวงให้มีทุกวันนี้จริงๆ เนี่ยแหละคือความพยายามที่แท้จริง เอาจริงๆจุดนี้ผมมองว่า ทุกคนออกจากวงไปเลยก็ได้ตอนนั้น บริษัทเลือกที่จะไม่ไปต่อไม่ดันทุรังขนาดต้องเอาเงินส่วนตัวCEOมาพยุงเพื่อเดิมพันทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จมั้ยก็ได้ แต่ทุกอย่างมันต้องไปต่อจริงๆ
จนมาถึงช่วงที่ผมว่าน่าจะลึกที่สุดในหนังเนี่ย มาถึงตอนนี้คนบางคนที่เป็นวัยทำงานอาจจะบอกว่า เห้ย อะไรนักหนาวะมันเป็นเรื่องปกติของวัยทำงานที่จะต้องเจออะไรแบบนี้แหละ แต่หนังไม่ได้ต้องการให้เรามองในมุมมองของเรา แต่มองในมุมมองของน้องๆ คิดว่าการที่ผู้หญิงอายุ14-22 ซึ่งส่วนใหญ่อายุ14-17 ยังไม่ถึงวัยทำงานด้วยซ้ำ ต้องมาเจอแรงกดดันระดับผู้ใหญ่วัยทำงานเงี้ย มันปกติจริงๆหรอ? ผมว่าไม่นะ ยิ่งมาอยู่ในจุดที่เป็นคนสาธารณะอ่ะมันยากมากมันลำบากมันกดดันทวีคูณไปอีก ในช่วงนี้ผมรับรู้ถึงความกดดันเลยว่าเขารู้สึกยังไง แถมยังต้องมาแข่งขันกันเองในวงอีกอ่ะ
ประเด็นที่เป็นพ้อยสำคัญของเรื่องเลยคือ การแบ่งชนชั้นในวง มีทั้ง คนข้างบน หมายถึงคนที่ดังระดับมหาชนในสายตาคนภายนอก เช่นเฌอปราง มิวสิค โมบาย คนตรงกลางที่ไม่ได้เด่นอะไรในสายตาคนนอก แต่ก็มีแฟนคลับสนับสนุนอยู่จำนวนมากภายใน และสุดท้ายคนข้างล่าง ที่นอกจากจะไม่ดังในสายตาคนนอกแล้ว แฟนคลับที่สนับสนุนนั้นก็มีนิดเดียวถ้าเทียบกับสองฐานะด้านบน
หนังให้พื้นที่ในการเล่าเรื่องของ คนข้างล่างมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ทิ้งคนข้างบนและคนตรงกลางมาพูด ให้มีพื้นที่ในการบอกมุมมองตนเอง
จากการที่ได้ฟังทั้ง3ฝ่ายพูดในตอนนั้น มันทำให้ผมสรุปได้ว่า "คนข้างบน คนตรงกลาง คนข้างล่าง ล้วนมีสิ่งที่เจ็บปวดเหมือนๆกัน"
คนข้างบนก็กดดันในฐานะที่เป้นจุดที่สูงที่สุดในวงและคนภายนอก การจะทำอะไรสักอย่างก็ถูกคาดหวังไว้อยู่ไปพอสมควร การทำอะไรพลาดเล็กๆน้อยๆนิดหน่อย ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมีกลุ่มนึงที่หยิบยกคำว่า "ตัวทอป" ติดไว้ให้พวกเธอตลอดเวลา มันยิ่งเพิ่มความคาดหวังและกดดันไปมากขึ้นจริงๆ ยกตัวอย่าง เฌอปราง เธอเป็นคนที่ดังมากๆในสายตาคนนอกและภายในวง เรียกว่าคือเบอร์1ของวง ในจุดๆนั้น เฌอไม่ใช่คนเก่งทั้งร้อง เต้น แต่เธอกลับเป็นคนที่ถูกคาดหวังมากที่สุดคนนึงในวง เพราะด้วยฐานะกัปตันวงของเฌอปรางด้วย กัปตันวงนั้นไม่ได้หมายความว่าร้องต้องเด่น เต้นต้องดีที่สุด แต่คือคนที่มีภาวะผู้นำมากที่สุดในวง แต่ถามว่าคนนอกเขาเข้าใจมั้ยในเรื่องนี้ ก็ไม่ขนาดนั้น เขาคงเข้าใจว่าเนี่ยคือดีที่สุดในวงฉะนั้นเธอทำอะไรก็ต้องดีที่สุดเท่านั้น เฌอปรางต้องรับมือกับความคาดหวังเหล่านั้นไว้มากทีเดียว สุดท้ายเธอก็ทำได้แค่ พยายามอย่างที่สุดเท่าที่เธอทำได้เพื่อไม่ให้ใครผิดหวัง และการมีฐานะเป็นกัปตันอ่ะ มันไม่สามารถเอนเอียงไปหาคนใดคนนึงได้ มันไม่สามารถที่จะสนิทได้กับคนใดคนนึง ทุกคนต้องเท่าเทียม ต้องทำตัวเหมือนทุกคนเข้าหาได้ตลอด ไม่เอนเอียงไปหาใคร มันวางตัวลำบากมาก นี่แหละคือสิ่งที่น่าเจ็บปวดสำหรับคนข้างบน
คนตรงกลางที่เหมือนจะปลงกับทุกอย่าง แต่ก็มีสิ่งที่เจ็บปวดคือ คนตรงกลางมักจะถูกลืมเสมอๆ ทั้งๆที่เวลาออกงานก็ได้ไปกับพวกคนข้างบนแต่คนกลับจำได้แค่คนเหล่านั้น เช่น เฌอปราง มิวสิค ปัญ แต่คนอื่นอย่างปูเป้ ทั้งๆที่คนสนับสนุนก็เยอะ แต่คนภายนอกนั้นรู้จักน้อย คนมักจะให้ความสนใจตรงข้างบน และให้ความเห็นใจคนข้างล่าง"แค่คนตรงกลางมักจะถูกลืมเสมอๆ "
คนข้างล่าง สิ่งที่เจ็บปวดมากๆก็คือ การโนเนม แฟนคลับก็ไม่ได้เยอะ ดังก็ไม่ดัง พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ไปอยู่ด้านหน้าแบบเขาบ้างสักที เพียงเพราะเขาวัดกันที่ความนิยมเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ในจุดนี้จิ๊บเป็นตัวแทนของคนข้างล่างเลย จิ๊บเป็นคนที่ร้องเพลงเก่งมาก แต่เพียงเพราะความนิยมไม่ดี เลยไม่ได้ไปยืนในแนวหน้าแบบคนอื่นบ้าง แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังเลือกที่พยายามต่อไปเพื่อวงของตัวเองในฐานะตัวสำรอง "การใช้ชีวิตแบบเป็นตัวสำรองมันเจ็บนะ"
มันไม่ใช่ว่าแต่ละฝ่ายจะไม่เข้าใจความเจ็บปวดของแต่ละฝ่าย ทุกคนล้วนเข้าใจ แต่สุดท้ายมันก็ไม่พ้นที่ไม่มีใครเข้าใจได้ดีเท่าเจ้าของความเจ็บปวดนั้นอยู่ดี
มาถึงตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่า คนข้างบนนั่นแหละ คือตัวร้ายสำหรับหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่เลย ตัวร้ายก็คือคนที่ใกล้ตัวแฟนคลับมากๆ นั่นก็คือ แฟนคลับด้วยกันเองนี่หละ ในช่วงแรกใครหละที่ทำให้เมมเบอร์ต้องสับสนต้องเครียดเรื่องคาแรคเตอร์"แฟนคลับไง"ทำอะไรก็ไม่พอใจกันสักที แล้วใครหละที่นอกจากจะสนใจแค่โอชิตัวเองคนเดียวแต่กลับไปเหยียบย่ำความรู้สึกของคนด้านล่างว่า "ยังพยายามไม่พอ" ก็แฟนคลับบางคนนี่แหละ เมมระดับล่างท่านนึงพูดไว้ "คนที่มาบอกว่าพยายามไม่พออ่ะ ต้องพยายามขนาดไหนถึงจะพอสำหรับเขา" มันแย่มากๆนะนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแแล้วยังมาเหยียบย่ำความรู้สึกความพยายามทั้งหมดที่เขาทำเนี่ย รู้ตัวไว้เลยว่าแฟนคลับด้วยกันเองนี่หละตัวร้ายเลย
มาถึงเรื่องงานproduction กาตัดต่อมีสไตร์มากๆ สามารถตัดต่อฟุตเทจที่ยาวถึง60ชั่วโมง แบบไม่มีแกนหลักเรื่องอย่างแน่ชัด ออกมาให้น่าสนใจได้ขนาดนี้ถือว่าดีมากๆ หนังเรื่องนี้จะเป็นบนสัมภาษณ์สลับกับฟุตเทจแบบแฟลชแบ็คเกี่ยวกับวงและเหตุการณ์นั้นๆ เอาจริงๆในฟุตเทจเท่านั้นแฟนคลับอาจจะมองว่ามันคือฟุตเทจเก่าๆที่เคยเห็นอยู่แล้ว แต่คุณเคยมองในอีกมุมมั้ยว่า กว่าจะได้เหตุการณ์ในฟุตเทจพวกนั้นมันผ่านอะไรมาบ้าง มันเหมือนเป็นการอธิบายให้เข้าใจเบื้องหลังแล้วเหยียบขยี้ความรู้สึกด้วยฟุตเทจนั้นๆอ่ะ จุดนี้คือดีมากๆ แต่ต้องตีความหน่อย ฟุตเทจแต่ละอันไม่ได้ใส่มามั่วๆแต่มันมีความหมายจริงๆ มันคือฟุจเทจที่ธรรมดา แต่แฝงไปด้วยความหมายที่เรามักมองข้าม
การใส่ดนตรีประกอบเป็นสิ่งที่ดีมากๆในหนังเรื่องนี้สามารถบิ้วอารมณ์ได้อย่างดี ผมร้องไห้ไปทั้งหมด3ครั้งในการดูหนัง1รอบ เพราะดนตรีที่บิ้วนี่หละ
สุดท้ายนี้อยากจะพูดถึงประเด็นที่ซ่อนเข้าไว้ นักแสดงแบบลับๆของสารคดีเรื่องนี้ ก็คือofficial BNK48 ถึงการจัดการ(ในสมัยก่อน)มันจะกากหมา ขนาดไหน แต่มันก็ไม่เคยจะทิ้งน้องๆเมมเบอร์เลย มันเลือกที่จะเดิมพันต่อไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นเพราะเรื่องธุรกิจเลย แต่ที่ทำไปหนะมันเพราะเห็นใจเมมเบอร์ ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตของวง อย่างที่บอกว่าบริษัทเลือกที่จะหยุดแค่นั้น ไม่ต้องถึงขั้นเอาเงินส่วนตัวCEOมาเดิมพันต่อให้มันเจ็บเพิ่มไปอีกก็ได้ เซฟเพื่อเอาไปลงทุนอย่างอื่นต่อดีกว่า แต่มันเลือกที่จะดันทุรังไปต่อ ถึงขั้นไปก้มหัวขอร้องกับทางญี่ปุ่นเรื่องเพลง และขอพูดถึง"จ็อบซัง" คนที่เปรียบเสมือนพี่ชายหรือพ่อของเมมเบอร์ เวลาประกาศคนที่ติดซิงในแต่ละซิงเกิ้ล จ็อบซังก็เคยพูดว่า "มันลำบากใจทุกครั้งที่ต้องพูด"
มันมีอีกหลายประเด็นมากที่อยากให้ทุกคน"ลอง"ได้ดู ซึ่งมันเป็นประเด็นเก่าๆที่โอตะอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่หนังต้องการให้คุณมองในมุมมองของน้องมากกว่าในมุมมองแฟนคลับ และสำหรับคนที่ไม่ได้ตามวงมันเป็นสารคดีที่ดีเรื่องนึงที่จะทำให้เข้าใจวงในระดับนึงเลยทีเดียว
สุดท้ายของสุดท้าย ตอนจบหนังเรื่องนี้มันไม่ได้จบแค่นี้ แนะนำให้ไปดูlive สดงานเลือกตั้งของBNK48ต่อ และทุกอย่างมันto be continue จริงๆ มันไม่มีทางจบ เราไม่สามารถรู้ตอนจบที่แท้จริงได้เลยจริงๆครับ แต่สำหรับภาคนี้ผมว่ามันจบที่งานเลือกตั้งนะ ลองไปหาดู พิมพ์ไปว่า live งานเลือกตั้งBNK48
นั่นแหละตอนจบของภาคนี้
สามารถดูได้แล้วที่ Netflix นะครับ ไปดูได้
สรุปคะแนน 8/10
[CR] [REVIEWย้อนหลัง] BNK48:Girls dont cry คนข้างบน คนตรงกลาง คนข้างล่าง ล้วนมีสิ่งที่เจ็บปวดเหมือนๆกัน 8/10
ผมไม่สามารถจะพูดถึงประเด็นทั้งหมดได้เพราะมันแตกประเด็นย่อยไปหลายประเด็นมาก อันนี้ยกมาแค่ประเด็นที่น่าสนใจ แต่อยากบอกว่าแต่ละประเด็นมันทัชความรู้สึกจริงๆนะ
กล่าวก่อนที่มารีวิวย้อนหลังเพราะตอนไปดูในโรงยังไม่ตกตะกอนความคิดได้มากเท่าไหร่ มันยังไม่มากพอที่จะมาเขียนระบายความรู้สึกได้ แต่พอได้มาดูบนNetflixมันเหมือนเป็นการคุยกับเพื่อนเปิดใจกันแค่สองคน มันทำให้มีสมาธิและคิดมากขึ้น เพราะหนังเรื่องนี้เอาจริงๆต้องใช้การตีความอยู่สมควร
หนังเริ่มที่จะเล่าเรื่องตั้งแต่Day0 ของBNK48 ตอนที่เปิดรับออดิชั่น ว่าทุกคนนั้นทำไมมาออดิชั่น ทุกคนต่างมีเหตุผลร้อยแปดที่ต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนล้วนอยากจะลองทำหรือทำตามความฝันที่วาดไว้ในวงการเทพนิยายนี้ หนังไต่ระดับความลึกไปเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงแรกก็เสียเวลาไปกับDAY0เยอะไปนิดนึง แต่ก็เข้าใจว่า อยากจะให้เห็นมุมมองของเมมเบอร์ทั้งหมดว่าทำไม ถึงต้องสละชีวิตเพื่อเข้ามาในอยู่จุดๆนี้
ทุกคนไม่ได้สมบูรณ์แบบ บางคนเต้นไม่ดีร้องก็ไม่ได้ดี เรียนก็อาจจะไม่ได้เก่ง แต่สามารถมาอยู่จุดนี้ได้ เพราะสิ่งที่กรรมการเห็นว่า มีแววพัฒนาได้
ระบบ48Gไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องการคนที่ไม่สมบูรณ์แบบแต่มีความต้องการจะพัฒนาตนเองอย่างสูง ซึ่งมันทำให้แฟนคลับได้เห็นพัฒนาการแต่ละคน และเอาใจช่วยอย่างใกล้ชิดจนอินได้
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังก็คือ "เรื่องตัวตนของเมมเบอร์" เอาจริงๆในช่วงแรกทุกคนลองทำตามคาแรคเตอร์หลายๆคน อาจจะเห็นคนนู้นทำตัวน่ารักแล้วยอดตอบรับสูงก็ลองทำตาม ไปๆมาๆจนมันอึดอัด เพราะมันไม่ใช่ตัวของตัวเองเลยสักนิด การจะมาFakeเป็นคนอื่นเพื่อเอาใจแฟนคลับเนี่ยมันไม่ใช่เลย จนหนังเจาะลึกเรื่องนี้ไปที่ว่า การทำตัวแบบนึง มันก็จะมีแฟนคลับอีกส่วนที่ไม่พอใจ จนมันเอาใจไม่ถูกอ่ะว่าจะต้องทำยังไง พอเป็นแบบนึงคนก็ไม่ชอบ พอเป็นแบบที่อีกกลุ่มนึงชอบ อีกกลุ่มก็ไม่ชอบ สรุปแล้วต้องเป็นคนยังไงหละถึงจะพอใจ? สุดท้ายทุกคนก็เลือกที่จะเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจอะไรแม่มแล้ว ใครจะบ่นอะไรก็บ่น ก็ตัวชั้นเป็นคนแบบนี้ ต่อไปนี้จะไม่มีคำว่าหน้ากล้องหลังกล้องสำหรับพวกชั้น
สิ่งต่อไปคือ ประเด็นความสัมพันธ์เรื่องเพื่อนของเมมเบอร์ ว่าเริ่มมาสมนิทกันได้ยังไงแล้วมีคนสนิทด้านนอกที่ไม่ใช่คนในวงมั้ย คือตรงเนี้ยมันทำให้เราเห็นว่า พวกเธอต้องสละเรื่องส่วนตัวเยอะเหมือนกันสำหรับการมายืนอยู่จุดนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
หนังเล่ามาเรื่อยๆดำลึกลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงที่ผมขอเรียกว่า "จุดวิกฤตของวง" หนังเล่าเรื่องสมัยซิงเกิ้ลที่1 ตอนนั้นค่าใช้จ่ายในวงสูงมาก เยอะจนบริษัทไม่สามารถแบกรับได้ไหวในระยะยาว จนต้องลดค่าใช้จ่ายลงเยอะ เช่นการเปลี่ยนทีมช่างแต่งหน้า ไล่มาตั้งแต่ทีมแต่งหน้าที่ราคาถูกลงๆ จนถึงขั้นต้องแต่งหน้าเอง เอาจริง "การโนเนมมันน่ากลัวนะ" คำพูดของเมมเบอร์ท่านนึงที่บอกกับคนดู มันสร้างอิมแพคมากว่าในจุดๆนั้นอ่ะ จุดวิกฤตของวงมันน่ากลัวมากๆ การจะมาอยู่ในจุดที่มีทุกๆวันนี้มันยากมาก มันไม่ได้ใช้โชคเพื่อดังอย่างเดียว แต่มันคือสิ่งที่ทุกฝ่ายในตอนนั้น ทุ่มสุดหมดตัวเพื่อเดิมพันครั้งสุดท้ายในซิงเกิ้ลที่2 เช่น official BNK48 ที่ถึงขั้นต้องไปก้มหัวขอร้องให้สามารถแปลเพลงได้อิสระมากขึ้นอย่างน้อยแค่เพลงนี้ก็พอ ในขฌะที่ผลงานเด่นๆในตอนนั้นไม่มีอะไรเลยที่ทำให้ทางต้นสังกัดญี่ปุ่นพอใจขนาดต้องปล่อย แต่สุดท้ายก็สามารถทำได้สำเร็จ จนสิ่งที่ทุกคนเดิมพันหมดหน้าตักในตอนนั้นมันเป็นสิ่งที่ช่วยวงให้มีทุกวันนี้จริงๆ เนี่ยแหละคือความพยายามที่แท้จริง เอาจริงๆจุดนี้ผมมองว่า ทุกคนออกจากวงไปเลยก็ได้ตอนนั้น บริษัทเลือกที่จะไม่ไปต่อไม่ดันทุรังขนาดต้องเอาเงินส่วนตัวCEOมาพยุงเพื่อเดิมพันทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จมั้ยก็ได้ แต่ทุกอย่างมันต้องไปต่อจริงๆ
จนมาถึงช่วงที่ผมว่าน่าจะลึกที่สุดในหนังเนี่ย มาถึงตอนนี้คนบางคนที่เป็นวัยทำงานอาจจะบอกว่า เห้ย อะไรนักหนาวะมันเป็นเรื่องปกติของวัยทำงานที่จะต้องเจออะไรแบบนี้แหละ แต่หนังไม่ได้ต้องการให้เรามองในมุมมองของเรา แต่มองในมุมมองของน้องๆ คิดว่าการที่ผู้หญิงอายุ14-22 ซึ่งส่วนใหญ่อายุ14-17 ยังไม่ถึงวัยทำงานด้วยซ้ำ ต้องมาเจอแรงกดดันระดับผู้ใหญ่วัยทำงานเงี้ย มันปกติจริงๆหรอ? ผมว่าไม่นะ ยิ่งมาอยู่ในจุดที่เป็นคนสาธารณะอ่ะมันยากมากมันลำบากมันกดดันทวีคูณไปอีก ในช่วงนี้ผมรับรู้ถึงความกดดันเลยว่าเขารู้สึกยังไง แถมยังต้องมาแข่งขันกันเองในวงอีกอ่ะ
ประเด็นที่เป็นพ้อยสำคัญของเรื่องเลยคือ การแบ่งชนชั้นในวง มีทั้ง คนข้างบน หมายถึงคนที่ดังระดับมหาชนในสายตาคนภายนอก เช่นเฌอปราง มิวสิค โมบาย คนตรงกลางที่ไม่ได้เด่นอะไรในสายตาคนนอก แต่ก็มีแฟนคลับสนับสนุนอยู่จำนวนมากภายใน และสุดท้ายคนข้างล่าง ที่นอกจากจะไม่ดังในสายตาคนนอกแล้ว แฟนคลับที่สนับสนุนนั้นก็มีนิดเดียวถ้าเทียบกับสองฐานะด้านบน
หนังให้พื้นที่ในการเล่าเรื่องของ คนข้างล่างมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ทิ้งคนข้างบนและคนตรงกลางมาพูด ให้มีพื้นที่ในการบอกมุมมองตนเอง
จากการที่ได้ฟังทั้ง3ฝ่ายพูดในตอนนั้น มันทำให้ผมสรุปได้ว่า "คนข้างบน คนตรงกลาง คนข้างล่าง ล้วนมีสิ่งที่เจ็บปวดเหมือนๆกัน"
คนข้างบนก็กดดันในฐานะที่เป้นจุดที่สูงที่สุดในวงและคนภายนอก การจะทำอะไรสักอย่างก็ถูกคาดหวังไว้อยู่ไปพอสมควร การทำอะไรพลาดเล็กๆน้อยๆนิดหน่อย ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมีกลุ่มนึงที่หยิบยกคำว่า "ตัวทอป" ติดไว้ให้พวกเธอตลอดเวลา มันยิ่งเพิ่มความคาดหวังและกดดันไปมากขึ้นจริงๆ ยกตัวอย่าง เฌอปราง เธอเป็นคนที่ดังมากๆในสายตาคนนอกและภายในวง เรียกว่าคือเบอร์1ของวง ในจุดๆนั้น เฌอไม่ใช่คนเก่งทั้งร้อง เต้น แต่เธอกลับเป็นคนที่ถูกคาดหวังมากที่สุดคนนึงในวง เพราะด้วยฐานะกัปตันวงของเฌอปรางด้วย กัปตันวงนั้นไม่ได้หมายความว่าร้องต้องเด่น เต้นต้องดีที่สุด แต่คือคนที่มีภาวะผู้นำมากที่สุดในวง แต่ถามว่าคนนอกเขาเข้าใจมั้ยในเรื่องนี้ ก็ไม่ขนาดนั้น เขาคงเข้าใจว่าเนี่ยคือดีที่สุดในวงฉะนั้นเธอทำอะไรก็ต้องดีที่สุดเท่านั้น เฌอปรางต้องรับมือกับความคาดหวังเหล่านั้นไว้มากทีเดียว สุดท้ายเธอก็ทำได้แค่ พยายามอย่างที่สุดเท่าที่เธอทำได้เพื่อไม่ให้ใครผิดหวัง และการมีฐานะเป็นกัปตันอ่ะ มันไม่สามารถเอนเอียงไปหาคนใดคนนึงได้ มันไม่สามารถที่จะสนิทได้กับคนใดคนนึง ทุกคนต้องเท่าเทียม ต้องทำตัวเหมือนทุกคนเข้าหาได้ตลอด ไม่เอนเอียงไปหาใคร มันวางตัวลำบากมาก นี่แหละคือสิ่งที่น่าเจ็บปวดสำหรับคนข้างบน
คนตรงกลางที่เหมือนจะปลงกับทุกอย่าง แต่ก็มีสิ่งที่เจ็บปวดคือ คนตรงกลางมักจะถูกลืมเสมอๆ ทั้งๆที่เวลาออกงานก็ได้ไปกับพวกคนข้างบนแต่คนกลับจำได้แค่คนเหล่านั้น เช่น เฌอปราง มิวสิค ปัญ แต่คนอื่นอย่างปูเป้ ทั้งๆที่คนสนับสนุนก็เยอะ แต่คนภายนอกนั้นรู้จักน้อย คนมักจะให้ความสนใจตรงข้างบน และให้ความเห็นใจคนข้างล่าง"แค่คนตรงกลางมักจะถูกลืมเสมอๆ "
คนข้างล่าง สิ่งที่เจ็บปวดมากๆก็คือ การโนเนม แฟนคลับก็ไม่ได้เยอะ ดังก็ไม่ดัง พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ไปอยู่ด้านหน้าแบบเขาบ้างสักที เพียงเพราะเขาวัดกันที่ความนิยมเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น ในจุดนี้จิ๊บเป็นตัวแทนของคนข้างล่างเลย จิ๊บเป็นคนที่ร้องเพลงเก่งมาก แต่เพียงเพราะความนิยมไม่ดี เลยไม่ได้ไปยืนในแนวหน้าแบบคนอื่นบ้าง แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังเลือกที่พยายามต่อไปเพื่อวงของตัวเองในฐานะตัวสำรอง "การใช้ชีวิตแบบเป็นตัวสำรองมันเจ็บนะ"
มันไม่ใช่ว่าแต่ละฝ่ายจะไม่เข้าใจความเจ็บปวดของแต่ละฝ่าย ทุกคนล้วนเข้าใจ แต่สุดท้ายมันก็ไม่พ้นที่ไม่มีใครเข้าใจได้ดีเท่าเจ้าของความเจ็บปวดนั้นอยู่ดี
มาถึงตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่า คนข้างบนนั่นแหละ คือตัวร้ายสำหรับหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่เลย ตัวร้ายก็คือคนที่ใกล้ตัวแฟนคลับมากๆ นั่นก็คือ แฟนคลับด้วยกันเองนี่หละ ในช่วงแรกใครหละที่ทำให้เมมเบอร์ต้องสับสนต้องเครียดเรื่องคาแรคเตอร์"แฟนคลับไง"ทำอะไรก็ไม่พอใจกันสักที แล้วใครหละที่นอกจากจะสนใจแค่โอชิตัวเองคนเดียวแต่กลับไปเหยียบย่ำความรู้สึกของคนด้านล่างว่า "ยังพยายามไม่พอ" ก็แฟนคลับบางคนนี่แหละ เมมระดับล่างท่านนึงพูดไว้ "คนที่มาบอกว่าพยายามไม่พออ่ะ ต้องพยายามขนาดไหนถึงจะพอสำหรับเขา" มันแย่มากๆนะนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแแล้วยังมาเหยียบย่ำความรู้สึกความพยายามทั้งหมดที่เขาทำเนี่ย รู้ตัวไว้เลยว่าแฟนคลับด้วยกันเองนี่หละตัวร้ายเลย
มาถึงเรื่องงานproduction กาตัดต่อมีสไตร์มากๆ สามารถตัดต่อฟุตเทจที่ยาวถึง60ชั่วโมง แบบไม่มีแกนหลักเรื่องอย่างแน่ชัด ออกมาให้น่าสนใจได้ขนาดนี้ถือว่าดีมากๆ หนังเรื่องนี้จะเป็นบนสัมภาษณ์สลับกับฟุตเทจแบบแฟลชแบ็คเกี่ยวกับวงและเหตุการณ์นั้นๆ เอาจริงๆในฟุตเทจเท่านั้นแฟนคลับอาจจะมองว่ามันคือฟุตเทจเก่าๆที่เคยเห็นอยู่แล้ว แต่คุณเคยมองในอีกมุมมั้ยว่า กว่าจะได้เหตุการณ์ในฟุตเทจพวกนั้นมันผ่านอะไรมาบ้าง มันเหมือนเป็นการอธิบายให้เข้าใจเบื้องหลังแล้วเหยียบขยี้ความรู้สึกด้วยฟุตเทจนั้นๆอ่ะ จุดนี้คือดีมากๆ แต่ต้องตีความหน่อย ฟุตเทจแต่ละอันไม่ได้ใส่มามั่วๆแต่มันมีความหมายจริงๆ มันคือฟุจเทจที่ธรรมดา แต่แฝงไปด้วยความหมายที่เรามักมองข้าม
การใส่ดนตรีประกอบเป็นสิ่งที่ดีมากๆในหนังเรื่องนี้สามารถบิ้วอารมณ์ได้อย่างดี ผมร้องไห้ไปทั้งหมด3ครั้งในการดูหนัง1รอบ เพราะดนตรีที่บิ้วนี่หละ
สุดท้ายนี้อยากจะพูดถึงประเด็นที่ซ่อนเข้าไว้ นักแสดงแบบลับๆของสารคดีเรื่องนี้ ก็คือofficial BNK48 ถึงการจัดการ(ในสมัยก่อน)มันจะกากหมา ขนาดไหน แต่มันก็ไม่เคยจะทิ้งน้องๆเมมเบอร์เลย มันเลือกที่จะเดิมพันต่อไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นเพราะเรื่องธุรกิจเลย แต่ที่ทำไปหนะมันเพราะเห็นใจเมมเบอร์ ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตของวง อย่างที่บอกว่าบริษัทเลือกที่จะหยุดแค่นั้น ไม่ต้องถึงขั้นเอาเงินส่วนตัวCEOมาเดิมพันต่อให้มันเจ็บเพิ่มไปอีกก็ได้ เซฟเพื่อเอาไปลงทุนอย่างอื่นต่อดีกว่า แต่มันเลือกที่จะดันทุรังไปต่อ ถึงขั้นไปก้มหัวขอร้องกับทางญี่ปุ่นเรื่องเพลง และขอพูดถึง"จ็อบซัง" คนที่เปรียบเสมือนพี่ชายหรือพ่อของเมมเบอร์ เวลาประกาศคนที่ติดซิงในแต่ละซิงเกิ้ล จ็อบซังก็เคยพูดว่า "มันลำบากใจทุกครั้งที่ต้องพูด"
มันมีอีกหลายประเด็นมากที่อยากให้ทุกคน"ลอง"ได้ดู ซึ่งมันเป็นประเด็นเก่าๆที่โอตะอาจจะรู้อยู่แล้ว แต่หนังต้องการให้คุณมองในมุมมองของน้องมากกว่าในมุมมองแฟนคลับ และสำหรับคนที่ไม่ได้ตามวงมันเป็นสารคดีที่ดีเรื่องนึงที่จะทำให้เข้าใจวงในระดับนึงเลยทีเดียว
สุดท้ายของสุดท้าย ตอนจบหนังเรื่องนี้มันไม่ได้จบแค่นี้ แนะนำให้ไปดูlive สดงานเลือกตั้งของBNK48ต่อ และทุกอย่างมันto be continue จริงๆ มันไม่มีทางจบ เราไม่สามารถรู้ตอนจบที่แท้จริงได้เลยจริงๆครับ แต่สำหรับภาคนี้ผมว่ามันจบที่งานเลือกตั้งนะ ลองไปหาดู พิมพ์ไปว่า live งานเลือกตั้งBNK48
นั่นแหละตอนจบของภาคนี้
สามารถดูได้แล้วที่ Netflix นะครับ ไปดูได้
สรุปคะแนน 8/10
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้