Mangalitsa หมูขนแกะ

.
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
.
Meet the Mangalitsa Pig 
-The Pig looks like a Sheep
.
.
1.
.

.
.

Mangalitsa  Mangalica มีต้นกำเนิดที่ฮังการี
เพราะความเจริญเติบโตที่ผิดปกติของหมู
ทำให้พวกมันมีขนหยิกเต็มลำตัวคล้ายกับแกะ
ขนหมูมีสีดำ แดง แต่ส่วนมากมักเป็นสีบลอนต์
ทั้งนี้ยังมีสายพันธุ์ขนยาวอีกประเภทหนึ่งคือ
Lincolnshire Curly Coat ของ England
ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ในปี 1972

Mangalica เกือบจะสูญพันธุ์ไปในครั้งหนึ่งแล้ว
เพราะคนไม่นิยมกินกันแล้ว
นอกจากเล่นกีฬาตัดขนหมูขนแกะ
ในปี ค.ศ.1990
เหลือหมูสายพันธุ์นี้น้อยกว่า 200 ตัวแล้ว

การผสมพันธุ์หมูสายพันธุ์ Mangalitsa
เริ่มขึ้นในยุค 1830
ในจักรวรรดิ์ Austro-Hungarian Empire
หลังจากที่ Archduke Joseph Anton Johann
พระราชโอรส Roman Emperor Leopold II
ได้รับหมูป่าจาก  Sumadija
จาก Miloš Obrenović เจ้าชาย Serbian
เป็นหมูป่าตัวผู้ 2 ตัว หมูป่าตัวเมีย 10 ตัว
ซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง
หมูป่าเมือง Bakony กับ Szalonta
ทำให้หมูมีขนหยิกเป็นลอนและมีน้ำหนักมาก

ในช่วงแรกนั้น
หมูสายพันธุ์นี้ถูกสงวนไว้สำหรับ
ราชวงศ์ Habsburg Royalty เท่านั้น
แต่เพราะรสชาติที่ยอดเยี่ยมของพวกมัน
จึงกลายเป็นที่นิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
พวกมันจึงเป็นสายพันธุ์หลัก/ยอดนิยมในยุโรป

Mangalitsa เป็นสายพันธู์หมู
ที่ไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษมาก
และขุนด้วยการให้อาหารเพื่อเป็นหมูอ้วนพี
เพราะพวกมันมีอัตราแลกเนื้อดีกว่าหมูทั่วไป

อาหารที่เลี้ยงให้พวกหมูกิน
แล้วได้ผลผลิตออกมาเป็นเนื้อหมูที่เติบโต
ฟาร์มหมูมักจะรีบขายหมูที่เลี้ยงดูให้โตเต็มวัย
แต่เดิมมักจะบอกว่าไม่เกินกว่า 180-200 วัน
เพราะเกินกว่านั้น เริ่มจะไม่คุ้มค่าใช้จ่ายแล้ว
ยิ่งเลี้ยงต่อ ยิ่งเปลืองอาหาร ค่าแรงงาน
และเนื้อก็ได้น้อยกว่าอาหารที่ให้กิน
เว้นแต่จะได้ราคาขายดีก็ยังพอเลี้ยงต่อได้

โดยข้อเท็จจริงแล้ว Mangalitsa
เป็นหนึ่งในหมูอ้วนที่สุดในโลก
มีไขมันคิดเป็น 65% ถึง 70% ของน้ำหนักตัว
เนื้อเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในหมูที่อร่อยที่สุดในโลก
เพราะในยุคนั้นหายาก/มีการผลิตจำนวนนัอย

เนื้อหมู Mangalica นั้นมีสีแดง
มีลายหินอ่อนสีขาวมาก
มีกรดไขมันโอเมก้า -3 สูง
และมีสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติสูง
เพราะสาเหตุหลักคือ การกินอาหารธรรมชาติ
ประเภท ข้าวสาลี ข้าวโพดและข้าวบาร์เลย์
มันหมู/มันเปลว Mangalica lard นั้นเบากว่า
และละลายที่อุณหภูมิต่ำกว่าหมูทั่วไปชนิดอื่น
เพราะพวกมันมีไขมันไม่อิ่มตัว
จำนวนมากกว่าหมูประเภทอื่น

ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 จนถึงปี 1950
Mangalitsa เป็นสายพันธุ์หมู
ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฮังการี
ไขมัน เบคอน ซาลามี่
เป็นที่ต้องการกันมากในตลาดยุโรป
น้ำมันหมูจาก Mangalitsa ยังใช้เป็นไขมัน
ปรุงอาหาร ผลิตเทียน สบู่ และเครื่องสำอาง
แม้แต่น้ำมันหล่อลื่นอุตสาหกรรม
และวัตถุระเบิดก็ผลิตจากไขมันที่มีค่านี้
เรื่องนี้เป็นเวลาก่อนที่จะมีการแนะนำ
ให้เปลี่ยนไปใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันหมู

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20
ความนิยมเรื่องหมูสายพันธ์นี้เริ่มลดลงไปมาก
เมื่อคนรับรู้ข้อมูลจากนักวิจัยตามสถาบันต่าง ๆ
ระบุว่า ไขมันอิ่มตัวนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ทำให้หมูสายพันธุ์นี้ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
แล้วถูกแทนที่ด้วยหมูที่ผอมกว่า
และสายพันธุ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
เต็มไปด้วยเนื้อมากขึ้นและไขมันน้อยลง
.
.

ในทศวรรษ 1970
เกือบจะเป็นวาระสุดท้ายของหมู Mangalitsa
ใน Austria จะสามารถพบหมูสายพันธุ์นี้ได้
ในอุทยานแห่งชาติและสวนสัตว์เท่านั้น
และใน Hungary มีแม่หมู
พร้อมผสมพันธุ์น้อยกว่า 200 ตัวแล้ว

แต่ในช่วงกลางทศวรรษ 1980
เกิดความนิยม/สนใจ
หมูสายพันธุ์ Mangalitsa อีกครั้ง
พวกมันจึงได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ใหม่

ในปี 1994
สมาคมผู้ผลิตพันธุ์หมู Mangalica
แห่ง  Hungary ได้ก่อตั้งขึ้นมา
Hungarian National Association of Mangalica Pig Breeders
เพื่อคุ้มครองปกป้องสายพันธุ์ Mangalica
ต่อมาอีก  20 ปี
ได้มีการจำหน่วยไส้กรอก
เนื้อหมู Mangalica แบบดั้งเดิม
ที่ผสมกับเครื่องเทศสีแดงอ่อนสูตรต้นตำรับ
ไส้กรอกแบบยุคเก่าจีงได้มีการวางจำหน่าย
ในตลาดของประเทศ Hungary อีกครั้ง

ทุกวันนี้
มีแม่หมูพันธุ์มากกว่า 8,000 ตัวใน Hungary
และผลิตหมูได้ถึงปีละ  60,000 ตัวต่อปี
Mangalica ยังคงเป็นสายพันธุ์
ที่พิเศษและมีจำนวนที่จำกัดมาก
แต่ตอนนี้ไม่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แล้ว

ที่  Spain ผู้ผลิตแฮม Ham แบบดั้งเดิม
ก็ค้นพบว่าหมูสายพันธุ์ Mangalica
เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับกระบวนการที่รักษา
ถนอมอาหารให้ยาวนานขึ้นกว่าเดิม
ทำให้แฮมของสเปนโด่งดังไปทั่วโลก

ขาหมู Mangalica เก็บได้นานถึง 3 ½ปี
โดยยังคงความชุ่มชื้น เนื้อสัมผัสที่นุ่มนวล
มีสีแดงเข้มและรสชาติที่ซับซ้อน
แต่เพราะจำนวนหมู  Mangalica มีไม่มากนัก
จึงกลายเป็นงานศิลปอาหาร
ที่มีราคาแพงกว่าหมูทั่ว ๆ ไป
เพราะคนกินจะเพลิดเพลินกับ
รสชาติที่เข้มข้น/ไขมันที่อุดมสมบูรณ์

Chefs สหรัฐอเมริกาก็เริ่มปรุงอาหาร
จากเนื้อหมู/ผลิตภัณฑ์หมู Mangalica มากขึ้น
หากผู้คนกินเนื้อหมูพันธุ์นี้ต่อไปเรื่อย ๆ
นอกจากจะอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือน  หมีพู
จะทำให้ไม่นานนักหมูสายพันธุ์ Mangalica
ก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
.
.

ในปี 1972
มีเรื่องเศร้าเกี่ยวกับหมู
หมูสายพันธุ์ Lincolnshire Curly Coat
หมูสายพันธุ์ที่หายากของอังกฤษ
เมื่อหมูคู่สุดท้ายถูกส่งไปโรงเชือดหมู

ต่อมา ด้วยความช่วยเหลือของ
DEFRA  Pig Paradise
และสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสายพันธุ์
จึงได้ร่วมมือกันสืบค้น DNA  เพื่อฟื้นฟู
หมูสายพันธุ์  Lincolnshire Curly Coat ดั้งเดิม
แล้วพบว่าหมูสายพันธุ์นี้
มี DNA ร่วมกับหมูจาก Hungary
ถิ่นกำเนิดที่หมู Mangalitsa
ถูกส่งออกในช่วงปี 1900

จึงได้มีการส่งหมูจากอังกฤษ
กลับไปที่ประเทศ Hungary
เพื่อทำการผสมพันธุ์/คัดพันธุ์
ให้ได้สายพันธู์ใกล้เคียงของเดิม
ด้วยการพิสูจน์จากโครงสร้าง DNA
จนได้ใกล้เคียงมากที่สุดแล้ว
หมูสองตัวนี้ตั้งชื่อว่า Delia และ Ainsley
และนำมาแสดงที่สวนสาธารณะ
Butterfly & Wildlife Park ใน Long Sutton
.

เรียบเรียง/ที่มา


http://bit.ly/2NxVves
http://bit.ly/2IGPPjB
http://bit.ly/2NCM2CM
https://bbc.in/2VtyL1N
.
.
2.
.

.
.
3.
.

.
.
4.
.

.
.
5.
.
  
.
.
6.
.

.
.
7.
.

.
.
8.
.

.
.
9.
.

.
.
10.
.

.
.
11.
.

.
.
12.
.

.
Sow, photograph from 1928
.
.
13.
.

.
Boar ในปี 1928
.
.
.
14.

.
.
.

เรื่องเล่าไร้สาระ


ที่ซัง(เมืองตรัง) แบบคนท้องถิ่นเรียกกัน
แบบ ราดรี  เพ็ด ยุดยา กาน นคร ลุง ใย๋ ยะโส
มักจะนิยมกินหมูย่างเป็นอาหารเช้า
จนทำให้ที่นี่ขายหมูย่างมากที่สุดในไทย
ความนิยมดังกล่าวมาจากความเชื่อดั้งเดิม
ที่คุณสุรินทร์ โตทับเที่ยง(ปุ้มปุ้ย) เล่าให้ฟังว่า
คนซังเชื่อว่า  หมูทำอะไรกินก็อร่อย
การกินหมูเป็นอาหารเช้า
จะทำให้ทุกเรื่องราวในวันนี้
กลายเป็นเรื่องหมู หมู

แต่ข้อเท็จจริงน่าจะเป็นว่า
พื้นที่ตรังอากาศส่วนใหญ่ค่อนข้างเย็นชื้น
เพราะมีป่าไม้และฝนตกมากในบางช่วง
คนสวน ชาวบ้าน กว่าจะได้กินอาหารเที่ยง
ก็สายมากแล้ว เพราะต้องทำสวนยาง
กรีดยาง/ทำยางแผ่นให้เสร็จ
เดินทางไปขุดแร่ดีบุกในที่ต่าง ๆ
ชาวบ้านส่วนมากต้องกินอาหารให้อิ่มเต็มที่
จึงต้องการอาหารที่ให้พลังงานมากกว่าปกติ
การกินเนื้อหมูย่างซึ่งมีไขมันมาก
จะช่วยให้พลังงานเพียงพอกับการทำงานได้
ก่อนที่จะได้กินอาหารในมื้อต่อไป

รวมทั้งหมูเป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์ได้เร็วมาก
จนทำให้มีคนบางคนประชดว่า
เสือเกิดปีละตัวสองตัว
หมูเกิดปีละสองสามครอก
ยังไง ๆ หมูก็เกิดมากกว่าเสืออยู่แล้ว
ทำให้คนในวงการต่าง ๆ ยังหากินได้
.
.

แถวบ้านในสมัยก่อน
มีการเข้าหุ้นฆ่าหมูมากินกัน
เพราะแต่เดิมเนื้อหมูมักจะมีราคาแพง
ยังไม่มีการแยกขายในตลาดสด

การฆ่าหมูแต่ละตัว
ครอบครัวเดียวมักจะกินไม่หมด
ตู้เย็นในสมัยก่อนก็มีราคาแพง/หายาก
ทำให้ชาวบ้านที่อยากจะกินหมู
มักจะลงขันเข้าหุ้นกันแบ่งปันกัน

การฆ่าหมูมาแบ่งกันกินแบบเข้าหุ้น
ในกลุ่มเพื่อนฝูงญาติมิตรที่สนิทกัน
โดยมีอัตราการจ่ายตามเนื้อ
แต่ละประเภทที่แตกต่างกัน เช่น
เนื้อหมู เปลวหมู ไส้ หัวหมู สันใน ซึ่โครง ฯลฯ
แล้วแต่ใครจะถูกรัดดวง(ริดสีดวงทวาร)
เป็นคำเปรียบเปรยว่าชอบมาก/สะใจมาก
แบบเจ็บ ๆ มัน ๆ ของคนบางคน
จนพูดกันว่า  รัดดวงใครรัดดวงมัน

เมื่อได้จำนวนเงินครบแล้ว
ก็จะนำไปจ่ายค่าหมูเจ้าของหมู
เพื่อฆ่าหมูมาแบ่งกันตามจำนวนหุ้น
และข้อตกลงเบื้องต้นก่อนเข้าหุ้น

จนมีคำด่าคนที่ไม่เต็มเต็ง/ไม่ครบบาทว่า
พวกขาดหุ้น ซึ่งคำนี้สันนิษฐานว่า
มีที่มาจากการที่ชาวบ้านบางคน
ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
เพราะทำตัวไม่ดี/เห็นแก่ตัว
จนไม่มีคนยอมเข้าหุ้นซื้อหมูด้วย
จนถูกพูดในนัยเหยียดหยามว่า
คนขาดหุ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่