ชีวิตไม่คิดที่จะนำเรื่องครอบครัวมาเล่าให้คนอื่นฟัง แต่วันนี้ไม่ไหวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่ได้รับจากการกระทำของบุคคลภายในครอบครัว
ครอบครัวเรามีกัน 4 คน พ่อ แม่ เรา และน้องชาย เราและน้องชายอายุห่างกัน 4 ปี พ่อและแม่รับราชการทั้งคู่ เงินเดือนอันแสนน้อยนิด อยู่ต่างจังหวัด ชายขอบแถบอีสาน เรากับน้องชายอายุห่างกัน 4 ปี ตลอดเวลาไปโรงเรียนด้วยกัน จนวันหนึ่งที่เราตัดสินใจเข้ามาเรียน ป.ตรี ที่กรุงเทพฯ มาอยู่หอพัก แถวมหาลัย น้องชายอยู่กับพ่อและแม่ที่บ้าน ระหว่างนั้น บ้านมีปัญหา แม่ไม่ได้ส่งค่าบ้านให้ธนาคาร ธนาคารเลยมายึด และได้เข้ามาเช่าบ้านอยู่ในเมือง เราเรียนจบ ตอนอายุ 22 ปี กลับไปอยู่บ้าน 2-3 เดือน ก็สอบบรรจุอยู่หน่วยงานหนึ่งในกรุงเทพฯ กลับมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนนั้นน้องชายก็พาผู้หญิงเข้ามาอยู่ที่บ้าน เรียนอยู่ ปี 1 มหาลัยในจังหวัด ระหว่างที่ทำงาน เราก็เรียนต่อ ป.โท เสาร์-อาทิตย์ เวลาราชการ ก็ทำงาน ช่วงเย็นก็ทำโอที เสาร์อาทิตย์ก็เรียน แต่โชคดีที่เลือกเรียนคณะที่ชอบมาก เลยไม่มีปัญหาเรื่องการทำงานราย การทำ thesis
ตอนนั้นแม่เราอยากสร้างบ้าน โดยที่มีที่ดินแล้ว เหลือกู้เงินสร้างบ้าน พ่อไม่สามารถทำเรื่องกู้ได้ เพราะใกล้เกษียณราชการแล้ว มีแต่เราที่เพิ่งบรรจุได้ 2 ปี แม่ก็ให้เรากู้ร่วม โดยที่บอกว่า ช่วยแม่ก่อนนะ ถ้าน้องเรียนจบแล้ว จะให้น้องเอาชื่อเข้าแทนเรา เราก็ยอม ยอมเพื่อครอบครัวจะได้มีบ้าน และช่วงนั้นน้องสะใภ้ก็ท้องหลานคนแรก แม่ก็บอกว่า อยากให้หลานมีที่อยู่ ที่วิ่งเล่น พอหลานคลอด น้องชายกับน้องสะใภ้ก็ดร๊อปเรียน มาเลี้ยงลูก ย้ายมาเรียนเสาร์อาทิตย์ วันธรรมดาทำงาน เป็นลูกจ้างหน่วยงานหนึ่งในจังหวัด
ระยะเวลาที่น้องเรียน ป.ตรี ตั้งแต่ปี 2552-2560 ลงเรียนคณะหนึ่ง แล้วดร๊อปไว้ และมาเรียนต่อเสาร์อาทิตย์ เลยเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก เมื่อปี 2558 แม่และเราโดนฟ้อง เรื่องที่แม่ไม่ส่งค่าบ้าน บอกว่า หาเงินไม่ทัน เงินเดือนโดนหักหมด ขึ้นศาลไกล่เกลี่ย ศาลให้ส่งได้เงินต้น ทุกเดือน ตอนนี้ทำให้เราเครดิตบูโรในฐานะผู้กู้ร่วม ไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้
เมื่อกลางปี 2561 เราแต่งงาน เราได้พูดกับแม่เรื่องบ้าน ให้นำชื่อเราออกจากบ้าน เพื่อซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ และเพื่อที่จะได้ปลดล็อกเครติดเรา แม่ก็บอกว่า น้องเรียนเหลือรับใบรับรองและทรานสคริปไปสมัครงาน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ไปหางานทำ ยังเลี้ยงลูกคนที่ 2 อยู่ที่บ้าน และพ่อที่อายุ 63 ปี ยังต้องไปรับจ้างเลี้ยงลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานอีก 2 คน ส่วนเรา ตั้งแต่ที่เราเรียนจบ ปี 2552 ถึงปัจจุบัน เรายังอยู่หอพัก ขนาดห้อง 4x5 เมตร เราอยากมีลูก แต่ความเป็นอยู่ยังไม่พร้อม
เมื่อวานน้องไปสอบในหน่วยงานหนึ่งมา ประกาศผลออกมา คือ สอบไม่ได้ เราถามแม่ว่า มันจะเอายังไงกับชีวิต ถ้าสอบไม่ได้ก็ไปสมัครงานเอกชนไหม จะได้มีงานทำ นี่ก็จบมาแล้ว 2 ปี อายุใกล้จะ 30 แล้ว ลูกก็มี เมียก็มี แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบจากคำถามต่างๆ นั้น
เราผิดหรอ ที่ตั้งใจเรียน มาเรียนกรุงเทพฯ ก็ไม่เคยไปอยู่กับผู้ชาย ไม่ทำผิดประเพณี กลัวแต่คนดูถูกว่า มาเรียนกรุงเทพฯ แล้วได้ผัว เรียนจบก็หางานทำ ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน บอกแฟนแต่ว่า เรายังไม่พร้อม รอให้น้องเรียนจบก่อน รอให้ถอนชื่อจากบ้านได้ก่อน เรารอมาตั้งแต่ปี 2555 ที่แม่สร้างบ้าน กับรอให้น้องเรียนจบ แต่สภาพที่เราได้รับคือ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สถานะทางการเงินยังติดเครติดบูโรอีก โชคดีที่มีสหกรณ์ออมทรัพย์ของหน่วยงาน
ผิดที่เราเป็นลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ผิดที่เราเรียนจบตามเกณฑ์ ผิดที่หน้าที่การงานเรามั่นคง ผิดที่เราไม่ทำผิดประเพณี แต่คนที่ถูกคือ คนที่มีลูกก่อนเรียนจบ ไม่ต้องทำอะไร อยู่ที่บ้าน มีข้าวให้กิน มีพ่อที่หาเงินให้ใช้ เราโอนเงินให้แม่ทุกเดือน แต่แม่ก็เอาให้น้องชาย เราถือว่า ให้ไปแล้ว เขาจะทำยังไงก็เรื่องของเขา
ตอนนี้ก็คงต้องรอต่อไป รอจนกว่าน้องจะได้ทำงาน ไม่รู้ว่าเมื่อไร จะเอาหัวออกจากกะลาครอบไปหางาน รอจนตายไปข้าง ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานไหม...
ชีวิตนี้ผิดพลาดตรงไหนหรอ... ถึงต้องทนรออยู่ในสภาพนี้
ครอบครัวเรามีกัน 4 คน พ่อ แม่ เรา และน้องชาย เราและน้องชายอายุห่างกัน 4 ปี พ่อและแม่รับราชการทั้งคู่ เงินเดือนอันแสนน้อยนิด อยู่ต่างจังหวัด ชายขอบแถบอีสาน เรากับน้องชายอายุห่างกัน 4 ปี ตลอดเวลาไปโรงเรียนด้วยกัน จนวันหนึ่งที่เราตัดสินใจเข้ามาเรียน ป.ตรี ที่กรุงเทพฯ มาอยู่หอพัก แถวมหาลัย น้องชายอยู่กับพ่อและแม่ที่บ้าน ระหว่างนั้น บ้านมีปัญหา แม่ไม่ได้ส่งค่าบ้านให้ธนาคาร ธนาคารเลยมายึด และได้เข้ามาเช่าบ้านอยู่ในเมือง เราเรียนจบ ตอนอายุ 22 ปี กลับไปอยู่บ้าน 2-3 เดือน ก็สอบบรรจุอยู่หน่วยงานหนึ่งในกรุงเทพฯ กลับมาอยู่กรุงเทพฯ ตอนนั้นน้องชายก็พาผู้หญิงเข้ามาอยู่ที่บ้าน เรียนอยู่ ปี 1 มหาลัยในจังหวัด ระหว่างที่ทำงาน เราก็เรียนต่อ ป.โท เสาร์-อาทิตย์ เวลาราชการ ก็ทำงาน ช่วงเย็นก็ทำโอที เสาร์อาทิตย์ก็เรียน แต่โชคดีที่เลือกเรียนคณะที่ชอบมาก เลยไม่มีปัญหาเรื่องการทำงานราย การทำ thesis
ตอนนั้นแม่เราอยากสร้างบ้าน โดยที่มีที่ดินแล้ว เหลือกู้เงินสร้างบ้าน พ่อไม่สามารถทำเรื่องกู้ได้ เพราะใกล้เกษียณราชการแล้ว มีแต่เราที่เพิ่งบรรจุได้ 2 ปี แม่ก็ให้เรากู้ร่วม โดยที่บอกว่า ช่วยแม่ก่อนนะ ถ้าน้องเรียนจบแล้ว จะให้น้องเอาชื่อเข้าแทนเรา เราก็ยอม ยอมเพื่อครอบครัวจะได้มีบ้าน และช่วงนั้นน้องสะใภ้ก็ท้องหลานคนแรก แม่ก็บอกว่า อยากให้หลานมีที่อยู่ ที่วิ่งเล่น พอหลานคลอด น้องชายกับน้องสะใภ้ก็ดร๊อปเรียน มาเลี้ยงลูก ย้ายมาเรียนเสาร์อาทิตย์ วันธรรมดาทำงาน เป็นลูกจ้างหน่วยงานหนึ่งในจังหวัด
ระยะเวลาที่น้องเรียน ป.ตรี ตั้งแต่ปี 2552-2560 ลงเรียนคณะหนึ่ง แล้วดร๊อปไว้ และมาเรียนต่อเสาร์อาทิตย์ เลยเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก เมื่อปี 2558 แม่และเราโดนฟ้อง เรื่องที่แม่ไม่ส่งค่าบ้าน บอกว่า หาเงินไม่ทัน เงินเดือนโดนหักหมด ขึ้นศาลไกล่เกลี่ย ศาลให้ส่งได้เงินต้น ทุกเดือน ตอนนี้ทำให้เราเครดิตบูโรในฐานะผู้กู้ร่วม ไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้
เมื่อกลางปี 2561 เราแต่งงาน เราได้พูดกับแม่เรื่องบ้าน ให้นำชื่อเราออกจากบ้าน เพื่อซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ และเพื่อที่จะได้ปลดล็อกเครติดเรา แม่ก็บอกว่า น้องเรียนเหลือรับใบรับรองและทรานสคริปไปสมัครงาน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่ไปหางานทำ ยังเลี้ยงลูกคนที่ 2 อยู่ที่บ้าน และพ่อที่อายุ 63 ปี ยังต้องไปรับจ้างเลี้ยงลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานอีก 2 คน ส่วนเรา ตั้งแต่ที่เราเรียนจบ ปี 2552 ถึงปัจจุบัน เรายังอยู่หอพัก ขนาดห้อง 4x5 เมตร เราอยากมีลูก แต่ความเป็นอยู่ยังไม่พร้อม
เมื่อวานน้องไปสอบในหน่วยงานหนึ่งมา ประกาศผลออกมา คือ สอบไม่ได้ เราถามแม่ว่า มันจะเอายังไงกับชีวิต ถ้าสอบไม่ได้ก็ไปสมัครงานเอกชนไหม จะได้มีงานทำ นี่ก็จบมาแล้ว 2 ปี อายุใกล้จะ 30 แล้ว ลูกก็มี เมียก็มี แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบจากคำถามต่างๆ นั้น
เราผิดหรอ ที่ตั้งใจเรียน มาเรียนกรุงเทพฯ ก็ไม่เคยไปอยู่กับผู้ชาย ไม่ทำผิดประเพณี กลัวแต่คนดูถูกว่า มาเรียนกรุงเทพฯ แล้วได้ผัว เรียนจบก็หางานทำ ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน บอกแฟนแต่ว่า เรายังไม่พร้อม รอให้น้องเรียนจบก่อน รอให้ถอนชื่อจากบ้านได้ก่อน เรารอมาตั้งแต่ปี 2555 ที่แม่สร้างบ้าน กับรอให้น้องเรียนจบ แต่สภาพที่เราได้รับคือ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สถานะทางการเงินยังติดเครติดบูโรอีก โชคดีที่มีสหกรณ์ออมทรัพย์ของหน่วยงาน
ผิดที่เราเป็นลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ผิดที่เราเรียนจบตามเกณฑ์ ผิดที่หน้าที่การงานเรามั่นคง ผิดที่เราไม่ทำผิดประเพณี แต่คนที่ถูกคือ คนที่มีลูกก่อนเรียนจบ ไม่ต้องทำอะไร อยู่ที่บ้าน มีข้าวให้กิน มีพ่อที่หาเงินให้ใช้ เราโอนเงินให้แม่ทุกเดือน แต่แม่ก็เอาให้น้องชาย เราถือว่า ให้ไปแล้ว เขาจะทำยังไงก็เรื่องของเขา
ตอนนี้ก็คงต้องรอต่อไป รอจนกว่าน้องจะได้ทำงาน ไม่รู้ว่าเมื่อไร จะเอาหัวออกจากกะลาครอบไปหางาน รอจนตายไปข้าง ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานไหม...