สงคราม...........ทำแต่ความสูญเสีย ให้ผู้คนการรบโดยไม่รบคือการเจรจา เป็นทางออกที่ดีที่สุด

เนิน ๑๔๒๘ และบ้านร่มเกล้า
๑๔๒๘ คือเนินเขาที่อยู่ติดแม่น้ำเหืองฝั่งตะวันตก ชื่อของมันมาจากพิกัดความสูง ๑,๔๒๘ เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
ใช้โปรแกรม Google Earth สำรวจจะพบว่า เนิน ๑๔๒๘
อยู่ในจุดที่ห่างไกลที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ห่างจากอำเภอชาติตระการ
จังหวัดพิษณุโลก ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเกือบ ๑๐๐ กิโลเมตร
ในประวัติศาสตร์ เนินแห่งนี้คือพื้นที่ “ไกลปืนเที่ยง” จากศูนย์อำนาจอาณาจักรล้านช้างและสยาม

ประภาสกรำศึกในสมรภูมิร่มเกล้าตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ ประสบการณ์เฉียด
ตาย ๒๗ วันนั้นยังชัดเจนในความทรงจำ เขาเล่าว่าที่หมายทางทหารของไทยมีทั้งหมด ๕ จุด ที่หมาย ๑ คือเนิน ๑๔๒๘ เป็นจุดที่ต้องยึดให้ได้ และทหารพรานจากค่ายปักธงชัย ๙ กองร้อยกับ ๑ ฐานยิง ประกอบด้วยปืนใหญ่ขนาด ๘๐ ๑๑๐, ๑๒๐ มม. ได้รับมอบหมายให้อยู่ในแนวหน้าตีจุดนี้ส่วนจุดอื่น ๆ ทหารหลักเป็นผู้รับผิดชอบ
“กองทัพไทยอ่านเกมขาดว่าค่าตัวทหารหลักแพงกว่าทหารพรานที่มีค่าอาหารวันละ ๒๔๐ บาท ค่าจู่โจม ๑๘๐ บาท ตายแล้วจ่ายแค่ ๒ แสนบาทจบ คิดดูว่าเขาส่งทหารยศจ่าสิบเอกเท่านั้นมาคุมหน่วยผม ไม่ใช้นายร้อยเพราะไม่คุ้ม ปรกติทหารพรานถูกฝึกรบนอกแบบ (สงครามกองโจร) แต่ศึกนี้จัดกำลังในแบบ ซึ่งไม่เหมาะ ตอนไปถึงที่นั่นปืนใหญ่เราล้อมที่หมาย ๑ เป็นรูปครึ่งวงกลม เราต้องเข้าตีเนิน ๑๔๒๘ จากด้านหนึ่ง ถ้าตีได้จะตีเนินที่เหลือได้ทั้งหมด ที่ร่มเกล้าภูมิประเทศเป็นภูเขาดิน พอฝนตกจะลื่นมาก เนิน ๑๔๒๘ ชันราว ๗๐ องศา ไม่มีที่ราบ ฐานของลาวไม่ได้อยู่ยอดเนิน แต่อยู่ต่ำลงมาจากยอดเนิน เขาทำแนวตั้งรับไว้ ๓ แนว แนวแรกคือรั้วขวาก ไม้รวก แนวที่ ๒ คือกับระเบิด แนวที่ ๓ คือคูเลด (สนามเพลาะ) แนวตั้งรับจากแนวแรกถึงแนวสุดท้ายลึก
๑ กิโลเมตร ตามโคนไม้ก็วางระเบิดเต็มไปหมดเพราะรู้ว่าเวลายิงกันทหารไทยจะไปตรงนั้น ปืนใหญ่ลาวแม่นมากขณะที่ปืนใหญ่ไทยยิงไม่แม่น

แม้จะเป็นฝ่ายรุกแต่ใจเราตั้งรับเพราะเสี่ยงมาก ยิงกันพักเดียวโดนหามลงมาทีละคน ๆ ผมคิดแล้วว่าจะถึงคิวเราเมื่อไหร่ ได้ยินเสียงทหารลาวตลอดแต่ไม่เห็นตัวเลย”
จ่าสิบเอกนายหนึ่งจากกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๒๑ ค่ายพ่อขุนผาเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งระหว่างศึกร่มเกล้าสังกัดกรมทหารปืนใหญ่ลพบุรี เล่าสถานการณ์อีกมุมของสนามรบให้ฟังว่า “ปืนใหญ่แต่ละกระบอกของเรารัศมีการยิงเกิน ๓๐ กิโลเมตร ปัญหาคือมีคำสั่งจากผู้ใหญ่ว่าต้องรอให้ลาวยิงถึงโต้กลับได้ บางทีเราคำนวณพิกัดได้แล้ว แต่กว่าจะขออนุญาตยิง ปืนใหญ่ข้าศึกก็เปลี่ยนที่ตั้งไปแล้ว บางทีเห็นตำแหน่งปืนใหญ่ข้าศึกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สรุปคือยิงสนับสนุนไม่ได้เต็มที่ทั้งที่พร้อมมาก”
นั่นเป็นผลให้ประภาสและทหารในแนวหน้าต้องรบอย่างยากลำบาก ทหารจำนวนมากเสียชีวิต หลายคนพิการจากการเหยียบกับระเบิด หลายครั้งพวกเขาต้องแบกศพเพื่อนกลับมาแนวหลัง

อดีตทหารสังกัดหน่วยข่าวกรองของกองทัพภาคที่ ๓ นายหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ซึ่งก่อนสงครามฝังตัวหาข่าวในพื้นที่เนื่องจากสื่อสารกับชาวม้งได้คล่อง และระหว่างสงครามนำหน่วยทหารพรานเข้าตีจุดต่าง ๆ รวมถึงทำสงครามนอกแบบ ได้เล่าความโหดไว้อย่างเห็นภาพว่า
“ผมนำทหารพรานเข้าจุดที่จะตีเนินต่าง ๆ วิธีรบคือผมกับทหารคนหนึ่งจะนำหน้าหน่วย ทิ้งระยะ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร มีอะไรเราเจอก่อน เช่นกับระเบิด หลายครั้งผมเข้าไปปาดคอข้าศึกทิ้ง ตอนนั้นมีคำสั่งด้วยวาจาให้ตัดคอหรือหูข้าศึกกลับมาเพราะมีค่าหัวและส่งผลทางจิตวิทยาทำให้ข้าศึกกลัว ศีรษะข้าศึกจะถูกส่งไปที่กองบัญชาการเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นลาวหรือต่างชาติ ผมทำแต่ไม่เห็นได้ค่าหัวสักที ฟังแล้วคุณอาจรับไม่ได้ ช่วงหลังก็เอามาย่างกินด้วย หลัง ๆ ตัดหัวไม่ไหวเปลี่ยนเป็นตัดหูแทน สถานการณ์แบบนี้ทำให้ทหารในสมรภูมิต้องเหี้ยมผิดมนุษย์ ผมไม่อยากให้มีคำสั่งแบบนี้อีกเพราะสร้างความแค้นให้ทั้งสองฝ่าย”

ในช่วงท้ายของสงคราม การโจมตีทางอากาศยังผิดพลาด ก่อความสูญเสียอย่างหนักแก่หน่วยที่เข้าตีเนิน ๑๔๒๘ โดยในการทิ้งระเบิดครั้งหนึ่ง แรงระเบิดทำให้หน่วยทหารหน่วยหนึ่ง “ละลาย” เกือบทั้งกองพัน ซึ่งต่อมาเรื่องนี้กลายเป็นคำเล่าลือว่าทหารไทยบอมบ์พวกเดียวกันเอง
น.อ.ไพโรจน์เล่าเบื้องหลังที่เขาทราบมาจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ว่า “ไม่ใช่ความผิดใคร ผมมีเพื่อนเป็นทหารม้า ม.พัน ๑๘ เราคุยกันหลังสงคราม ระเบิดไม่ได้ทิ้งพลาด สถานการณ์คือขณะนั้นทหารบกส่งกำลังขึ้นไปเยอะ จะให้ถอยก็ลำบาก ระเบิดที่ทิ้งตอนนั้นคือ Guided Bomb Unit หรือ GBU-12 ใช้เลเซอร์นำวิถีขนาด ๒,๐๐๐ ปอนด์ ถือเป็นการใช้ครั้งแรก ๆ ของกองทัพอากาศ ซึ่งแรงระเบิดเกินคาด ไม่นับลูกถัดมาที่กลิ้งจากเนินมาเจอหน่วยทหารไทยอีก ความสูญเสียจึงมากเกินคาดคิด”

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่