สวัสดีครับ คือ ผมอยากไปพบจิตแพทย์ ผมไม่แน่ใจว่าผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า หรือมีโรคทางจิตอื่นๆหรือไม่ ผมขอเล่าชีวิตผมตั้งแต่จำความได้จนอายุ 21 ปีคร่าวๆนะครับ
ตั้งแต่เล็กครอบครัวผมก็อยู่กันพร้อมหน้าสุขสบายดีปกติ มีพ่อ แม่ พี่ 1 คน และ ย่า ครับ จนช่วงนึงเริ่มมีปัญหาเศรษฐกิจพ่อเริ่มดื่มเหล้าหนักขึ้นเรื่อยๆ นอนตื่นสาย เมากลับมาทะเลาะกับแม่ที่บ้าน จนแม่ทนไม่ไหวออกไปเช่าบ้านอยู่กับพี่ 2 คน ทุกครั้งที่พ่อเมากลับมาผมจะไปนอนกับย่าอาจมีบางครั้งที่ย่าไป เล่นการพนันกลับดึกบ้าง(ย่าผมเล่นแบบได้เงินก็กลับ จนสามารถมีเงินตั้งตัวได้พอสมควรครับแต่เล่นค่อนข้างบ่อย) ผมจึงต้องไปนอนกับแม่และพี่ ผมมักปล่อยให้พ่อนอนคนเดียวถ้าเกิดพ่อเมากลับมา ด้วยเป็นคนที่ไม่ชอบกลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่และพ่อพอเมาก็จะพูดไม่หยุด พูดลากเรื่องนั้นเข้าเรื่องนี้วกไปวนมา จนเป็นเหตุที่ทะเลาะกับแม่บ่อยๆ ตบตีกันจนข้าวของในบ้านเสียหายไปหลายชิ้น ผมก็ได้เเค่นั่งร้องไห้เพราะยังเด็กมาก มีหนักที่สุด คือ ตอนที่ย่าไปเล่นการพนันและไม่กลับบ้าน วันนั้นพ่อเมาหนักกลับมาทะเลาะกับแม่ตอน เที่ยงคืนกว่าๆ ภาพเหตุการณ์มุกอย่างยังจำติดตาผมอยู่เลย พ่อกระชากผมแม่จนแม่ล้ม พี่รีบวิ่งไปช่วยแม่ กระโดดขึ้นคร่อมล๊อคแขนพ่อแนบกับถนน นาทีนั้นผมนั่งร้องไห้อย่างเดียวเลยครับ พี่ตะโกนบอกให้ผมกับแม่วิ่ง แม่จูงมือผมวิ่งออกถนนใหญ่ไปนอนบ้านของลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ไม่ไกลมากแต่ พ่อผมไม่รู้จัก ทางที่ผมวิ่งช่วงนั้นยังไม่เจริญมากมีแค่แสงไฟหลอดเล็กๆตามถนน ผมหันหลังไปเห็นพ่อเดินโซซัดโซเซ ถือไม้หน้า 3 ตามมาถึงปากซอย จนคืนนั้นไปถึงบ้านลูกพี่ลูกน้องเเล้วผมก็ยังหลับไม่ลงนอน ร้องไห้ทั้งคืนเลยครับ ตั้งแต่วันนั้นแม่กับพี่ก็ย้ายออกจากบ้านแต่ยังติดต่อกับย่าอยู่ (แม่ย้ายบ้านแต่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน)
หลังจากนั้นอีกไม่นานแม่กับย่าผมก็ทะเลาะกันอีกเป็นปัญหาเรื่องเงินที่ผิดใจกันเหมือนเดิมครับ ย่ามามีปากเสียงกับแม่ถึงที่บ้านจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ ตอนนั้นต้องให้เพื่อนบ้านช่วยแยก เหมือนเดิมครับผมนั่งหลังพิงกำแพงมองผู้ใหญ่ทั้งสองคนตบตีกันกอดเข่าร้องไห้ วันนั้นผมต้องกลับกับย่าผมเพราะแม่มีพี่ดูแล
ตั้งแต่วันนั้นตั้งแต่ที่ครอบครัวผมแตกแหลกเหลวไม่เป็นชิ้น ผมก็อยู่กับย่าผมไปหาแม่ผมบ้างประปราย ผมต้องอยู่กับย่าด้วยเหตุผลที่ว่า
ย่าเลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิด และผมก็มีความผูกพันธ์กับย่าผมมาก
ผมอยู่กับย่า ย่าก็เล่าเรื่องของแม่ให้ฟัง ว่าตั้งแต่เล็ก แม่คิดจะทำแท้งผมแต่ย่าไปเจอก่อน ย่าจึงบอกแม่ว่า "ไม่ต้องทำแท้ง เดี๋ยวเลี้ยงเอง" ด้วยความที่ผมเป็นเด็ก ผมจึงไปถามแม่ว่า จริงเหรอ ที่คิดจะทำแท้งผม จากนั้นคำพูดที่หลุดมาจากปากของแม่ทำเอาผมน้ำตาร่วง แม่ตอบว่า ใช่ โดยมีเหตุผลว่า แม่ไม่อยากให้เกิดมาเพราะรู้อยู่เเล้ว ว่าต้องมาลำบาก ! ผมกลับมาบ้านย่าปิดประตูนั่งร้องไห้คนเดียวในห้องเลยครับ ช่วงนั้นเริ่มคิดฆ่าตัวตายเเล้ว แต่ด้วยความเป็นเด็ก คือ
กลัวเจ็บ วันนั้นคือร้องจนหลับไปเองเลยครับ
หลังจากนั้นช่างอายุ 11-15 โดยประมาณ ชีวิตผมก็วนลูปเหมือนเดิมคือ นอนกับแม่บ้างมากน้อยเเล้วแต่โอกาสครับ จนพักหลังๆ ย่าผมเริ่มห้ามผมไปนอนบ้านแม่ ในหนึ่งอาทิตย์ผมได้ไปนอนบ้านแม่แค่ 1 คืน ย้ำว่า !! แค่หนึ่งคืน ทุกครั้งที่ผมไปย่าไม่เคยไปส่งเลยครับ ผมต้องเดินไป-กลับคนเดียว มีบ้างบางครั้งที่แม่ว่างมาส่งผมช่วง ตี5-6 โมงเช้า คือต้องไปโรงเรียน ผมกับย่าก็เคยมีปัญหากันบ้างครับ ผมไม่ชอบประดยคนึงที่ย่าชอบพูดกับผมบ่อยๆ คือ
จะไปอยู่กับแม่เเล้วเหรอ /ไม่รักย่าเเล้วใช่ไหม แกจะพูดประชดเหมือนอาการน้อยใจครับ ผมเข้าใจว่าย่าเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กย่าจึงรักผมมาก ด้วยความที่ย่าเป็นห่วงผมมากเกิน มากเกินจนผมรู้สึกอึดอัด ตั้งแต่เด็กจนอายุ 21 ปี ผมต้องคอย บอกย่าตลอดว่าไปไหน ทำอะไร ผมรู้สึกเหมือนถูกตีกรอบรอบตัวผมมีแต่คำถาม แต่ไม่มีคำตอบ พอผมบอกย่าผมว่า ผมโตเเล้ว ย่าช่วยห่วงผมแบบมีขอบเขตได้ไหม ไม่เยอะไปเหมือนตอนผมอายุน้อยๆประมาณนี้ครับ ย่าผมสวนมาเลยว่า นี่ดป็นห่วงหาว่าย่าจู้จี้จิกจิก หาว่าผมรำคาญเหรอ ผมก็พูดอะไรต่อจากนั้นไม่ได้ละครับ เพราะย่าผมจะหาว่าผม รำคาญเค้า ผมแทบไม่มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นกับย่าผมเลยครับ เหมือนเดิมครับ จบที่การร้องไห้คนเดียวและทะเลาะกับย่าไปเป็นอาทิตย์ และถ้าผมพูดอะไรแนวๆนี้อีกครั้งก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง
แต่ถึงยังไงผมก็รักย่าผมอยู่ดีครับอย่างที่บอกว่าย่าเลี้ยงผมมาตั้งเเต่แรกคลอด ทำให้การแสดงความคิดของผมถูกปิดกั้นตลอดด้วยความที่ย่าผมอายุเยอะกว่า
ส่วนแม่ผมนั้นเวลาผมไปบ้านแม่ผม แม่ก็จะบอกว่าย่านั้นไม่ดียังไงบ้าง ต่างฝ่ายต่างป้อนข้อมูลที่ไม่ดีให้ผมฟัง ผมเหมือนเป็นคนกลางที่ต้องเลือก ด้วยไว 11-12 มันเป็นปัญหาของผมมากเลยนะครับ ชีวิตผมเริ่มซึมตั้งแต่ช่วงอายุเท่านั้น ภายนอกผมดูเป็นคนร่าเริง แต่ไม่เคยมีใครเข้าถึงตัวตนของผมจริงๆซักที
อีกอย่างย่ากับแม่มีบางอย่างที่คล้ายกัน แม่ชอบด่าเสียงดังใส่ผมกลางที่สาธารณะเหมือนย่าเลยครับ ย่าให้เหตุผลว่า ด่ากลางที่สาธารณะจะทำให้อายและไม่กล้าทำสิ่งนั้นอีก
หลังจากนั้น จนตอนนี้อายุผม 21 ย่าง 22 ปีเเล้ว พ่อผมก็ยังเมาเหมือนเดิม และกลับมาทะเลาะกับย่าเหมือนเดิม ของพ่อนี้เค้าน้อยใจย่ามาตั้งแต่เด็กๆเหมือนกันครับ อันนี้ผมไม่ขอเล่านะครับ (ผมเป็นคนกลางที่รับรู้ปัญหาของทุกคนในบ้านมาตั้งแต่ยังเด็กเลยครับ) ทุกครั้งที่พ่อผมเมา่ย่าจะบอกว่าย่าไม่ยุ่งเเล้ว บอกว่าพ่อโตเเล้ว ย่าจึงให้ผมนี่แหละครับไปคุยกับพ่อว่าอย่าเมาอย่างงั้นอย่างงี้ ผมเคยจับเข่านั่งคุยกับพ่อน้ำตาผมใหล บอกพ่อว่าผมมีพ่อแค่คนเดียว ขอร้องช่วยหยุดดื่มเหล้าได้ไหม แต่ไม่เป็นผลพ่อยังเมาเหมือนเดิมครับ ย่าก็จะให้ผมนี่แหละตามดูเเลทุกครั้งที่พ่อเมา เหมือนย่าจะมีความหวังว่า ถ้าผมช่วยพูดพ่อผมจะหยุดดื่มเหล้าได้ ย่าเริ่มตั้งความหวังกับผม ผมพูดทุกทางเเล้วผมทำไม่ได้ ย่าก็จะพูดออกแนวประชดว่า จะพูดตอนตายไม่ทัน จะได้แต่นั่งร้องไห้อย่างเดียว ผมหมดหนทางจริงๆครับ จนย่าไปสร้างบ้านให้พ่ออยู่อีกที่นึง(ในหมู่บ้านเดียวกัน) จนตอนนี้มีบ้านแยกกัน 3 หลังเเล้วครับ
จบม.6 ผมตัดสินใจมาเรียนไกลบ้าน เพราะผม ทนรับรู้ปัญหาเหล่านั้นไม่ไหว ผมเริ่มคิดฆ่าตัวตายบ่อยมากขึ้น โดยให้เหตุผลกับตัวเองว่า อยู่ไปก็รั้นจะเจ็บปวดไปวันๆเปล่าๆ จบทีเดียวให้มันรู้เเล้วรู้รอดไป แต่ผมได้แค่คิดนะครับ เคยลองจับมีดบ้าง คิดจะผูกคอตาย แต่พอจับเชือกหลายเรื่อง ก็ตีกันในหัวเต็มไปหมด มีทั้งย่า พ่อ แม่ ทุกคนล้วนคาดหวังกับผม แต่ปัญหาก็มีเข้ามาเรื่อยๆครับ ขนาดผมมาเรียนไกลบ้าน ย่าก็ยังโทรมาบอกว่า พ่อเป็นยังไง พร้อมกับบอกว่า ไม่ต้องเครียดนะ ให้ตั้งใจเรียนไปอย่างเดียว ? ด้วยสายการเรียนผมที่เรียนสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผมเหนื่อยทั้งเรียนทั้งปัญหาทางบ้าน พอผมอยากคุยแบบเปิดใจกับย่า ผมบอกย่าว่าผมเครียด ย่าผมก็สวนขึ้นมาว่า เป็นเด็กเครียดอะไร เงินก็ไม่ต้องหา ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ต้องจ่าย เรียนอย่างเดียวมีอะไรให้เครียด ผมไปไม่เป็นเลยครับ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเก็บกดมาตั้งแต่ยังเล็ก ผมไม่สามารถระบาย หรือ อธิบาย ไม่มีใครรับฟังผม ไม่ใช่แค่ย่า แต่ทั้ง พ่อแม่ ทุกคนมองผมเป็นเด็ก ผมรู้สึกโดดเดี่ยว ผมชินกับการอยู่คนเดียวกับตัวเองในที่เงียบๆ ไม่ชอบการเข้าสังคมใหม่ๆ ขนาดพิมพ์เล่าเรื่องนี้ น้ำตาผมพาลจะใหลออกมา ตลอดชิวิตวัยเรียน ผมเจอะแต่คำถาม ว่า ทำไม ? จะเรียนอีกมั๊ย? ทำไมถึงทำแบบนั้น ? พอพยายามบอกให้ย่าผมเปิดรับเรื่องใหม่ๆบ้าง ย่าผมจะออกแนว แบบ แม่ของย่าก็เลี้ยงย่ามาแบบนี้ ? อดทนหน่อยสิเป็นผู้ชายทำไมไม่รู้จักอดทน ? มาถึงตรงนี้ ผมไม่อยากให้ทุกคนอคติกับย่าผมนะครับ ผมเข้าใจย่าผมครับ เพราะทุกคนรอบตัวผมก็คอยถามผมแบบนี้ทุกคน สังคมแวดล้อมผม มีแต่การเปรียบเทียบ ทำไมไม่ดีอย่างเค้าละ ทำไมละ ?
"ผมขอขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ผมไม่อยากให้ทุกที่อ่านมาถึงตรงนี้ อคติกับ ย่าผม พ่อผม แม่ผม หรือใครทั้งนั้น ผมต้องการที่ระบาย ผมโดดเดี่ยวรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตตัวเองเหลือเกิน ทำไมครอบครัวผมต้องเป็นแบบนี้ ผมอยากขอโทษผู้มีพระคุณของผมถ้าผมเคยล่วงเกิน ทังทางวาจา ทางความคิด หรือการกระทำ ผมแค่อยากให้เค้าเข้าใจปัญหาที่ผมเจอบ้าง ผมพยายามปรับตัวเอง เดินตามกรอบที่วางไว้แต่ไม่เคยมีใครสนใจความรู้สึกของผมเลย ผมเหมือนคนไม่มีใคร ผมเสียใจผมไม่ได้อยากมาพิมพ์ประจารเรื่องครอบครัวตัวเองเหรอครับ ผมแค่รู้สึกอัดอั้น เศร้าหมองไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ผมไม่อยากรับรู้อะไรเเล้วครับ ผมเบื่อ เบื่อทุกอย่างที่ผมเจอมาตลอดเกือบ 20 ปี"
สุดท้ายผมจึงมาหาประสบการณ์เพื่อนๆที่เคยไปพบจิตแพทย์ครับ ว่าเราต้องทำตัวยังไงบ้าง แพทย์เค้าจะถามเราหรือคุยกับเราแนวไหนครับ ผมอยากไปหาครับ ผมไม่อยากคิดว่าตัวเองเป็นโรคอะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากคิดไปเอง ผมแค่อยากไปปรึกษา ผมอยากหลุดพ้นจากตรงนี้ พิมพ์ผิดหรือไม่เข้าใจตรงไหน ขออภัยด้วยครับ ขอบคุณครับ
อยากไปพบจิตแพทย์ แต่ทำตัวไม่ถูกและไม่กล้า ขอคำแนะนำหน่อยครับ
ตั้งแต่เล็กครอบครัวผมก็อยู่กันพร้อมหน้าสุขสบายดีปกติ มีพ่อ แม่ พี่ 1 คน และ ย่า ครับ จนช่วงนึงเริ่มมีปัญหาเศรษฐกิจพ่อเริ่มดื่มเหล้าหนักขึ้นเรื่อยๆ นอนตื่นสาย เมากลับมาทะเลาะกับแม่ที่บ้าน จนแม่ทนไม่ไหวออกไปเช่าบ้านอยู่กับพี่ 2 คน ทุกครั้งที่พ่อเมากลับมาผมจะไปนอนกับย่าอาจมีบางครั้งที่ย่าไป เล่นการพนันกลับดึกบ้าง(ย่าผมเล่นแบบได้เงินก็กลับ จนสามารถมีเงินตั้งตัวได้พอสมควรครับแต่เล่นค่อนข้างบ่อย) ผมจึงต้องไปนอนกับแม่และพี่ ผมมักปล่อยให้พ่อนอนคนเดียวถ้าเกิดพ่อเมากลับมา ด้วยเป็นคนที่ไม่ชอบกลิ่นเหล้าและกลิ่นบุหรี่และพ่อพอเมาก็จะพูดไม่หยุด พูดลากเรื่องนั้นเข้าเรื่องนี้วกไปวนมา จนเป็นเหตุที่ทะเลาะกับแม่บ่อยๆ ตบตีกันจนข้าวของในบ้านเสียหายไปหลายชิ้น ผมก็ได้เเค่นั่งร้องไห้เพราะยังเด็กมาก มีหนักที่สุด คือ ตอนที่ย่าไปเล่นการพนันและไม่กลับบ้าน วันนั้นพ่อเมาหนักกลับมาทะเลาะกับแม่ตอน เที่ยงคืนกว่าๆ ภาพเหตุการณ์มุกอย่างยังจำติดตาผมอยู่เลย พ่อกระชากผมแม่จนแม่ล้ม พี่รีบวิ่งไปช่วยแม่ กระโดดขึ้นคร่อมล๊อคแขนพ่อแนบกับถนน นาทีนั้นผมนั่งร้องไห้อย่างเดียวเลยครับ พี่ตะโกนบอกให้ผมกับแม่วิ่ง แม่จูงมือผมวิ่งออกถนนใหญ่ไปนอนบ้านของลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ไม่ไกลมากแต่ พ่อผมไม่รู้จัก ทางที่ผมวิ่งช่วงนั้นยังไม่เจริญมากมีแค่แสงไฟหลอดเล็กๆตามถนน ผมหันหลังไปเห็นพ่อเดินโซซัดโซเซ ถือไม้หน้า 3 ตามมาถึงปากซอย จนคืนนั้นไปถึงบ้านลูกพี่ลูกน้องเเล้วผมก็ยังหลับไม่ลงนอน ร้องไห้ทั้งคืนเลยครับ ตั้งแต่วันนั้นแม่กับพี่ก็ย้ายออกจากบ้านแต่ยังติดต่อกับย่าอยู่ (แม่ย้ายบ้านแต่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน)
หลังจากนั้นอีกไม่นานแม่กับย่าผมก็ทะเลาะกันอีกเป็นปัญหาเรื่องเงินที่ผิดใจกันเหมือนเดิมครับ ย่ามามีปากเสียงกับแม่ถึงที่บ้านจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ ตอนนั้นต้องให้เพื่อนบ้านช่วยแยก เหมือนเดิมครับผมนั่งหลังพิงกำแพงมองผู้ใหญ่ทั้งสองคนตบตีกันกอดเข่าร้องไห้ วันนั้นผมต้องกลับกับย่าผมเพราะแม่มีพี่ดูแล
ตั้งแต่วันนั้นตั้งแต่ที่ครอบครัวผมแตกแหลกเหลวไม่เป็นชิ้น ผมก็อยู่กับย่าผมไปหาแม่ผมบ้างประปราย ผมต้องอยู่กับย่าด้วยเหตุผลที่ว่า ย่าเลี้ยงผมมาตั้งแต่เกิด และผมก็มีความผูกพันธ์กับย่าผมมาก
ผมอยู่กับย่า ย่าก็เล่าเรื่องของแม่ให้ฟัง ว่าตั้งแต่เล็ก แม่คิดจะทำแท้งผมแต่ย่าไปเจอก่อน ย่าจึงบอกแม่ว่า "ไม่ต้องทำแท้ง เดี๋ยวเลี้ยงเอง" ด้วยความที่ผมเป็นเด็ก ผมจึงไปถามแม่ว่า จริงเหรอ ที่คิดจะทำแท้งผม จากนั้นคำพูดที่หลุดมาจากปากของแม่ทำเอาผมน้ำตาร่วง แม่ตอบว่า ใช่ โดยมีเหตุผลว่า แม่ไม่อยากให้เกิดมาเพราะรู้อยู่เเล้ว ว่าต้องมาลำบาก ! ผมกลับมาบ้านย่าปิดประตูนั่งร้องไห้คนเดียวในห้องเลยครับ ช่วงนั้นเริ่มคิดฆ่าตัวตายเเล้ว แต่ด้วยความเป็นเด็ก คือ กลัวเจ็บ วันนั้นคือร้องจนหลับไปเองเลยครับ
หลังจากนั้นช่างอายุ 11-15 โดยประมาณ ชีวิตผมก็วนลูปเหมือนเดิมคือ นอนกับแม่บ้างมากน้อยเเล้วแต่โอกาสครับ จนพักหลังๆ ย่าผมเริ่มห้ามผมไปนอนบ้านแม่ ในหนึ่งอาทิตย์ผมได้ไปนอนบ้านแม่แค่ 1 คืน ย้ำว่า !! แค่หนึ่งคืน ทุกครั้งที่ผมไปย่าไม่เคยไปส่งเลยครับ ผมต้องเดินไป-กลับคนเดียว มีบ้างบางครั้งที่แม่ว่างมาส่งผมช่วง ตี5-6 โมงเช้า คือต้องไปโรงเรียน ผมกับย่าก็เคยมีปัญหากันบ้างครับ ผมไม่ชอบประดยคนึงที่ย่าชอบพูดกับผมบ่อยๆ คือ จะไปอยู่กับแม่เเล้วเหรอ /ไม่รักย่าเเล้วใช่ไหม แกจะพูดประชดเหมือนอาการน้อยใจครับ ผมเข้าใจว่าย่าเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กย่าจึงรักผมมาก ด้วยความที่ย่าเป็นห่วงผมมากเกิน มากเกินจนผมรู้สึกอึดอัด ตั้งแต่เด็กจนอายุ 21 ปี ผมต้องคอย บอกย่าตลอดว่าไปไหน ทำอะไร ผมรู้สึกเหมือนถูกตีกรอบรอบตัวผมมีแต่คำถาม แต่ไม่มีคำตอบ พอผมบอกย่าผมว่า ผมโตเเล้ว ย่าช่วยห่วงผมแบบมีขอบเขตได้ไหม ไม่เยอะไปเหมือนตอนผมอายุน้อยๆประมาณนี้ครับ ย่าผมสวนมาเลยว่า นี่ดป็นห่วงหาว่าย่าจู้จี้จิกจิก หาว่าผมรำคาญเหรอ ผมก็พูดอะไรต่อจากนั้นไม่ได้ละครับ เพราะย่าผมจะหาว่าผม รำคาญเค้า ผมแทบไม่มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นกับย่าผมเลยครับ เหมือนเดิมครับ จบที่การร้องไห้คนเดียวและทะเลาะกับย่าไปเป็นอาทิตย์ และถ้าผมพูดอะไรแนวๆนี้อีกครั้งก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง
แต่ถึงยังไงผมก็รักย่าผมอยู่ดีครับอย่างที่บอกว่าย่าเลี้ยงผมมาตั้งเเต่แรกคลอด ทำให้การแสดงความคิดของผมถูกปิดกั้นตลอดด้วยความที่ย่าผมอายุเยอะกว่า
ส่วนแม่ผมนั้นเวลาผมไปบ้านแม่ผม แม่ก็จะบอกว่าย่านั้นไม่ดียังไงบ้าง ต่างฝ่ายต่างป้อนข้อมูลที่ไม่ดีให้ผมฟัง ผมเหมือนเป็นคนกลางที่ต้องเลือก ด้วยไว 11-12 มันเป็นปัญหาของผมมากเลยนะครับ ชีวิตผมเริ่มซึมตั้งแต่ช่วงอายุเท่านั้น ภายนอกผมดูเป็นคนร่าเริง แต่ไม่เคยมีใครเข้าถึงตัวตนของผมจริงๆซักที
อีกอย่างย่ากับแม่มีบางอย่างที่คล้ายกัน แม่ชอบด่าเสียงดังใส่ผมกลางที่สาธารณะเหมือนย่าเลยครับ ย่าให้เหตุผลว่า ด่ากลางที่สาธารณะจะทำให้อายและไม่กล้าทำสิ่งนั้นอีก
หลังจากนั้น จนตอนนี้อายุผม 21 ย่าง 22 ปีเเล้ว พ่อผมก็ยังเมาเหมือนเดิม และกลับมาทะเลาะกับย่าเหมือนเดิม ของพ่อนี้เค้าน้อยใจย่ามาตั้งแต่เด็กๆเหมือนกันครับ อันนี้ผมไม่ขอเล่านะครับ (ผมเป็นคนกลางที่รับรู้ปัญหาของทุกคนในบ้านมาตั้งแต่ยังเด็กเลยครับ) ทุกครั้งที่พ่อผมเมา่ย่าจะบอกว่าย่าไม่ยุ่งเเล้ว บอกว่าพ่อโตเเล้ว ย่าจึงให้ผมนี่แหละครับไปคุยกับพ่อว่าอย่าเมาอย่างงั้นอย่างงี้ ผมเคยจับเข่านั่งคุยกับพ่อน้ำตาผมใหล บอกพ่อว่าผมมีพ่อแค่คนเดียว ขอร้องช่วยหยุดดื่มเหล้าได้ไหม แต่ไม่เป็นผลพ่อยังเมาเหมือนเดิมครับ ย่าก็จะให้ผมนี่แหละตามดูเเลทุกครั้งที่พ่อเมา เหมือนย่าจะมีความหวังว่า ถ้าผมช่วยพูดพ่อผมจะหยุดดื่มเหล้าได้ ย่าเริ่มตั้งความหวังกับผม ผมพูดทุกทางเเล้วผมทำไม่ได้ ย่าก็จะพูดออกแนวประชดว่า จะพูดตอนตายไม่ทัน จะได้แต่นั่งร้องไห้อย่างเดียว ผมหมดหนทางจริงๆครับ จนย่าไปสร้างบ้านให้พ่ออยู่อีกที่นึง(ในหมู่บ้านเดียวกัน) จนตอนนี้มีบ้านแยกกัน 3 หลังเเล้วครับ
จบม.6 ผมตัดสินใจมาเรียนไกลบ้าน เพราะผม ทนรับรู้ปัญหาเหล่านั้นไม่ไหว ผมเริ่มคิดฆ่าตัวตายบ่อยมากขึ้น โดยให้เหตุผลกับตัวเองว่า อยู่ไปก็รั้นจะเจ็บปวดไปวันๆเปล่าๆ จบทีเดียวให้มันรู้เเล้วรู้รอดไป แต่ผมได้แค่คิดนะครับ เคยลองจับมีดบ้าง คิดจะผูกคอตาย แต่พอจับเชือกหลายเรื่อง ก็ตีกันในหัวเต็มไปหมด มีทั้งย่า พ่อ แม่ ทุกคนล้วนคาดหวังกับผม แต่ปัญหาก็มีเข้ามาเรื่อยๆครับ ขนาดผมมาเรียนไกลบ้าน ย่าก็ยังโทรมาบอกว่า พ่อเป็นยังไง พร้อมกับบอกว่า ไม่ต้องเครียดนะ ให้ตั้งใจเรียนไปอย่างเดียว ? ด้วยสายการเรียนผมที่เรียนสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผมเหนื่อยทั้งเรียนทั้งปัญหาทางบ้าน พอผมอยากคุยแบบเปิดใจกับย่า ผมบอกย่าว่าผมเครียด ย่าผมก็สวนขึ้นมาว่า เป็นเด็กเครียดอะไร เงินก็ไม่ต้องหา ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ต้องจ่าย เรียนอย่างเดียวมีอะไรให้เครียด ผมไปไม่เป็นเลยครับ ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเก็บกดมาตั้งแต่ยังเล็ก ผมไม่สามารถระบาย หรือ อธิบาย ไม่มีใครรับฟังผม ไม่ใช่แค่ย่า แต่ทั้ง พ่อแม่ ทุกคนมองผมเป็นเด็ก ผมรู้สึกโดดเดี่ยว ผมชินกับการอยู่คนเดียวกับตัวเองในที่เงียบๆ ไม่ชอบการเข้าสังคมใหม่ๆ ขนาดพิมพ์เล่าเรื่องนี้ น้ำตาผมพาลจะใหลออกมา ตลอดชิวิตวัยเรียน ผมเจอะแต่คำถาม ว่า ทำไม ? จะเรียนอีกมั๊ย? ทำไมถึงทำแบบนั้น ? พอพยายามบอกให้ย่าผมเปิดรับเรื่องใหม่ๆบ้าง ย่าผมจะออกแนว แบบ แม่ของย่าก็เลี้ยงย่ามาแบบนี้ ? อดทนหน่อยสิเป็นผู้ชายทำไมไม่รู้จักอดทน ? มาถึงตรงนี้ ผมไม่อยากให้ทุกคนอคติกับย่าผมนะครับ ผมเข้าใจย่าผมครับ เพราะทุกคนรอบตัวผมก็คอยถามผมแบบนี้ทุกคน สังคมแวดล้อมผม มีแต่การเปรียบเทียบ ทำไมไม่ดีอย่างเค้าละ ทำไมละ ?
สุดท้ายผมจึงมาหาประสบการณ์เพื่อนๆที่เคยไปพบจิตแพทย์ครับ ว่าเราต้องทำตัวยังไงบ้าง แพทย์เค้าจะถามเราหรือคุยกับเราแนวไหนครับ ผมอยากไปหาครับ ผมไม่อยากคิดว่าตัวเองเป็นโรคอะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากคิดไปเอง ผมแค่อยากไปปรึกษา ผมอยากหลุดพ้นจากตรงนี้ พิมพ์ผิดหรือไม่เข้าใจตรงไหน ขออภัยด้วยครับ ขอบคุณครับ